พูดถึงเรื่องแคลเซียมใน 2-3 ฉบับที่แล้ว มีคำถามจากแฟนประจำหลายราย ที่น่าสนใจ มากที่สุดก็คือคำถามเหล่านี้มาจากคุณผู้หญิงทั้งสิ้น
ก็เลยได้ความรู้ใหม่สำหรับผมเองว่า คุณผู้หญิงที่ถามมานั้นทุกรายเป็นห่วงเรื่องวัยหมดประจำเดือน หรือวัยทองกันมาก การหมดประจำเดือนนั้นก็แตกแขนงออกไปถึงเรื่องกระดูก เพราะจากการ ที่ท่านเป็นห่วงเรื่องหมดประจำเดือนนั้น ท่านได้ทราบมาว่า หมดประจำเดือนแล้วจะมี อาการกระดูกพรุน หรือกระดูกผุ (ท่านทราบจากแพทย์ ประจำตัวของท่าน หรือมิฉะนั้นก็ทราบมาจากบทความเรื่องวัยทองที่แพทย์หลายท่านได้เขียนมา)
พอผมเขียนเรื่องแคลเซียมกับอาหาร ท่านก็เลยถามผมมาเป็นการใหญ่ เพราะท่านทราบ มาก่อนแล้วว่า แคลเซียมมีความสำคัญเกี่ยวกับกระดูก และเรื่องวัยทองด้วย
อันที่จริงเรื่องวัยทองนั้น ผมเคยเขียนเป็นเรื่องใหญ่หลายตอนแล้วทั้งในนิตยสารชีวจิต และในไทยรัฐวันอาทิตย์ของเรานี้ เพราะฉะนั้น ผมจะยังไม่เขียนเรื่องวัยทองอีกในระยะนี้ แต่จะเขียนเพียงเรื่องแคลเซียมกับอาหารต่อไปอีกตอนหนึ่ง
ขอสรุปความสำคัญของบทความ 2-3 ตอนที่แล้วมาไว้ดังนี้ครับ
1. การที่จะให้ร่างกายของเราได้แร่ธาตุแคลเซียมที่ดีและครบถ้วนนั้น ควรจะใช้แคลเซียม จากอาหารที่เรากินอยู่ทุกวันนั้นจะเป็นการดีที่สุด
นั่นก็หมายความว่าควรจะศึกษาเรื่องอาหารและสารอาหารให้ละเอียดกว่านี้สักนิด เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ลงรายการอาหารต่างๆ ที่มีแคลเซียมไว้หลายอย่าง บางอย่างมีแคลเซียม มากกว่านมซึ่งโฆษณากันอยู่ทุกวันด้วยซํ้า อย่างสาหร่ายทะเลหรือพืชทะเล เช่น สาหร่ายวากาเบะ และเคลพ์ เป็นต้น
สาหร่ายวากาเบะ 200 กรัม (เท่ากับนมหนึ่งถ้วย) มีแคลเซียม 2,600 มก. ส่วนเคลพ์ (ซึ่งก็คือต้นไม้ทะเล) 200 กรัม มีแคลเซียม 2,300 มก. แต่นมสดซึ่งยังไม่ปรุงแต่ง 200 กรัม มีแคลเซียมเพียง 291 มก. เท่านั้น
เมื่อพูดถึงเรื่องเคลพ์ก็เลยขอเพิ่มเติมเสียสักนิดว่า เดี๋ยวนี้ประเทศต่างๆ ในแถบร้อนและอบอุ่น ซึ่งมีชายทะเลกว้างใหญ่นั้น เดี๋ยวนี้ทำฟาร์มต้นไม้ทะเลคือ เคลพ์นี้เป็นการใหญ่ เป็นธุรกิจใหญ่โต และเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ในหลายประเทศ เพราะเคลพ์ที่นอกจากจะเอาไปใช้เป็นอาหารคนแล้ว ยังบดป่นไปทำเป็นอาหารสัตว์ และใช้ในกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกมากมายด้วย
และอีกเหมือนกันครับ อาหารอย่างอื่น เช่น ผักและถั่ว ก็มีแคลเซียมมากอีกเช่นกัน แม้จะไม่ มากไปกว่านม แต่ก็ไม่ น้อยไปกว่านมมากนัก ข้อที่ดีก็คือ แคลเซียมซึ่งมีอยู่ในอาหารอื่นๆ นอกจากนมนี้ ยังมี ราคาถูกว่านมด้วย
ความสำคัญของการได้แคลเซียมจากอาหารนั้น มีความดีและความสะดวกอยู่ตรงที่ว่า การกินอาหารจะช่วยให้การดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น และได้ประโยชน์สูงสุดจากแคลเซียมมากยิ่งขึ้น
การที่แคลเซียมจะทำงานให้ร่างกาย (ซ่อม-แซมกระดูกและฟัน) ได้เต็มที่นั้น จำต้องได้แร่ธาตุ และวิตามินอย่างอื่นมาร่วมด้วย เช่น ต้องมีแมกนีเซียมและฟอสฟอรัสมาร่วม และต้องได้วิตามิน D และวิตามิน E มาช่วยให้การย่อยและดูดซึม ของแร่ธาตุเหล่านี้เข้าไปในร่างกายได้เต็มที่
การกินอาหารให้ครบตามสูตรนั้น จะช่วยให้ได้แร่ธาตุฟอสฟอรัสและแมกนีเซียมได้ครบ โดยไม่ต้องไปเสาะหาจากยาหรืออาหารเสริมอื่นๆ อย่างเช่น ฟอสฟอรัส จะได้จากปลา อาหารทะเล เมล็ดพืชซึ่งไม่ได้ขัดขาว ถั่วต่างๆ และ แมกนีเซียมก็จะได้ จากข้าวโพด ถั่ว มะ-นาว ส้ม ส้มโอ ผักใบเขียวจัด แอปเปิ้ล เหล่านี้เป็นต้น
ส่วนวิตามิน D ก็จะได้จากอาหารประเภทปลาต่างๆ เช่น ปลาทูน่า ซาร์ดีน ซัลมอน นํ้ามันปลา เป็นต้น
สูตรอาหารชีวจิต จะมีสารอาหารต่างๆ เหล่านี้ครบ เพราะฉะนั้น เมื่อกินอาหารครบตามสูตรแล้ว ปัญหาเรื่องการขาดแคลเซียมไม่น่าจะมี
ผลดีที่จะได้แร่ธาตุต่างๆ จากอาหารนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การดูดซึมแร่ธาตุต่างๆ เหล่านี้เข้าสู่ร่างกาย จะทำได้เกือบสมบูรณ์
ปัญหาสำคัญของแร่ธาตุต่างๆ เมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วก็คือ การดูดซึมจะทำไม่ได้หมด อย่างแคลเซียมนั้น มีปัญหาเรื่องการดูดซึมมากที่สุด
เมื่อประมาณปี 1950-1957 คณะกรรมมาธิการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาเรื่องของโภชนาการและปัญหาเรื่องการดูดซึมของสารอาหาร ปรากฏว่าการดูดซึมแคลเซียม เข้าสู่ร่างกายนั้นได้ผลน้อย คือจะดูดซึมเข้าไปได้เพียงประมาณ 10-15% เท่านั้น เหลือนอกนั้นจะถูกขับออกจากร่างกายหมด
ที่เป็นเช่นนั้น เพราะสมัยเมื่อ 40 กว่าปีมาแล้วนั้น ประชาชนอเมริกันยังขาดแคลนอาหารอยู่มาก และในขณะเดียวกัน ความรู้เรื่องโภชนาการและการตื่นตัวเรื่องอาหารยังมีไม่มากนัก
แต่อีกประมาณ 20 ปีต่อมา การให้ความรู้ แพร่หลายเรื่องอาหารมีมากขึ้น ประชาชนสามารถ เสาะหาอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์ได้มากขึ้น นิสัยการกินของประชาชนดีกว่าเดิมมาก การย่อยการดูดซึมของสารอาหารก็ดีขึ้น ปรากฏว่าการดูดซึมแคลเซียมสำหรับประชาชน รุ่นหลังดีขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว คือการดูดซึมได้เพิ่มขึ้นเป็น 20-30%
โดยเหตุนี้ จึงขอสรุปอีกครั้งหนึ่งตรงนี้ การกินอาหารที่ถูกต้องครบถ้วนตามสูตรนั้น จะเป็นยาที่ดีที่สุด ดีกว่าที่จะกินยาหรืออาหารเสริมที่มีแคลเซียมเป็นเม็ดๆ นั้นมากมายนัก
2. แต่ก็ยังมีกรณียกเว้น บางคนสภาพของร่างกายและระบบต่างๆ ในร่างกายยังไม่สมบูรณ์ดีพอ ในขณะเดียวกันสิ่งแวดล้อมและมลพิษในเมืองใหญ่ๆ อยู่ในสภาพที่เลว ทำลายสุขภาพเรามากขึ้นทุกวัน นอกจากนั้นชีวิตของคนสมัยใหม่เดี๋ยวนี้เครียดมากขึ้น
ชีวิตแบบนี้ทำให้คนสมัยใหม่และคนรุ่นนี้ต้อง การอาหารเสริม หรือวิตามิน-แร่ธาตุมาช่วยเสริมบ้าง
ขอยํ้านะครับว่า ใช้วิตามิน-แร่ธาตุหรืออาหารเสริมมาช่วย เสริม ไม่ใช่ใช้สิ่งเหล่านี้มาเป็นอาหารหลัก จึงขอวางสูตรง่ายๆสำหรับการขาดแคลเซียมไว้ดังนี้
1. กินอาหารตามสูตรชีวจิตอย่างเคร่งครัดและให้เติมกลุ่มสาหร่ายทะเลและปลา-อาหารทะเล ได้อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ให้ใช้อาหารพิเศษเพิ่มอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง เพียงระยะสั้นๆ สักประมาณ 3 เดือนก็พอ เมื่อครบ 3 เดือนแล้ว ให้ลดลงเหลืออาทิตย์ละ 1 ครั้ง
2. ให้เพิ่มวิตามิน-แร่ธาตุ ดังนี้
วิตามิน A, C, D, E วันละ 1 เม็ดต่อวัน มื้อเช้า DOLOMITE 1 เม็ด มื้อเย็น
ทั้งนี้ ให้คุณสังเกตตัวเองว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีบ้างหรือเปล่า เช่น เรื่องของกระดูก ข้อต่อ ทำให้การเดิน-การวิ่ง-การเคลื่อนไหวดีขึ้นหรือระบบประสาททั่วทั้งตัวดีขึ้น
อย่าลืมส่งข่าว หรือจดหมายไปคุยกันด้วยนะครับ ที่ FAX 0-2570-8273.
ข้ออ้างอิงจากบทความชิ้นนี้ อาศัยจาก NUTRITION ALMANAC ซึ่ง ลา-วอน เจย์.ดันพ์ เป็นผู้อำนวยการ และจากเอกสารรายงานของกลุ่มแพทย์ มารี ครอส และมาร์ชา ฮันซ์เชอร์ แห่งฟิลาเดลเฟีย ในรายงาน FOOD, NUTRITION AND DIET THERAPYE ;
0_0 0_0
คอร์สสุขภาพชีวจิต
ชมรมและมูลนิธิชีวจิต จัดคอร์สสุขภาพ เข้าค่ายสุขภาพแนวเดิม-โหด-มัน-ฮา พร้อมภาค ทฤษฎีปฏิบัติเข้มข้น 27 เม.ย.-1 พ.ค. สมัครด่วน 0-1439-4110 และ 0-1976-4000 หรือ FAX 0-2570-8273.
ไทยรัฐ ๑๐ มี.ค.๔๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น