เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมทิ้งท้ายไว้ว่า “สมัยนี้เรากินดีอยู่ดีเกินไปด้วยซํ้า เรากินแต่ของดีๆ ของแพงๆ อาหารชามละหมื่น หลายๆ หมื่นยังมีเลย
อาหารดีๆ อย่างนี้แหละ ทำให้เป็นโรคขาดอาหารได้ เชื่อไหมละครับ”
ก่อนอื่นขออนุญาตอธิบายคำว่า โรคขาดอาหาร (MALNUTRITION) สักนิดหนึ่งนะครับ ผมแบ่งโรค ขาดอาหาร ออกเป็นสองแบบง่ายๆ คือ 1. อดอยากไม่มีจะกิน 2. มีกินและกินดี กินมากเกินไป
เฉพาะข้อที่ 1. นั้น ได้ยกตัวอย่างประเทศกานาเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โรคขาดอาหาร ซึ่งชาวกานา คิดว่าเป็นโรคประหลาด หรือโรคผีสิง (ควาชิโอคอร์ KWASHIORKOR) นั้นได้คร่าชีวิต ของเด็กๆ ทั่วแอฟริกา ไปเป็นจำนวนนับล้านคน
แต่โรคนี้ไม่ใช่โรคประหลาด แท้ที่จริงก็คือโรคที่เนื่องมาจากความอดอยากไม่มีจะกิน ชาวกานา สมัยสงคราม โลกครั้งที่สอง อดอยากกันจริงๆ สัตว์ทุกชนิด ตั้งแต่สัตว์เลื้อยคลาน จนกระทั่ง แมลงต่างๆ ถูกจับกินหมด ต้นไม้ใบหญ้า แม้แต่รากไม้ถูกเด็ดถูกถอนกินหมด แต่อาหาร ก็ไม่มีเหลือพอ จะแก้ความอดอยากได้ เด็กๆ ตายก่อน จากนั้นก็ถึงผู้ใหญ่ ตายกันเป็นแถว ก่อนจะตายจะมี อาการตัวบวม ท้องป่อง หายใจไม่ออก ขี้เยี่ยวไม่ออก และค่อยๆ อ่อนตัวลงไป จนสิ้นลมหายใจ
ผมนึกไปถึงเด็กๆ ชาวอีสานของเราเมื่อ 30-40 ปีก่อน ตัวผอม พุงโต ตาลึกโหล รูปร่างแคระแกร็น นั่นก็อดอยากเหมือนกัน แต่ยังดี ยังไม่ถึงกับอดตาย เหมือนชาวกานา
เอาละครับ คราวนี้มาถึงโรคขาดอาหารประเภทที่สอง คือ โรคขาดอาหาร เพราะกินดี จนเกินไป ขอยกตัวอย่าง ของจริงกันเลยทีเดียว
คุณ ป. เป็นน้องชายของเพื่อน เป็นนักบริหารระดับผู้จัดการร้านเครื่องก่อสร้าง ที่ใหญ่มาก ที่สุดแห่งหนึ่ง อายุ 37 ปี เพื่อนของผม ฝากน้องชายคนนี้ มาขอพักรักษาตัว สักพักหนึ่ง เพราะตอนนั้น มีอาการของ โรคหัวใจ เส้นเลือดหัวใจอุดตัน เพียงเส้น หรือสองเส้น แพทย์ ประจำตัวเห็นว่า ยังไม่จำเป็น ต้องผ่าตัดทำ BYPASS แต่ขอให้เขาหยุดพักผ่อน และดูแลตัวเอง สักพักหนึ่งก่อน
คุณ ป. อันที่จริงก็ดูเหมือนเป็นคนแข็งแรง รูปร่างสมส่วน ถ้าไม่คิดว่านํ้าหนัก จะมากเกินไป (นํ้าหนัก 92 กก.) ถ้าจะดูว่าอ้วนสมส่วนเพราะรูปร่างสูง ก็ไม่น่าจะวิตก ในเรื่องสุขภาพ จนเกินไปนัก
แต่เมื่อลองคุยกันดูถึงการใช้ชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องการทำงานหนัก และการกินอาหารแล้ว มีอะไร ที่น่าสะดุดใจหลายอย่าง และเมื่อเอาผลตรวจเลือด ซึ่งคุณ ป.เอาติดตัวมาด้วย มาดู ก็ยิ่งน่าตกใจมากขึ้น
เมื่อสมัยจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ อาหารเช้าของคุณ ป.นั้น คุณ ป.กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “กินกันอย่าง เป็นเนื้อ เป็นหนังเต็มที่” คือ ขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอก หรือแฮม และนม ตามด้วย กาแฟหนึ่งถ้วย
ฟังดูแค่นี้ก็น่าแปลกใจ เพราะคุณ ป.มาจากครอบครัวชาวจีน ซึ่งมักจะไม่ชอบอาหารเช้า แบบฝรั่งมากๆ แต่โดยเหตุ ที่คนที่จบมหาวิทยาลัยแล้ว สมัยนี้ ชอบเป็นคนสมัยใหม่ และอาหาร ยอดนิยม ซึ่งถือกันว่า บำรุงร่างกายเต็มที่ ก็เลยต้องเป็นอาหารฝรั่งชนิด เนื้อ-นม-ไข่
แต่เชื่อไหมเล่าครับ ฝรั่งเดี๋ยวนี้ไม่ ว่าจะยุโรปหรืออเมริกา การกินอาหารเช้าแบบนั่งโต๊ะ ไข่ดาว หมูแฮม อย่างนั้น หมดสมัยไปนานแล้ว นอกเสียจาก พวกเศรษฐีบางคน ซึ่งมีคนใช้อยู่ในบ้าน ก็จะได้นั่งโต๊ะ กินอาหารเช้า ซึ่งมีเปอร์เซ็นต์น้อย แต่ส่วนมาก ของชาวบ้าน (ซึ่งบางที ก็รวมพวก เศรษฐีด้วย) ก็ต้องตาลีตาเหลือก ออกจากบ้านแต่เช้า แวะร้านกาแฟ หัวมุมถนน หรือแถวศูนย์การค้า สั่งกาแฟ หนึ่งถ้วย โดนัท หรือมัฟฟิน หนึ่งชิ้น แล้วก็รีบไปทำงาน
คุณ ป.เองก็กินอาหารเช้าแบบเป็นเนื้อเป็นหนังอย่างฝรั่ง อยู่ได้ไม่นานนัก เพราะพอเริ่มทำงาน ก็ต้องทำงานหนัก ต้องลุยเต็มที่ เวลาสำหรับอาหารเช้าเต็มที่ ก็ไม่มี แรกๆ ก็ลดลงมา เหลือกาแฟ หนึ่งถ้วย ปาท่องโก๋สองคู่ หนักๆเข้า บางครั้งปาท่องโก๋หายาก ก็กินแต่กาแฟอย่างเดียว วันหนึ่งๆ ดื่มกาแฟ 5-6 ถ้วยเป็นอย่างตํ่า
ส่วนอาหารกลางวัน ถ้าหากอยู่ที่ทำงาน ก็จะเป็นประเภทข้าวห่อ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวมันไก่บ้าง ก๋วยเตี๋ยวบะหมี่บ้าง แต่ถ้าหากถ้ามีการกินอาหารกลางวัน แบบธุรกิจ ต้องออกไปกิน โรงแรมหรูๆ อาหารจีน จะนำมาก่อนอื่น ตามด้วยพวกอาหาร อิตาลีบ้าง บุฟเฟ่ต์บ้าง ไม่มีแบบแผนที่แน่นอน
แต่อาหารเย็นนี่สิ ผมว่านี่แหละ คือตัวการของโรคขาดอาหาร และโรคสำคัญๆ ของนักบริหาร แทบทุกคน และ โรคขาดอาหารแบบนี้ เกิดจากแฟชั่น การกินอาหารเย็น แบบหนึ่ง คือ “กินเลี้ยงโต๊ะแชร์”
เท่าที่ผมทราบมา การเลี้ยงโต๊ะแชร์กลายเป็นเรื่องสำคัญของวงการธุรกิจ และการเงิน ของเมืองไทย ขณะนี้ นับตั้งแต่สมัยของ IMF เป็นต้นมา การหมุนเงิน การกู้เงิน การทำธุรกิจใหญ่ๆโตๆ อย่างเช่น เรื่องที่ดิน -การก่อสร้าง ชะงักงันโดยสิ้นเชิง
บรรดาพ่อค้าหัวใส จึงหันมาหาวิธีหมุนเงิน ด้วยการเล่นวงแชร์ เป็นการหมุนเงิน ด้วยวิธีง่ายๆ สำหรับผู้ต้องการเงิน และเป็นการปล่อยเงินกู้ได้ดอกเบี้ยสูง สำหรับผู้ที่ต้องการ ได้ดอกเบี้ย จากเงินให้กู้
เท่าที่ทราบวงแชร์แบบนี้มีมากมาย ตั้งแต่มือละตํ่าๆขนาดหนึ่งแสน จนกระทั่งสูงถึงมือละ สิบล้าน ต่อเดือน ถ้ามือละแสน ก็จะมีเงินให้กู้วงละ 2 ล้าน ถ้ามือละสิบล้าน ก็เป็นเงินถึง 200 ล้าน มีวิธีหมุนเงิน วิธีพลิกแพลง การกู้การผ่อนส่ง มากมาย ซึ่งพ่อค้าที่เล่นแชร์ บอกว่าดีกว่า สะดวกกว่า กู้เงินจากธนาคาร หลายเท่า
เอาละครับ เรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องการหมุนเงินแบบนี้ ผมโง่เอามากๆ ไม่มีความรู้อะไรเลย แต่ที่ผมสนใจ ก็คือ คุณ ป.คนนี้แหละ เป็นลูกมือแชร์อยู่ถึง 6 วง หมายความว่า คุณ ป. จะต้องเข้าประชุม ตอนเปียแชร์กัน เดือนละ 6 ครั้ง และแต่ละครั้ง ก่อนจะเปียแชร์ เขาต้องเลี้ยงโต๊ะแชร์กัน
ผมตกตะลึงจริงๆครับ เมื่อเห็นและได้รู้ว่า เขาเลี้ยงโต๊ะแชร์กันอย่างไร เขาจะจัดกันที่ โรงแรมหรูๆ จองห้องมิดชิดใหญ่โต โดยเฉพาะ จะสั่งอาหารจีนชุดใหญ่ หลายสิบคอร์ส หมู เห็ด เป็ด ไก่ หมูหัน เป็ดย่าง หมูย่าง ปูขน ปูนุ่ม หูฉลาม หอย กุ้ง ปู ปลา แล้วบางครั้ง บางคราว ก็ถึงสุดยอด อาหารจีน คือ พระโดดกำแพง อุ้งตีนหมียัดไส้ โถละจานละหมื่น สองหมื่น นั่นแหละ
เฉพาะค่าอาหารอย่างเดียวสำหรับ 20 คน (สองโต๊ะ) สองแสน หรือบางครั้ง ห้าแสนก็ยังเคย
นี่ยังไม่นับเหล้ายาอย่างดี เหล้ายาจีน วิสกี้ บรั่นดี ไวน์ อยากจะเอาอย่างดีแค่ไหน ต่างคน ต่างก็แย่ง หน้าที่ติดมาอวดกัน
คุณ ป. มีงานเลี้ยงโต๊ะแชร์อย่างนี้ เดือนละ 6 ครั้ง
นั่นก็แปลว่า คุณ ป. ต้องไปกินเลี้ยงโต๊ะแชร์อย่างน้อย อาทิตย์ละเกือบสองครั้ง และกินกัน แต่ละครั้ง ก็ใช้เวลาถึง 5-6 ชั่วโมง สองยามแล้ว ยังกินกันไม่เลิกก็มี
นั่นก็เพราะไม่ใช่กินอย่างเดียว ต้องดื่มด้วย และก็ต้องมีบรรดาอีหนูทั้งหลาย มาคอยป้อน คอยเสิร์ฟ หลายคนกินเสร็จแล้ว ก็หายไป กับอีหนูทั้งคืน
ชีวิตของคุณ ป. เป็นอย่างนี้มาหลายปี เมื่อเริ่มทำงานใหม่ๆ เขามีนํ้าหนักเพียง 68 กก. เขาเป็นคน รูปร่างสูงใหญ่ เมื่ออยู่มหาวิทยาลัย เป็นนักกีฬาทีมรักบี้ เขาจึงน่าจะเป็นคนรูปร่างดี สมส่วนและ แข็งแรงมาก
แต่เมื่อทำงานไป และใช้ชีวิตแบบนักธุรกิจมากขึ้นๆ นํ้าหนักเขา ก็เริ่มขึ้น เป็นเงาตามตัว จาก 65 เป็น 70-75 จนกระทั่ง ภายในระยะสิ้นปีนี้เอง นํ้าหนักก็ขึ้นมาถึง 92 กก. โดยเฉพาะ ปีหลังๆนี้ นํ้าหนัก ขึ้นเร็วมาก ปีสุดท้าย ในชั่วระยะ 7-8 เดือน นํ้าหนักขึ้น รวดเดียว 10 กก.
ตั้งแต่เริ่มทำงาน คุณ ป. ไม่ได้ออกกำลังเลย เคยไปร่วมกลุ่มกับเพื่อนๆ ออกกำลัง ที่ทันสมัย กับเขาบ้าง ก็คือเล่นกอล์ฟ แต่ไปเข้าก๊วนอยู่ได้ สองสามครั้ง ก็ไม่ได้ไปอีกเลย
เมื่อคุณ ป. มาอยู่ที่ไร่ของเรา เขาอ่อนเพลียมาก เดินขึ้นเนิน ระยะทางสัก 50 เมตร เขาก็หอบ แน่นหน้าอก เดินไม่ไหว ลองเอาผลของการตรวจเลือด เขามาดู น่าตกใจ ทั้งๆ ที่เขารูปร่าง อ้วนท้วน ใหญ่โต แต่เม็ดเลือดขาว (WBC) ตํ่ากว่า 4000 แสดงว่า คงจะป่วยอักเสบเรื้อรัง ที่ระบบใด ระบบหนึ่ง และต้องใช้ ยาปฏิชีวนะมาก ไขมันเลว LDL สูงมาก คอเลสเทอรอลสูง การทำงานของตับ (SGOT, SGPT) ไม่ดี การทำงานของไต (BUN, CREATININE) ไม่ดี ความดันโลหิตสูง (170/100)
เขาอยู่กับเราสองอาทิตย์ เราเข้มงวดกับเขามาก จัดการเปลี่ยน เรื่องอาหาร ก่อนอื่น ให้เขาออกกำลังกาย ทีละน้อย แล้วเพิ่มมากขึ้น ใช้วิตามิน และแร่ธาตุช่วย และที่สำคัญที่สุด คือต้องหาวิธี แก้เรื่องเครียด เพราะนักธุรกิจ ที่ต้องคอยหมุนเงิน อยู่ทุกอาทิตย์อย่างนี้ เครียดมากๆ
เรามีวิธีแก้หลายวิธี แต่คงจะต้องขอต่อกันโดยละเอียด คราวหน้า
ขอทิ้งท้ายไว้ตรงนี้ก่อนว่า เขาดีขึ้นมาก จนกระทั่งแพทย์ประจำตัวเขาบอกว่า อาจจะไม่ต้องผ่าตัด ขอให้ ดูแลตัวเอง ให้เคร่งครัดต่อไป แต่เชื่อไหมครับ ชั่วเวลาเพียง 2 อาทิตย์ เขาก็กลับไปกิน อย่างเดิม เลี้ยงโต๊ะแชร์อย่างเดิม แล้วเขาก็แย่ลงๆ
แก้ยากที่สุด คือ แก้นิสัยการกิน.
ไทยรัฐ ๒๘ เม.ย. ๔๕ ชีวจิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น