วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เชื้อรามหันตภัย กับข้าวกล้อง ร่ำลือกันจนเกินเหตุ เพื่ออะไรไม่ทราบ?

ได้รับ จ.ม.จากท่านผู้อ่านท่านหนึ่งขอให้ผมแก้ข่าวด่วนเกี่ยวกับเรื่อง การที่มีผู้ กล่าวหาว่า กินข้าวกล้องแล้ว จะเป็นอันตราย เพราะในข้าว กล้องจะมีเชื้อรา อะฟลาท็อกซิน (AFLATOXIN) ซึ่งเป็นเชื้อรา ที่ทำให้ป่วยเป็นมะเร็ง

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า พ่อค้าข้าวคนหนึ่งซึ่งผลิตข้าวหอมมะลิออกขาย ได้ให้สัมภาษณ์ แมกกาซีน ฉบับหนึ่ง เป็นทำนองว่า ข้าวหอมมะลิที่เขาผลิตออกขายนั้น มีคุณภาพดีเยี่ยม สมควรที่คนไทย และชาวโลกทุกคน ที่กินข้าว ควรจะกินแต่ข้าวหอมมะลิ ชนิดนี้

ในขณะเดียวกันก็ตำหนิข้าวกล้องว่า ต้องระวังอันตราย จากข้าวกล้อง เพราะว่า ข้าวกล้อง มีเชื้อราอะฟลาท็อกซิน ซึ่งทำให้เกิด เป็นมะเร็งได้

ท่านเจ้าของ จ.ม.จึงให้ผมเขียนแก้ข่าวโดยด่วน

อันที่จริงก็ไม่ใช่หน้าที่ผมจะต้องทำหน้าใหญ่เป็นกระด้ง รับบทบาทราวกับว่า ผมเป็นเจ้าของ ข้าวกล้อง เสียเอง ใครมาว่า หรือตำหนิข้าวกล้อง เป็นไม่ได้ ผมจะต้องออกรับ เสียทุกเรื่อง

ที่ผมเขียนเรื่องข้าวกล้อง และชักชวนให้คนกินข้าวกล้อง มาตั้งเกือบ 20 ปีนั้น เพราะต้องการ ชี้ให้เห็นถึง คุณประโยชน์ ของข้าวกล้อง และของธัญพืชต่างๆ ซึ่งไม่ต้องขัดขาว (WHOLE GRAIN)

ข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดงนั้น ประโยชน์สูงสุดของข้าว อยู่ที่เปลือกข้าว หรือรำข้าว ในรำข้าว ซึ่งเป็นเยื่อหุ้มชั้นใน รองจากเปลือกข้าวนั้น มีทั้งวิตามิน เกลือแร่ และ ดีเอ็นเอ/อาร์เอ็นเอ มีจมูกข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่มีประโยชน์ที่สุด ของเมล็ดข้าว

เมื่อขัดส่วนที่เป็นประโยชน์ที่สุดออกแล้ว ก็เหลือแต่เมล็ดข้าวที่เป็นแป้งเปล่าๆ เท่านั้นเอง

และที่ตลกที่สุดก็คือ เมื่อเอาของดีๆ ออกเหลือแต่แป้งเปล่าๆ แล้ว อยากจะโฆษณาว่า ข้าวขาว ก็มีของดีอยู่ ก็กลับไปเอาวิตามิน และแร่ธาตุมาเติมกลับคืน

และพูดได้เต็มปากเต็มคอว่า ของที่เติมใหม่แล้วเอาไปขายนั้น มันจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง และมีประโยชน์ เหมือนของดั้งเดิม อย่างไรได้

นั่นคือเรื่องประโยชน์ของข้าวซ้อมมือ ซึ่งผมอยากจะให้ผู้บริโภคเข้าใจ และ เห็นประโยชน์

ส่วนการที่หาเรื่องมาตำหนิข้าวซ้อมมือว่ามีอะฟลาท็อกซินนั้น เป็นคนละเรื่องกับเรื่อง ประโยชน์ ของข้าว เพราะอะฟลาท็อกซิน เป็นเรื่องของเชื้อรา ซึ่งเป็นตัวทำ ให้คนป่วย และถ้าจะพูดถึง เชื้อราทุกอย่าง ซึ่งมีอยู่ในโลก ซึ่งรวมทั้ง อะฟลาท็อกซิน ด้วยแล้ว ทุกแห่งในโลก อาหารทุกอย่าง สิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ทุกอย่าง แม้แต่ ในร่างกายเราเอง ก็มีเชื้อรา ปะปนอยู่ด้วยทั้งสิ้น

พูดถึงเรื่องประโยชน์ ของข้าว ก็เพื่อให้เข้าใจว่าข้าวมีความสำคัญ ต่อเราอย่างไร พูดถึงเรื่อง เชื้อราในข้าว ก็เพื่อจะรู้เรื่อง เชื้อราชนิดต่างๆ มันคนละเรื่องกัน

แต่เอาล่ะ เมื่อพูดกันถึงอะฟลาท็อกซินและข้าวกล้องกันแล้ว ก็จะถือโอกาสคุย กับท่านผู้อ่าน ให้เข้าใจ เรื่องอะฟลาท็อกซิน กันพอหอมปาก หอมคอบ้าง

อะฟลาท็อกซินซึ่งมีอยู่ในพืชนั้น มีมากที่สุดในถั่วลิสง และรองไปก็คือ มันสำปะหลัง และ ข้าวโพด ที่พบในข้าวก็มีบ้าง

ความสำคัญของอะฟลาท็อกซินก็คือเป็นเชื้อรา ซึ่งเกิดจากดิน ด้วยเหตุนี้พืช ซึ่งเกิดฝัก และผล ซึ่งหมกดินอยู่ เช่น ถั่วลิสงและมันสำปะหลัง (พันธุ์แอฟริกา) จึงมีโอกาสเกิดเชื้อราได้ ง่ายกว่าเพื่อน

สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งของการเกิดเชื้อราก็คือความชื้น พืชที่เป็นฝักหรือ แกะเมล็ดออกแล้ว การเก็บรักษา ต้องเก็บในถุง หรือภาชนะมิดชิด และไม่ควร จะมีความชื้นอยู่เลย

อะฟลาท็อกซินที่อยู่ในข้าวนั้นไม่ได้เกิดจากต้นข้าว แต่จะเกิดจาก การบรรจุห่อ-กระสอบ และมีความชื้น มากกว่า

และข้อสำคัญก็คือ ข้าวที่มีอะฟลาท็อกซิน เพราะเกิดจากความชื้นนั้น เกิดขึ้นได้ ในข้าวทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ข้าวขาว หรือข้าวกล้อง ว่ากันที่จริง ข้าวขาวก็จะเกิดเชื้อรา ในข้าวได้ง่ายกว่า ข้าวกล้อง ด้วยซํ้า

นายแพทย์กลุ่มหนึ่งของอเมริกา (นายแพทย์โทมัส เคนสเลอร์ ศาสตราจารย์ด้าน พิษวิทยา มหาวิทยาลัย จอห์นฮอบกินส์ นายแพทย์ลี วัต-เทนเบิร์ก ศาสตราจารย์พยาธิวิทยา มหาวิทยาลัย มินิโซตา นายแพทย์เอ็ม อี อัลเพิธ บีทอธ และ ดี นาเกต แห่งสถาบัน มะเร็งแห่งชาติ) ได้ศึกษาเรื่อง อะฟลาท็อกซินในพืช และได้ระบุว่า ได้พบอะฟลาท็อกซิน ในถั่วลิสง มากกว่าเพื่อน ส่วนในข้าวนั้น แทบจะไม่พบเลย และจากทดลองว่า อะฟลาท็อกซิน ทำให้เกิดมะเร็ง ชนิดใดมากนั้น ผลการทดลองออกมา เหมือนกันหมด ทำให้เกิดมะเร็งตับ

และการทดลองเหล่านี้ ได้ทดลองในหนูเท่านั้น ในมนุษย์ไม่สามารถ จะทดลองได้ สำหรับมนุษย์ ได้แต่สอบถาม ประวัติการรับประทานอาหาร ปรากฏส่วนมาก มาจากผู้ ป่วยโรคตับ และมะเร็งตับ รับประทานอาหาร แทบทุกอย่าง จนไม่สามารถแยกได้ว่า อาหารชนิดใดแน่ ที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ

แต่ที่ค่อนข้างจะแน่นอนก็คือการดื่มเหล้า เที่ยวสำมะเลเทเมา ทำให้เกิดโรคตับ และ โรคตับ ก็กลายเป็น มะเร็งตับได้

ข่าวในวงการแพทย์ ซึ่งประกาศออกมาว่า เชื้อราอะฟลาท็อกซิน ทำให้เกิดมะเร็งตับนี้ ได้ ประกาศ มาตั้งแต่ปี 1983 และยังฮือฮา มากันจนบัดนี้

และพร้อมกันนั้น ก็มีข่าวจากแพทย์กลุ่มนี้ในด้านที่เกี่ยวกับอาหารหรือยา ซึ่งช่วยต้าน มะเร็งตับ ซึ่งเกิดจาก อะฟลาท็อกซินนั้น มีอยู่แล้ว ในอาหารประเภทผัก

ผักที่ว่านี้คือ ผักตระกูลกะหล่ำปลี

นายแพทย์วัตเทนเบิร์ก ได้ทดลองคั้นนํ้ากะหล่ำปลีหัวเล็ก ชนิดบรัสเซลส์ สเปราท์ (BRUSSELS SPROUT) และได้สารจากกะหล่ำปลีหัวเล็กนี้คือ GLUCOSINOLATES ซึ่งสามารถ กำจัดพิษอะฟลาท็อกซิน ให้หมดฤทธิ์ได้

วิธีทดลองก็คือ นายแพทย์วัตเทนเบิร์กแบ่งหนูออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง ให้กินอะ-ฟลาท็อกซิน ทุกวัน อีกกลุ่มหนึ่ง ให้กินอะฟลาท็อกซิน สลับกับกลูโคสสิโนเลทส์ ปรากฏว่า กลุ่มแรก จะเป็นมะเร็งตับ ส่วนกลุ่มที่สอง จะลดพิษอะฟลาท็อกซินได้ ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม คือไม่เป็นมะเร็งเลย

ส่วนนายแพทย์เคนสเลอร์นั้น ได้ทดลองแบบเดียวกับวัตเทนเบิร์ก แต่เขาใช้กะหล่ำปลี หัวใหญ่แทน กะหล่ำปลีหัวเล็ก ผลปรากฏว่า ลดอัตรามะเร็งตับได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์

และเมื่อแพทย์กลุ่มนี้ทดลองกับพืชชนิดอื่นๆ ที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน เช่น บร็อกเคอรี่ ดอกกะหลํ่า ผลที่ได้ก็ปรากฏว่า เป็นผลดีใกล้เคียงกัน

ผมต้องขอเตือนและขอยํ้าไว้ตรงนี้อีกครั้งนะครับว่า การทดลองทั้งหมด ได้ทดลองกับหนูเท่านั้น เราไม่สามารถ จะทดลองกับคนได้ เพราะวิธีทดลอง ด้วยการให้คนกิน อะฟลาท็อกซิน แล้วก็ให้กิน สารจากกะหล่ำปลี สลับกันไป แล้วก็คอยเฝ้าดูว่า ใครจะเป็นมะเร็งหรือไม่นั้น ทำไม่ได้แน่

เอาละครับ ขอกลับมาที่เรื่องอะฟลาท็อกซินกับข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมืออีกครั้ง ผมเอาผล ของการทดลอง ของแพทย์กลุ่มนี้ มาเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า การกล่าวหาที่ว่า ข้าวกล้อง มีอะฟลาท็อกซิน และมีอันตรายนั้น ดูจะเป็นเรื่องของการยกเมฆ เกินความจริง ไปมากมาย

ไม่ทราบพูดอย่างนี้ เพื่อจะให้ข้าวของตนเองขายได้ดีหรืออย่างไร.


ไทยรัฐ ๑๒ พ.ค. ๔๕ ชีวจิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น