วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หวานเป็นลมขมเป็นยาอีกครั้ง

ผมตกข่าวสำคัญครับ ความจริงเป็นข่าวเล็กๆ แต่ในด้านของ “ชีวจิต” ซึ่งทำหน้าที่ ให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพและ เรื่องอาหารมานานถึง 18 ปีปีนี้แล้วนั้น ข่าวนี้ต้องถือว่า เป็นข่าวใหญ่

ขอเรียนออกตัวอีกครั้งหนึ่งว่า เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องค้าขายหรือสินค้าใดๆ ทั้งสิ้น เราทำตัว เป็นกลาง และมุ่งอยู่ อย่างเดียวเท่านั้น คือให้ความรู้แก่คนไทย เพื่อประโยชน์ ของคนไทย และผู้บริโภค ที่สนใจเรื่องสุขภาพที่ดี ของตนเองเท่านั้น

ที่ว่าผมตกข่าวอย่างน่าขายหน้านั้นก็คือ ข่าวนี้เกิดขึ้นมาสองเดือนแล้ว ขออนุญาตคัดลอก ข่าวของ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 มีนาคม 2545 ดังนี้

“ฮ่องกง-สิงคโปร์ ใช้มาตรการเข้ม ห้าม 'กูลิโกะและบะหมี่นิชชิน' วางจำหน่าย หลังพบมีส่วนผสมของสารให้ ความหวานต้องห้าม และมีผลต่อ การก่อมะเร็ง ขณะที่ผู้ผลิต กูลิโกะ-นิชชิน ในไทยออกโรง ยันสินค้าที่ขายในประเทศ ใช้น้ำตาล แทนความหวานเท่านั้น เพราะ อย. ไม่อนุญาต”

“กระทรวงสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมและอาหารของฮ่องกง เปิดเผยเมื่อวานนี้ (20 มี.ค.) ว่า ได้สั่งห้าม ร้านค้า วางจำหน่าย บะหมี่ และข้าวเกรียบกุ้ง 4 ชนิดของญี่ปุ่น คือ บะหมี่สำเร็จรูป ยี่ห้อนิชชิน ยูเอฟโอ อูโอโมริ ยากิโซบะ และนิชชิน ทัตสึจิน ทงคัตสึ ราเม็ง ข้าวเกรียบกุ้งยี่ห้อคิกุ และขนม ยี่ห้อกูลิโกะ เนื่องจากเกรงว่า อาจเจือปนสาร ให้ความหวาน ซึ่งไม่ผ่านการรับรอง และผลวิจัยพบว่า สารดังกล่าว เกี่ยวพันกับ โรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ”

“ขณะที่สิงคโปร์สั่งห้ามจำหน่ายไปแล้ว หลังจากผลการทดสอบพบสาร 'สเตวิโอไซด์' ซึ่งเป็นสารให้ความหวาน ทดแทนน้ำตาล และไม่ได้รับอนุมัติ ให้บริโภคในฮ่องกง และ สิงคโปร์”

“นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังสั่งห้ามจำหน่ายขนมขบเคี้ยวยอดนิยมยี่ห้อกูลิโกะ ป็อกกี้ ทั้งรสสตรอเบอรี่ และรสช็อกโกแลตด้วย ถึงแม้ว่าได้ พบสารให้ความหวาน เฉพาะในกูลิโกะ มิลค์ไรสท์ เพร็ทซ์ก็ตาม”

“สิงคโปร์ยังเรียกเก็บสินค้าอีก 2 ตัวคือกูลิเคยา ทากอส สไปซี บีฟ และการ์ลิค ชิพไรซ์ แคร็กเกอร์ อย่างไรก็ตาม สินค้าทั้งสองตัว ไม่มีวางจำหน่ายในฮ่องกง”

ถึงตอนนี้ขอออกความเห็นสองประการ ประการแรก คือ การทำงานของฝ่ายสาธารณสุข ฮ่องกง และสิงคโปร์ ประการที่สอง เรื่องของความหวาน จากหญ้าหวานสตีเวีย (STEVIA) และ ประการที่สาม ความหวาน มีความสำคัญต่อร่างกายหรือไม่

ข้อแรกนั้นผมชอบใจในการทำงานของฝ่ายสาธารณสุขของฮ่องกง และ สิงคโปร์ ถ้าหากเรา จะมองเรื่อง การค้าขาย หรือเศรษฐกิจ หรือพูดอย่างชาวบ้านก็คือ วิธีหากินของพ่อค้า สมัยนี้นั้น จะเห็นว่า เกี่ยวข้องอยู่กับ คนสองกลุ่ม คือกลุ่มคนขาย และ กลุ่มคนซื้อ

คนขายนั้นได้เปรียบคนซื้อวันยังค่ำ ถ้าได้คนขายซึ่งมีคุณธรรม ขายอย่างตรงไปตรงมา คิดถึงสุขภาพ ของสินค้า ที่ตนขายว่า ไว้ใจได้ เชื่อถือได้ และขายโดยคิดกำไร พอสมควร พออยู่ได้ อย่างนี้ก็ เป็นบุญ ของคนซื้อ ที่มีผู้ขาย ซึ่งมีคุณธรรม สังคมของคนขาย คนซื้ออย่างนี้ คงจะเป็นสังคมที่มีความสุข

แต่ส่วนมากคนขายมักจะเอาเปรียบคนซื้อ ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ และ เรื่องอาหารแล้ว นอกจาก จะเอาเปรียบ คนซื้อ ยังแถมด้วยการ โฆษณาเกินเหตุ จนเข้าขั้นหลอกลวงได้ อย่างแจ้งชัด

ในเรื่องของสุขภาพเกี่ยวกับยาและอาหาร จึงได้มีกองอาหารและยา หรือ FOOD AND DRUG ADMINISTRATION (FDA) ไว้คอยดูแล

และก็แน่นอน การดูแลนั้นดูแลประโยชน์ ของผู้ซื้อและผู้บริโภค นอกจากเรื่องอาหาร และยา ซึ่งเป็น เรื่องของ กระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยังมีเรื่องของผู้บริโภคอื่นๆ ด้วย หมายความเรามีกฎหมาย ซึ่ง คุ้มครอง ผู้ซื้อทุกประเภท

นั่นก็เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ผู้ซื้อมักจะเสียเปรียบ ถูกหลอก ถูกโกงอยู่ตลอดเวลา จึงมีกฎหมาย คุ้มครองผู้ซื้อ และมีกฎหมายบังคับ ให้ผู้ขาย ขายของด้วยความซื่อตรง ไม่เอารัด เอาเปรียบผู้ซื้อ

ผมจึงชอบใจการทำงานของฝ่ายสาธารณสุขของฮ่องกงและสิงคโปร์ ซึ่งเมื่อมีสินค้า ซึ่งออกมาใหม่ เพียงสงสัยว่า “อาจเจือปนสาร ให้ความหวานซึ่ง ไม่ผ่านการรับรอง และผลวิจัยพบว่า สารดังกล่าว เกี่ยวพันกับ โรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ” ก็สั่งห้ามขายสินค้าเหล่านั้นทันที และแถมยังสั่งให้เก็บสินค้า ออกจากตลาดให้หมดด้วย เห็นไหมละครับ ความเด็ดขาด ของราชการนั้น ขอให้เด็ดขาด และตรงไปตรงมาเถิด ไม่ต้องเกรงกลัว หน้าอินทร์ หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น

และถ้าเป็นอย่างนี้ บริษัทร้านค้าต่างๆ ก็จะต้องระมัดระวังตัวไม่ผลิตสินค้าชุ่ยๆ ออกมาขาย ต่อไป

อันที่จริงการสั่งห้ามที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ นั้น มีพื้นฐานมาจากการค้นคว้าในต่างประเทศ ที่ได้ค้นพบว่า สารให้ความหวาน จากหญ้า STEVIA นี้เกี่ยวพันกับโรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ

เกี่ยวพันกับโรคมะเร็งก็คือ สารก่อมะเร็ง (CARCINOGEN) ซึ่งการทดลองนั้น ก็เพียงแต่จะทำได้ กับสัตว์ทดลอง เช่น หนูและกระต่ายเท่านั้น ผลของการทดลองกับหนู เมื่อให้กินสาร ให้ความหวานเหล่านี้ เป็นเวลานาน หนูก็เกิดเป็นมะเร็งขึ้นมา

นั่นเป็นแต่เพียงการทดลองกับหนู เรื่องทดลองกับคนนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะจะไม่มี มนุษย์คนใด มายอมตัวทดลอง กับสารก่อมะเร็งเช่นนี้

เพราะฉะนั้น ฝ่ายพ่อค้าก็มักจะอ้างว่านั่นเป็นการทดลองกับหนูเท่านั้น ยังไม่มีการ ทดลองกับคน และก็พิสูจน์ไม่ได้ว่า ถ้าคนกินเข้าไปแล้วนานๆ จะเกิดเป็นมะเร็ง

ถึงพิสูจน์ไม่ได้ แต่ทางการสาธารณสุขของฮ่องกงและสิงคโปร์ก็ออกประกาศ ห้ามขาย และยึดสินค้า ในตลาดเอาไปทำลาย หมดสิ้น

เพียงแต่ตัดสินว่า อาจจะเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคก็สั่งห้ามได้โดยเด็ดขาด ไม่ต้องรอทดสอบ หรือการวิจัยอย่างไร ต่อไปอีกแล้ว

นี่คือการคุ้มครองผู้บริโภคหรือประชาชนโดยแท้จริง

ไม่ต้องการกระทบใครเลยนะครับ พูดได้ อย่างเดียวว่า อยากเห็นเมืองไทยเป็นอย่างนี้บ้าง เหลือเกิน

พระเดชพระคุณได้โปรดเถอะครับ เดี๋ยวนี้อาหารเป็นพิษมากมายเหลือเกิน จนจะไม่กล้ากิน อะไรอยู่แล้ว

ยาเถื่อน และโฆษณาเถื่อนๆ โฆษณาขายยาวิเศษก็เกลื่อนเต็มเมือง ช่วยลูกช้างด้วยเถิด ขอรับ

เป็นบุญของคนซื้อที่มีผู้ขายซึ่งมีคุณธรรม สังคมของคนขาย คนซื้ออย่างนี้ คงจะเป็นสังคม ที่มีความสุข.

ไทยรัฐ ๑๙ พ.ค. ๔๕ ชีวจิต

1 ความคิดเห็น:

  1. หญ้าหวาน Stevia หรือ สารหวานสกัด stevioside ไม่ใช่สารก่อมะเร็ง และไม่ไ้ด้ทำให้เกิดมะเร็ง ปลอดภัยต่อการบริโภค มันมีคุณมากกว่า ดังนั้น
    ไม่ต้องกลัว กินได้ค่ะ
    อ่านเพิ่มใน http://en.wikipedia.org/wiki/Stevia

    ตอบลบ