วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

(1) ถ้ากรุงเทพฯ ไม่มียุง? (2) ย่านางแก้เกาต์

คุยกันเล่นๆ ในหมู่เพื่อนฝูง “ถ้ากรุงเทพฯไม่มียุงจะเป็นอย่างไร” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียว เหมือนกันหมดว่า “กรุงเทพฯ ก็กลายเป็นเมืองสวรรค์นะซี”

อันที่จริงเป็นโครงการพูดกันมาหลายรัฐบาล และหลายผู้ว่าฯแล้วว่าจะต้องกำจัดยุงในกรุงเทพฯ ให้หมดไปให้ได้ แต่คำว่า “จะต้องกำจัด” ยังคงเป็น “จะต้องกำจัดอยู่” ไม่กลายเป็น “กำจัดยุงหมดแล้ว” ได้สักที

เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้พูดกันถึงการกำจัดความสกปรกของสิงคโปร์ การกำจัดความสกปรกนี้ รวมไปถึงการกำจัดยุงด้วย โครงการของสิงคโปร์ การกำจัดความสกปรกของบ้านเมือง ใช้เวลาประมาณ 20 ปี แต่การกำจัดความสกปรกในใจคน ให้หมดไปด้วยนั้น ต้องใช้เวลาทั้งหมดไม่ตํ่ากว่า 40 ปี

สมัยก่อนคลองสำคัญและแม่นํ้าสำคัญของสิงคโปร์มีเพียงสองแห่งคือ คลองโรโช และแม่นํ้าสิงคโปร์ ทั้งคลองและแม่นํ้านี้ นํ้าสีดำ เหม็นเน่า มีขยะสกปรกและมียุงเต็มไปหมด

นอกจากยุงแล้วยังมีแมลงวัน แมลงสาบ แมลงอื่นๆ และหนูชุกชุม

โรคภัยไข้เจ็บสืบเนื่องมาจากความสกปรกนี้มีมากมาย ท้องเดิน ท้องร่วงเป็นเรื่องปกติธรรมดา โรคจากยุงก็มีมาลาเรีย DENGUE FEVER (ไม่ทราบว่าเรียกว่าไข้อีดำอีแดงใช่หรือเปล่า) เหล่านี้เป็นต้น

ยี่สิบปีให้หลัง มาลาเรีย และไข้อีดำอีแดงหมดไปไม่เหลือหลอ โรคทางเดินอาหารอันเกิด จากความสกปรกก็หมดไปด้วย ข้อสำคัญยุงไม่มี แมลงวันไม่มี แมลงสาบก็น้อยลงไป

โรคต่างๆไม่เพียงแต่จะหมดไปเท่านั้น แต่ ความรำคาญจากการถูกแมลงตอม แมลงกัดต่อยก็หมดไปด้วย เรื่องความรำคาญ จากแมลงนี้นะครับ ท่านที่อยู่ในบ้านเมืองโดยปลอดภัยจากการรบกวนของแมลง เพราะมีมุ้งลวดนั้น อย่าไปนึกว่ามันจะสบายเหมือน กับนอนอยู่ในบ้านโดยไม่ต้องกางมุ้งนะครับ นอนอยู่ในบ้านมุ้งลวดนั้นอึดอัด แต่การนอนที่ไหนก็ได้โดยไม่ต้องกางมุ้งนั้น คุณจะรู้สึกสบายใจ และปลอดโปร่งกว่ากัน และคุณจะรู้สึกว่ามีความเป็นอิสระเสรีบวกกับความภูมิใจว่า บ้านเมืองนี้น่าอยู่อย่างเหลือเกินด้วย

เชื่อไหมละครับ ชาวสิงคโปร์คงจะภูมิใจอย่างเหลือเกิน ว่าประเทศของเขาได้รับการคัดเลือก จากหน่วยงานของ สหประชาชาติว่า เป็นประเทศในอันดับต้นๆ ที่น่าอยู่ที่สุดในโลก ประการหนึ่งที่ทำให้สิงคโปร์ได้รับคัดเลือกก็เพราะเหตุว่า สิงคโปร์ประสบความสำเร็จจาก โครงการกำจัดความสกปรกและปราบยุงได้ อยู่หมัดทั่วประเทศนี่เอง

สิงคโปร์ทำได้อย่างไรหรือครับ ทำได้ก็เพราะมีโครงการใหญ่ คือการกำจัดขยะ กำจัดความสกปรก พร้อมๆไปกับการกำจัดยุงด้วย

ต้นตอของยุงก็คือนํ้าเน่า เขากำจัดนํ้าเน่าจากบ้าน ในคลอง ในแม่นํ้าก่อน มีการพ่นยากำจัดยุง กำจัดแมลง เก็บขยะและห้ามทิ้งขยะในแม่นํ้าลำคลอง ห้ามทิ้งขวดและกระป๋อง จัดการระบบนํ้าทิ้ง นํ้าเสียทั่วประเทศ

มาตรการเด็ดขาดก็คือ ห้ามทุกบ้านมีนํ้านิ่งหรือนํ้าเน่าอยู่ในบ้าน แม้แต่นํ้ายังอยู่บนขวดบน กระป๋องตกค้างอยู่ในบ้าน ก็ห้ามไม่ให้มีเด็ดขาด มีนํ้าที่ไหนซึ่งอาจจะเป็นแหล่งเพาะยุง ต้องโดนจับโดนปรับ โดยไม่เห็น แก่หน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งสิ้น

มาตรการเด็ดขาดเช่นนี้ จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จอยู่ที่ความร่วมมือของประชาชนด้วย การใช้การบังคับด้วยกฎหมาย อย่างเดียวนั้นคงจะไม่มีทางสำเร็จลงได้ รัฐบาลลี กวน ยู และโก๊ะ จก ตงได้ใช้นโยบายชักจูงและชักชวนให้ประชานชนเห็นโทษของ ความสกปรกและเห็นคุณความดี ของการสร้างบ้านเมืองให้สะอาดปลอดภัย นโยบายการชักชวนขอความร่วมมือเช่นนี้ ทำกันอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี สิงคโปร์ซึ่งเดิมอยู่รั้งท้ายประเทศไทย ห่างกันมากมาย จึงวิ่งเลยหน้าประเทศไทยไปจนจะตามไม่ทันเสียแล้ว

เมืองไทยก็กำลังมีคนคิดใหม่-ทำใหม่ คุณทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี คุณ ปุระชัย มือสองก็เป็นรัฐมนตรีมือสะอาด เข้มแข็ง เด็ดขาด กำลังสร้างระเบียบสังคมใหม่ คุณสมัครก็เป็นผู้ว่าฯคนใหม่ ที่กำลังตั้งหน้า ตั้งตาสร้างสิ่งใหม่ๆ ให้กับชาวกรุงเทพฯ ชาวกรุงเทพฯก็กำลังตั้งหน้าตั้งตาจะปรับตัวปรับใจ เป็นชาวกรุงเทพฯที่ทันสมัยก้าวหน้า

ลองช่วยกันทำโครงการกำจัดยุงให้สำเร็จเสียหน่อยจะดีไหมครับ กรุงเทพฯจะได้กลายเป็น “โอ้กรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร สมเป็นนคร-มหาธานี” กันจริงๆ เสียที

2. ย่านางกำจัดเกาต์

ผมได้รับแฟกซ์จาก พล.ต.ต.ภุชงค์ จุณณวัตต์ คุยกันเรื่องใบย่านาง ซึ่งน่าสนใจมากครับ ท่านบอกว่า “ผมดื่มนํ้าใบย่านางคั้น เพื่อแก้โรคเกาต์ตามที่เพื่อนๆ แนะนำมานานประมาณ 6 เดือนแล้ว ไม่มีอาการเจ็บปวดจากโรคเกาต์อีก ผมเห็นว่าเป็นพืชสีเขียว จึงใคร่ขอเรียนถามอาจารย์ว่า จะมีโทษหรือประโยชน์อย่างไรบ้างหรือไม่”

ท่านไม่ได้บอกตำแหน่งของท่านมา และผมก็ไม่ค่อยคุ้นกับคำเรียกขานทางราชการ ขออนุญาตเรียกตามภาษาชาวบ้านของผมว่า “ท่านนายพล” ก็แล้วกันนะครับ

ที่ท่านนายพลของผมถามเรื่องใบย่านางกับเกาต์มานี้ น่าสนใจมากนะครับ ผมกำลังหาประสบการณ์ จากการใช้สมุนไพรของไทย เพราะได้เห็นประโยชน์ จากสมุนไพรหลายตัวมากมาย เรื่องใบย่านางนี้เป็นสมุนไพรซึ่งผมไม่คุ้นเคยนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้แก้โรคเกาต์

แต่ที่ผมสนใจมาก ก็คือ ท่านนายพลใช้วิธีคั้นเอานํ้าดื่ม ซึ่งเป็นวิธีเดียวกันกับที่ผมได้ แนะนำให้นำพืชผักบางอย่างมาคั้นเอานํ้าเพื่อให้ได้เอนไซม์มาใช้

ที่ผมเคยแนะนำให้คั้นนํ้าแครอทก็ดี เซลเลอรี่ ก็ดี ออกมาดื่มนั้น ก็เพราะต้องการเอนไซม์ ไม่ใช่ต้องการนํ้าคั้นจากแครอทหรือเซลเลอรี่ธรรมดาๆ เอนไซม์จากแครอทช่วยบำรุงตับ และจากเซลเลอรี่ ช่วยทำให้เลือดสะอาดบริสุทธิ์ขึ้น

วิธีทำเป็นเอนไซม์ ถ้าทำแบบชาวบ้านๆ ก็คือ การใช้แครอทสับให้ละเอียด แล้วใช้ผ้าขาวบางคั้น ไม่ควรจะใช้เครื่องปั่นหรือเบล็นเดอร์ เพราะกระแสแม่เหล็กและไฟฟ้าจะทำให้เอนไซม์ จากพืชตายหรือเสื่อมคุณภาพ แต่ถ้าจะใช้เครื่องก็ให้ใช้เครื่องแยกนํ้าแยกกาก หรือ JUICER แทนเครื่องปั่นได้

ทีนี้การที่ท่านนายพลดื่มนํ้าใบย่านางนั้น ไม่ทราบว่าท่านใช้คั้นเอานํ้าออก หรือว่าท่านใช้วิธีต้ม ใบย่านางแล้วเอานํ้าดื่ม ถ้าจะใช้เอนไซม์จากใบย่านางก็ควรจะใช้คั้นเอานะครับ

ทีนี้การใช้ใบย่านางมาใช้รักษาโรคเกาต์ได้นี้ เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง โรคเกาต์ที่เราเป็นกันอยู่คือ ตามข้อเท้า และนิ้วเท้า ปวดบวมแดง เวลาเป็นเจ็บปวดทรมานมากนั้น สาเหตุเกิดจากการกินอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก พืชที่มีรสฉุนจัด เช่น สะตอ กระถิน หน่อไม้ ชะอม มากจนเกินไป กรดยูริกซึ่งมีอยู่มากในอาหารเหล่านี้ จะสะสมตกค้างอยู่ในร่างกาย จนทำให้เกิดการเสียดสีบริเวณข้อต่อ และเกิดการอักเสบ บวมแดง เจ็บปวดขึ้น

ในตำรายาไทย ระบุไว้ว่า ย่านางทั้งใบ ก้าน และรากนั้น ใช้แก้ถอนพิษไข้ และถอนพิษต่างๆ ได้ แต่ไม่ได้ระบุไว้เรื่องการแก้อาร์-ไทรทิส หรือเรื่องเกาต์

แต่ถึงอย่างไร ผมก็อยากจะแนะนำว่า ท่านที่เคยเป็นเกาต์บ่อยๆ น่าจะลองดูตามที่ท่านนายพลแนะนำมา ผมเองก็จะแนะนำให้คนที่รู้จักลองดื่มนํ้าคั้นใบย่านางดูด้วย

ที่กล้าแนะนำก็เพราะ

1. แน่ใจว่าใบย่านางไม่มีพิษ ไม่มีภัย เป็นอาหารซึ่งปู่ย่าตายายของเราใช้มาเป็นเวลานานแล้ว การทดลองใช้เป็นยา ถึงแม้ว่าไม่ได้ผลก็ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น

2. มีตัวอย่างการใช้ซึ่งได้ผลมาแล้วจากท่านนายพลและเพื่อนๆ ถ้าทดลองกันเป็นกลุ่มมากๆ และได้ผลก็จะได้รับการยืนยันที่แน่นอนขึ้น และจะได้รับสมุนไพรเป็นยา ซึ่งจะเป็นมาตรฐานในการรักษาต่อไป

ขอขอบพระคุณท่านนายพลของผมเป็นอย่างสูงที่แนะนำสมุนไพร ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับโรคเกาต์และอาร์ไทรทิสต่อไป ผมขอรายละเอียดอีกนิดได้ไหมครับว่า ท่านเอาไปคั้น หรือใช้ใบมาทำเป็นนํ้าด้วยวิธีใด ดื่มครั้งละมากน้อยเพียงไร

สำหรับท่านอื่นๆ ที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรแบบนี้อีก กรุณาเขียนมาคุยบ้างนะครับ จะได้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ในสังคมของเราต่อไป ส่งข่าวมาที่แฟกซ์หมายเลข 0-2570-8273 ครับ.

Copy right(c)2000 by Vacharaphol Co.,Ltd.
Viphavadirangsit Rd. Bangkok 10900 Thailand Tel.(662) 272-1030 Fax. (662) 272-1324

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น