วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรื่องหวานซึ่งไม่ค่อยหวาน

ตั้งแต่เริ่มตั้งกลุ่มชีวจิตครั้งแรกมาจนกระทั่งกลายเป็นมูลนิธิเป็นเวลาเกือบ 20 ปีมาแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ผมได้บรรยายให้เห็นโทษของการบริโภคน้ำตาลขาวมาโดยตลอด

พูดกันจริงๆ แล้ว การบรรยายหรืออธิบายเรื่องโทษของน้ำตาลหรือของหวานนั้นไม่ค่อยได้ผลหรอกครับ คนไม่ค่อยเชื่อ และบางคนกลับจะโกรธเอาเสียด้วยซํ้า ทั้งนี้ สาเหตุของการไม่เชื่อมีอยู่อย่างเดียว คือคนไทยติดน้ำตาลหรือของหวานกันจนเข้ากระดูกดำเสียแล้ว

การติดหวานหรือติดนํ้าตาลอย่างหนัก โทษของมันมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะทางร่างกาย จะมีผลต่อเนื่อง จนกระทั่งทำให้เจ็บหนักได้ ซึ่งเมื่อถึงเวลาเจ็บหนักเข้าจริงๆ หลายคนเลิกหวานได้

แต่ในเรื่องทางใจนี่สิ ยากนักที่จะเปลี่ยนใจได้ เพราะถ้าใจไม่แข็งจริงๆ แล้ว อาการที่จะเกิดขึ้นทางใจ ก็คือ ความหงุดหงิด คนที่ติดหวาน ถ้าไม่ได้กินหวานมักจะหงุดหงิด กระ-วนกระวาย อารมณ์บูด ถึงกับอาละวาดก็ยังมี อาการอื่นๆ ก็ตามมาเป็นกระบวน เช่น นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปวดหลัง ปวดตัว เป็นได้สารพัดร้อยแปด

ฉะนั้น การที่ผมเขียนเรื่องอย่ากินหวาน อย่าติดหวานซํ้าๆ กันมาหลายตอน คราวนี้ป ระวัติศาสตร์ก็คงจะซํ้ารอย คือถูกด่าเสียมากกว่า

วิธีเลี่ยงผ่อนหนักให้เป็นเบาก็คือ พยายามเอาเรื่องวิชาการเข้ามาพูด และต้องใช้หลักฐาน การทดลองต่างๆ รวมทั้งการปฏิบัติจริงๆ ต่อคนไข้เข้ามาอ้างอิง

ข้ออ้างอิงคราวนี้ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นหลักฐานสมบูรณ์ ก็คือการทดลองและการรักษาคนไข้ ของแพทย์ต่างๆ นั้น ตรงกันทั้งทางอเมริกาและยุโรป กลุ่มนายแพทย์ เอช.เอ็ม.เชลตัน. ริชาร์ด ลียอง อาร์ แทนนาฮิลล์. อี.วี. แมคคอลลัม นั้น เป็นกลุ่มจากอเมริกา และ เจ. ยัคคิน และพวก เป็นกลุ่ม จากอังกฤษ

ที่ผมชอบใจมากที่สุด ก็คือ ของนายแพทย์ เจ. ยัคคิน จากอังกฤษนี่เอง เพราะตัวหมอยัคคินนั้น ป่วยเป็นโรคกระเพาะมาถึง 25 ปี แพทย์เพื่อนๆ ให้ความเห็นว่า ควรจะผ่าตัดทั้งสิ้น แต่ยัคคิน ก็ชะลอการผ่าตัดมาเรื่อยๆ ด้วยการปฏิบัติตัวตามสูตร คือ คำสั่งจากแพทย์ด้วยกัน อย่าเครียด อย่าทำงานหนัก อย่ากินอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหาร ที่มีเครื่องเทศ และให้กินอาหารมื้อย่อยบ่อยๆ แทนที่จะกินอาหารหนัก

หมอยัคคินก็ปฏิบัติตามมาเรื่อยๆ เป็นบ้าง หายบ้าง สลับกันตลอดเวลา และยาที่เขากินเป็นประจำ ก็คือ ยาลดกรด กินอยู่ตั้ง 25 ปี แต่โรคของเขาก็ไม่มีวันหายขาด และสิ่งที่ทำให้รู้สึก ผิดหวังมาก ก็คือ กินยา ลดกรดมากๆ ระบบต่างๆ ในร่างกายเขาสับสนไปหมด ระบบย่อย ระบบประสาท การกิน การนอน ผิดปกติ และที่สำคัญที่สุดก็คือ นํ้าหนักตัวเขาเพิ่มพรวดพราด จนคุมไม่อยู่

ยัคคินจึงตัดสินใจทำโปรแกรมรักษาตัวเอง โดยตัดนํ้าตาล ของหวาน และอาหารหวาน ทั้งหมด โดยสิ้นเชิง และชั่วเวลา 2 เดือน เขาก็หายขาด ลองคิดดู เป็นโรคกระเพาะมาถึง 25 ปี รักษาอย่างไร ก็ไม่หาย แต่เลิกหวาน เลิกนํ้าตาล เพียง 2 เดือน โรคกระเพาะหายขาดเลย

ที่สำคัญที่สุด ซึ่งต้องนับว่าเป็นผลงานทางการแพทย์ที่เด่นที่สุด ก็คือ การทดลองของเขาต่อ ทหารอาสาสมัคร และต่อกลุ่มผู้ถูกคุมขัง ในเรือนจำ

จะว่าเป็นโชคของเขาก็ได้ที่เป็นแพทย์ในประเทศอังกฤษ เพราะระบบการแพทย์ ในอังกฤษนั้น รัฐเป็นผู้ คุ้มครองดูแล และการรักษาของประชาชนทั้งหมด เมื่อหมอยัคคินขออนุญาตทางการ เข้าไปทดลอง ในกรมทหาร และในสถานที่คุมขัง ซึ่งอยู่ในความดูแลของรัฐบาล จึงได้รับอนุมัติทันที

การทดลองของนายแพทย์ยัคคิน จึงเป็นมาตรฐานและถือเป็นการปฏิวัติที่ถูกต้องของวงการแพทย์ ทั่วโลกได้หมอยัคคิน แบ่งกลุ่มผู้อาสาสมัคร เข้ารับการทดลอง ออกเป็นสองกลุ่ม

กลุ่มแรกกินอาหารตามสูตรหมอยัคคิน คือไม่มีของหวาน หรือ น้ำตาลปนใส่ อยู่ในอาหารเลย

กลุ่มที่สองกินอาหารหวานและน้ำตาลได้ตามชอบใจ

ทั้งสองกลุ่มนี้ปฏิบัติการทดสอบเหมือนกัน คือ เมื่อตื่นมาแต่เช้า ทุกคนจะต้องกลืนสายยาง แล้วดูดเอาน้ำย่อย ออกมาทดสอบ

หลังจากนั้นให้ทุกคนรับประทานอาหารเช้า หลังจากอาหารเช้าแล้วประมาณ 15 นาที ให้ทุกคน กลืนสายยางอีกครั้ง แล้วเอาน้ำย่อยมาทดสอบอีก

จุดประสงค์ของการทดสอบนี้ เพื่อจะตรวจดูว่า ความเป็นกรดในกระเพาะ และระบบการย่อย ของกลุ่มสองกลุ่มนี้ จะแตกต่างกันอย่างไร

ผลของการทดสอบปรากฏว่า กลุ่มที่กินหวาน น้ำตาล มีกรดในกระเพาะสูงกว่ากลุ่มที่ไม่กินถึง 3 เท่า ส่วนระบบการย่อย ของกลุ่มกินหวานนั้น การย่อยปรวนแปร ท้องอืดท้องเฟ้อได้ง่าย เกิดอาการผิดปกติ ของระบบย่อยได้ง่าย

แต่กลุ่มที่สอง ซึ่งไม่กินหวานเลย ปกติทุกอย่าง ความเป็นกรดปกติ ท้องไส้ การย่อยการถ่ายปกติ
แต่การทดลอง ทางฝ่ายอเมริกา ก็น่าสนใจอย่างยิ่ง ไม่แพ้กัน นายแพทย์เจย์ โคแนลด์ ออสโตร แห่งมหาวิทยาลัย เพนซิลเวเนีย ได้ค้นพบว่า

1. น้ำตาลขาว หรือของหวานนั้น จะไม่ย่อยในปากก่อนเหมือนกลุ่มแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อเข้าปากแล้ว จะลงสู่กระเพาะ และผ่านกระเพาะเข้าลำไส้เล็ก และเข้าสู่กระแสโลหิต โดยตรงเลย

ลักษณะเช่นนี้หมายความว่า น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสโลหิตทันที เหมือนกับน้ำจากทำนบซึ่งเขื่อนพัง เมื่อน้ำตาลจู่โจมเข้าในเส้นเลือดโดยรวดเร็วเช่นนี้ ตับอ่อนก็ต้องขับฮอร์โมนอินซูลินออกมาในเส้นเลือด อย่างเร่งด่วน เพื่อดึงน้ำตาลให้ต่ำลง

แต่ก็เป็นปกติของคนกินหวานหรือน้ำตาล เมื่อน้ำตาลต่ำก็จะรู้สึกโหยและอ่อนเพลีย ก็มักจะกินหวานๆ หรือน้ำตาลเข้าไปทดแทน ทั้งนี้ เพื่อแก้อาการที่น้ำตาลต่ำน้ำตาลในเลือดก็พุ่งจี๊ดขึ้นอีก ตับอ่อน ก็เร่งดัน อินซูลินออกมา น้ำตาลในเลือดก็ต่ำลง

อีกประเดี๋ยวผู้ติดน้ำตาลนั้นก็ต้องกินหวานเข้าไปอีกน้ำตาลก็ขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ตลอดเวลา นั่นเป็น อันตรายอย่างยิ่ง เหมือนเครื่องยนต์ ซึ่งพอร้อนเอาน้ำราด พอเย็นลงหน่อย เครื่องก็ร้อนอีกแล้ว เครื่องยนต์ร้อนแล้วเย็น เย็นแล้วร้อนอย่างนี้ เครื่องไม่พัง ทนไหวหรือ

2. นายแพทย์ออสโตร และเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง คือ เคอร์ติส วู้ด ยังได้ค้นพบอีกว่า คนที่ชอบ กินหวานตลอดเวลา หรือกินจุบกินจิบ เช่น เคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมทอฟฟี่-ช็อกโกแลตนั้น เมื่อของหวาน ลงสู่กระเพาะ ขั้นแรก น้ำตาลจะเคลือบพนังกระเพาะ ทำให้น้ำย่อย หลั่งออกมาน้อย หรือไม่หลั่งเลย

โดยเหตุนี้ ผู้ที่อมน้ำตาลอยู่เรื่อยจึงไม่หิว และกินอาหารได้น้อย และถ้าหากกินอาหารเข้าไปตามเวลา อาหารนั้น ก็จะเกิดบูดในท้อง แทนที่จะย่อย ไปเป็นประโยชน์ต่อร่างกายต่อไป

เพียงหลักการง่ายๆ จากการที่น้ำตาลไปทำลายกระเพาะ ลำไส้ และระบบย่อยเพียงแค่นี้ ก็จะเห็นว่า โรคอื่นๆ ที่หนักหนาสาหัสจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ อย่างไร

อย่าเพิ่งโกรธผมนะครับ ครั้งก่อนๆ อาจจะบรรยายเร็วไปหน่อย หลายคนอาจจะกล่าวหาว่า ผมพูดเอาๆ ก็เลยจำต้องงัดเอาตำรา และการทดลอง จากแพทย์กลุ่มต่างๆ มาเล่าให้คุณฟัง

ถ้ายังโกรธอยู่ก็ไปโกรธพวกหมอเหล่านั้นเถิดครับ.

ไทยรัฐ ๒ มิ.ย. ๔๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น