วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ภัยแล้งมาแล้ว อย่าแก้แต่ปัญหาขาดน้ำ แต่ต้องแก้ปัญหาต้นตอ คือการบุกป่าด้วย

จะทำอย่างไรดีครับ ความหายนะของบ้านเมืองนั้น ไม่ใช่แต่เรื่องเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่เรื่องใหญ่กว่าเศรษฐกิจขณะนี้ก็คือทรัพยากรของเราถูกปล้นจนจะหมดเนื้อหมดตัวแล้ว

ผมขออนุญาตพูดถึงเรื่องการเผาป่า การบุกป่าต่อจากอาทิตย์ที่แล้วอีกครั้งเถิดครับ โปรดอย่าคิดว่าผมกำลังออกจากเรื่องของสุขภาพ อาหารการกิน และการเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แต่เรื่องของการเผาป่า-บุกป่านี้แหละคือต้นตอของการทำลายสุขภาพและชีวิตของคนไทยทั้งประเทศเลยทีเดียวแหละครับ

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมอยู่ที่ภูเรือ จังหวัดเลย กลับจากเลยอาทิตย์นี้ ผมเดินทางไปเชียงใหม่เข้า ป่าไปช่องไคร้ (หรือห้องไคร้ ผมอาจจะสะกดไม่ถูก) หลังดอยสุเทพ และวันนี้ (31 มีนาคม) ผมนั่งเครื่องบินจากเชียงใหม่กลับกรุงเทพฯ

ที่สนามบินมีประกาศว่าเที่ยวบินตอนบ่ายจากเชียงใหม่ไปแม่ฮ่องสอนต้องยกเลิก

ผมถามลูกชายผมซึ่งเป็นนักบินว่ายกเลิกเพราะอะไร เขาบอกว่าเพราะทัศนวิสัยไม่ดี ระยะนี้ที่เชียงใหม่และแม่ฮ่องสอนมีหมอกควันมาก อาทิตย์ที่แล้วขณะที่ผมเขียนถึงหมอกควันที่ภูเรือนั้น ลูกชายผมก็ต้องบินจากกรุงเทพฯ ไปเชียงใหม่ เขาบอกว่าเครื่องเกือบจะลงที่เชียงใหม่ไม่ได้ เพราะหมอกควันหนาทึบเกือบจะมองไม่เห็นดอยสุเทพ เมื่อเครื่องลงได้แล้ว เขาจะต้องบินต่อไปแม่ฮ่องสอน ปรากฏว่าเที่ยวบินไปแม่ฮ่องสอนครั้งนั้นต้องยกเลิก และเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ บ่ายวันนั้นอีกหลายเที่ยวก็ต้องยกเลิกเช่นกัน เพราะหมอกควันหนาทึบ จนเครื่องบินลงไม่ได้ และวันนี้หมอกควันเหล่านั้นก็ยังหนาทึบอยู่ เที่ยวบินต้องยกเลิกอีกหลาย เที่ยวบิน

อย่างที่ผมเขียนไว้แล้วเมื่ออาทิตย์ก่อนนั่นแหละครับ หมอกควันในที่นี้ไม่ใช่หมอกธรรมดา แต่เป็นหมอกที่เกิดจากการเผาป่า และการเผาป่าเช่นนี้ก็ไม่ใช่เกิดจากไฟป่าธรรมดา แต่เกิดจากการตั้งใจเผาป่าจริงๆ ทั้งของชาวบ้านและของโจรเศรษฐีที่เข้าไปบุกรุกทำลายป่านั่นเอง

การเผาป่านี้จะต้องทำกันเป็นลํ่าเป็นสันเหลือประมาณ ขนาดเครื่องบินยังลงสนามบินสองจังหวัด เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน ไม่ได้ แล้วจังหวัดอื่นๆ ที่ไม่มีสนามบินอย่างที่เลย และอีสานจะเป็นอย่างไรเล่าครับ

ป่าภาคเหนือและภาคอีสานนั้นเป็นเนื้อที่ป่ากว่าค่อนประเทศไปแล้ว อากาศที่ร้อนอบอ้าวทั่วประเทศขณะนี้และจะตามไปด้วยการขาดนํ้าอย่างรุนแรงนั้น อย่าไปโทษว่าเป็นเพราะเอลนิโญเลย ที่เป็นเพราะพวกเศรษฐีบุกรุกป่า และพวกผีทำลายป่ามันเผากันอยู่ทุกวันนี้ มีใครมองเห็นกันบ้างหรือเปล่า

หลายคนอาจจะมองไม่เห็นว่าการเผาป่าใน ภาคเหนือและภาคอีสานจะเกี่ยวกันกับอากาศร้อน และทำให้เกิดภัยแล้งได้อย่างไร แต่ผมขอยืนยันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับว่า การที่ป่าเมืองไทยถูกบุกรุก และการเผาป่าทำลายป่าขณะนี้นั้น มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของประเทศไทย ทั้งประเทศอย่างแน่นอน

นอกจากการเผาป่าจะเกิดการทำลายบรรยากาศ ปกติของธรรมชาติแล้ว ยังเกิดการกระทบต่อธรรมชาติ ทำให้เกิดภัยธรรมชาติต่อเป็นทอดๆ อีก ที่แน่นอนขณะนี้ก็คือภัยแล้งจะต้องเกิดการขาดนํ้า การเพาะปลูก การเกษตรต้องกระทบกระเทือนแน่นอน ก็ต้องย่อยยับไปถึงอุตสาหกรรมด้วย

ภัยธรรมชาติที่จะต้องตามมาโดยเฉพาะ ตอนสงกรานต์นี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ พายุหน้าร้อน ท่านที่อยู่ภาคเหนือโดยเฉพาะท่านที่ทำนา ทำไร่ และอยู่ตามชายป่า คงจะจำได้ว่า ทุกปีที่ภาคเหนือโดยเฉพาะเชียงใหม่ ลำปาง เชียงราย จะต้องเจอกับพายุร้อน ลูกเห็บตก บ้านเรือนพังทลายทุกปี

เมื่อประมาณต้นเดือนที่แล้ว (กุมภาพันธ์) ผมขับรถไปเชียงใหม่ พอผ่านลำปางก็โดนพายุลูกเห็บ กลางทาง เคราะห์ดีผมหลบเข้าใต้ต้นไม้ ใหญ่ทัน แต่รถอื่นๆ หลายคันถูกลูกเห็บกระแทกกระจกแตก กันเป็นระนาว

อากาศอย่างนี้ ผมเชื่อว่าพายุร้อนจะต้องเกิดขึ้นอีกแน่นอน จะหนักหนาสาหัสกันอย่างไร ก็ไม่ทราบ แต่ทางบ้านเมืองเตรียมรับมือ และช่วยชาวบ้านไว้ล่วงหน้า ก็คงไม่ เสียหายกระไรนักกระมังครับ

ไม่ทราบจะหันหน้าไปพึ่งใครแล้วครับ เรื่องป่าถูกบุกรุก ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น การอดนํ้า การขาดแคลนนํ้า และภัยพิบัติจากธรรมชาติด้านอื่นๆ ที่จะตามมา

ข้อสำคัญที่สุด ผมยังไม่ได้ยินท่านผู้ใหญ่คนไหนในรัฐบาล “ทำใหม่-คิดใหม่” ได้พูดถึง การแก้ไขและเตรียมตัวรับธรรมชาติที่กำลังเกิดขึ้นอยู่เดี๋ยวนี้เลย

ท่านนายกฯทักษิณก็บอกไว้ว่า จะแจ้งให้ ทราบถึงการตัดสินใจเรื่องโครงการสร้างเขื่อน และสร้างโรงไฟฟ้า ให้ทราบในเดือนเมษายนนี้

การสร้างเขื่อนก็คือการกักเก็บนํ้าไว้ใช้ ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งในการแก้ปัญหาภัยแล้ง ทั้งยังเป็นโครงการช่วยเหลือการเกษตรโดยตรงด้วย

แต่การกักเก็บนํ้าไว้เป็นการแก้ปัญหาภัยแล้งปลายเหตุ ไหนๆ ท่านนายกฯจะตัดสินใจแล้ว ก็ตัดสินใจเรื่องต้นเหตุ คือการบุกรุกและทำลายป่ารวมกันเสียด้วยจะได้ไหมครับ เพราะการบุกรุก ทำลายป่าก็คือการทำลายต้นนํ้าโดยตรงนั่นเอง

ใน “ไทยรัฐ” ฉบับวันอาทิตย์นี้ (31 มีนาคม) ผมเห็นเพื่อนคอลัมน์ของผม คือ คุณบิ๊กซีเนียร์ รายงานในหัวข้อคอลัมน์ “คนรุ่นใหม่” แนะเคล็ดต้านภัยแล้ง นํ้าทุกหยดมีคุณค่า โดยนําความเห็นจากคนรุ่นหนุ่มสาวจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เช่น ม.กรุงเทพ ม.อุบลราชธานี ม.วลัยลักษณ์ สถาบันราชภัฏเชียงใหม่ แนะนำและออกความคิดเห็นเรื่องการประหยัดนํ้าต้านภัยแล้ง

เกิดความชื่นใจครับ ก็เลยอยากจะชักชวนว่า ถ้าหากคนรุ่นหนุ่มสาวของเราจะรวมตัวกัน เพื่อช่วยกันรักษาป่า และช่วยกันรักษาทรัพยากรธรรมชาติของบ้านเมืองเราอย่างเหนียวแน่น กันสักทีจะดีไหมครับ

บ้านเมืองของเราเหมือนพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกจนเติบใหญ่มั่งมีศรีสุขทุกทั่วหน้า แต่เดี๋ยวนี้มีไอ้ลูกอกตัญญูมันคอยสูบเลือดสูบเนื้อจากพ่อแม่ จนจะสิ้นลมอยู่แล้ว

ลูกๆช่วยกันกำจัดเจ้าลูกเนรคุณ และก็ช่วยเลี้ยงดูพ่อแม่ให้แข็งแรงมีความสุข อายุยืนยาวสักทีจะได้ไหม

ขออภัยด้วยครับที่ดูเหมือนจะออกนอกแนวทางเรื่องสุขภาพไปอีกแล้วในคราวนี้ คราวหน้าก็จะขอกลับเข้าแนวเดิมเรื่องเจ็บไข้ ได้ป่วยอีกต่อไป

แต่ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟน “ปั้นชีวิต” ทั้งหลายก็อย่าเพิ่งนิ่งดูดายนะครับ ช่วยกันรวมตัวเป็นหูเป็นตา เรื่องป่า และเรื่องธรรมชาติของบ้านเมืองเรา ขอทราบความเห็นและคำแนะนำด้วย จ.ม.มาที่ “ชีวจิต 36/31 หมู่ 13 โชคชัย 4 (ซ. 82) ลาดพร้าว กทม. 10230 หรือ FAX 0-2570-8273 ครับ”

ไทยรัฐ ๗ เม.ย. ๔๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น