วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตัวร้ายอยู่ในตัวดี

ตัวดี ก็คือตัวเราเองนี่แหละครับ

ตัวร้าย คือเชื้อโรคที่อยู่ในตัวเรา เกิดจากตัวเราและก็ฆ่าตัวเรา

แปลกนะครับ ธรรมชาติสร้างตัวเราขึ้นมาด้วยความวิจิตรพิสดาร ด้วยกลไกซึ่งลึกลับ วิเศษสุดพรรณนา ด้วยความวิเศษและวิจิตรพิสดารสุดพรรณนานี้ เราสามารถจะมีชีวิตอยู่คู่โลกไปตราบเท่าดินฟ้าสลาย

แต่นั่นเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่อยู่ได้คงทนชั่วฟ้าดินสลาย ไม่มีแม้แต่โลกใบนี้ ของเราเอง สักวันหนึ่งอีกไม่นาน--ไม่นานนี้ ถ้าติดตามเวลาของโลกและจักรวาลแล้ว-ก็อีกประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น --โลกของเราก็จะต้องแหลกสลายไปตามกาลเวลา

ในเมื่อโลกก็ต้องมีวันสิ้นอายุ แล้วมนุษย์ซึ่งต้องอาศัยโลกอยู่จะให้มีอายุยืนยาวเกินโลกสลาย ไปได้อย่างไร สร้างตัวดีคือเราขึ้นมาแล้ว ธรรมชาติก็ต้องสร้างตัวร้ายขึ้นมาในตัวเรา ตัวร้ายนี้มีหน้าที่ทำลายตัวเราไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาอันสมควร เราก็ต้องจากตัวดีคือร่างกายของเราไป นั่นคือตาย

ตัวร้ายนี้ ก็คือเชื้อโรคไงละครับ

และตอนนี้ ก็ถึงเวลาที่ผมจะเริ่มต้นเรื่องเกี่ยวแก่โรคภัยไข้เจ็บ หรือตัวร้าย ซึ่งจะมาบั่นทอนชีวิตของเราให้สิ้นสุดไปก่อนถึงเวลาอันสมควร

ตอนนี้ก็ถึงเรื่องสืบต่อจากครั้งที่แล้ว คือ เรื่องของการกิน “YOU ARE WHAT YOU EAT” คุณกินอะไรเข้าไป คุณก็เป็นอย่างนั้น

เรื่องของการกินคือ การสร้างชีวิต เชื้อโรคซึ่งเกิดจากการกินคือ ตัวทำลายชีวิต

ขอแนะนำตัวร้ายตัวแรก ซึ่งดูเหมือนมันจะอยู่คู่กับตัวเราเองมาตั้งแต่เกิด ขอเรียกเป็นภาษาแพทย์ว่า E.COLI.

อี.โคไล นี้ย่อมาจากคำเต็มว่า ESCHERICHIA COLI (อ่านว่า เอสเชอริเคีย โคไล)

อี.โคไล เป็นเชื้อสายของตระกูลเชื้อโรคทั้งหมดในท้องไส้ของเรา ตระกูลนี้มีชื่อว่า ENTEROBAC-TERIACEAE (เอ็นเทอโร-แบ็คที-อีริเอ-ซี)

ขอโทษทีครับ อย่าหาว่าผมดัดจริตทำตัวเป็นผู้รู้เลย แต่เห็นว่าเมื่อจะพูดกันทางวิชาการแล้ว ก็อยากให้คุณเริ่มต้นกันอย่างเป็นทางการบ้างว่า ต้นสายปลายเหตุนั้น มันเป็นมากันอย่างไร เรื่องของการกินนั้น จะว่ากันไปแล้ว ก็คือเรื่องของการมีชีวิตหรือการสร้างชีวิตของเรา ตลอดปีนี้ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะเขียนเรื่องนี้ให้ความรู้ทางวิชาการกันจริงๆ พร้อมกันนั้น เราก็จะใช้วิธีคุยกันอย่างเพื่อนอย่างพี่ อย่างน้องของเราว่า เราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาของเราด้วยกันได้อย่างไร แทนที่ว่าเมื่อเจ็บป่วยขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้เรื่องและต้องเอาชีวิตของเรา ไปฝากอยู่กับหมอและโรงพยาบาลเพียงอย่างเดียว

เชื้อโรคตระกูลนี้มีเชื้อโรคอยู่ในท้องไส้ของเรามากมายหลายชนิด มีทั้งเชื้อโรคซึ่งเป็นประโยชน์ ต่อเราก็มีเชื้อโรคซึ่งร้ายๆ ทำเอาถึงตายได้ทันทีก็มีหลายตัวอีกเช่นกัน

ตัวร้ายตัวหนึ่งในจำนวนหลายๆตัวนี้ ก็คือ อี. โคไล นี่แหละครับ เชื้อโรคตัวนี้มีความสำคัญต่อชีวิตของเราอย่างเหลือเกิน เพราะมันอยู่กับเรามาตั้งแต่เราเกิด ก็ว่าได้ และแม้ว่าการแพทย์ ปัจจุบันจะเริ่มต้นอย่างเป็นหลักเป็นฐานมากว่าสองร้อยปีแล้ว แต่ความ รู้เรื่องเชื้อโรคในท้องไส้ของเราก็เพิ่งจะมาเป็นตัวเป็นตนเมื่อประมาณ 115 ปีมานี้เอง

ผู้ให้กำเนิด อี.โคไล หรือ ESCHERICHIA COLI นี้ก็คือ ESCHERICH THEODOR ซึ่งเป็นแพทย์ชาวเยอรมัน เกิดเมื่อปี 1857 ท่านเป็นหมอเด็ก และก็สนใจเรื่องการเจ็บป่วยของเด็กๆ อย่างล้นเหลือ ท่านพบว่าการป่วยของเด็กซึ่งร้ายแรงจนถึงอันตรายนั้น มีอาการคล้ายๆกัน ตอนเริ่มต้นคือ คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายปัสสาวะ อุจจาระเป็นเลือด แล้วก็ถึงแก่เสียชีวิต

ท่านได้พบว่าสาเหตุเบื้องต้น ซึ่งเมื่อสอบประวัติเด็กที่ป่วยแล้วนั้น พฤติกรรมในการกินเหมือนกัน คือจากอาหารที่ประกอบไปด้วย โปรตีน คือ เนื้อ นม และนํ้า ท่านแน่ใจว่าสาเหตุมาจากอาหาร

แต่อะไรเล่าที่อยู่ในอาหารและทำให้ อาหารเป็นพิษ คำถามนี้เองแหละที่เมื่อได้คำตอบแล้วก็ได้ช่วยให้เด็กๆ มีชีวิตอยู่รอด มีลูกมีหลานสืบต่อมาบัดนี้ได้หลายร้อยล้านคน

โชคดีที่ท่านเกิดมาเป็นแพทย์ที่สนใจ ในด้านค้นคว้าและศึกษาเรื่องต้นตอของโรคภัยไข้เจ็บ มากกว่าการเป็นหมอรักษาคนไข้ ท่านศึกษาด้วยตนเองมามากเหลือเกินในด้านเชื้อโรคตระกูลต่างๆ ศึกษาในด้านภูมิต้านทาน ซึ่งเป็นต้นตอของภูมิชีวิต หรือ IMMUNE SYSTEM ศึกษามาในเรื่องชีวเคมี และที่สำคัญที่สุด ท่านได้พบว่า ต้นตอสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดโรคก็คือ ความสกปรกของอาหาร (HYGIENE AND NUTRITION)

และจากแนวคิดและความเชื่อในพื้นฐานของการเจ็บป่วยของเด็กๆ ดังนี้นี่เอง ท่านได้ทิ้งการเป็น แพทย์รักษาเด็กไว้ก่อน ท่านเข้าห้องแล็บอุทิศเวลาอยู่ในห้องทดลอง ค้นคว้าหาตัวเชื้อโรคที่ท่านคิดว่า เป็นต้นตอของการเจ็บป่วยของเด็กทั้งหลาย และท่านก็ได้พบเชื้อ อี.โคไลนี้เป็นคนแรกเมื่อปี 1886

จะเห็นนะครับว่า ชื่อของท่านได้กลายเป็นชื่อของเชื้อโรคที่ท่านได้ค้นพบ (ESCHERICH->ESCHERI-CHIA.) และเชื้อ อี.โคไล ขณะนี้ได้กลายเป็นตัวสำคัญหรือตัวจุดประกายที่ทำให้โลกวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบเรื่องยีน หรือพันธุกรรมอันเป็นแนวใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของการค้นพบในปัจจุบันนี้

(โปรดสังเกตนะครับว่าผมใช้คำว่า “โลกวิทยาศาสตร์” ไม่ใช่ “โลกการแพทย์”)

แต่เรื่องของ อี.โคไล ไม่ใช่เป็นสาเหตุการเจ็บป่วยร้ายแรงของเด็กๆ เท่านั้น แม้แต่ผู้ใหญ่แข็งแรงล่ำสันทุกๆ คน ก็มีสิทธิจะป่วยร้ายแรงจาก อี.โคไลนี้ด้วย ถ้าหากว่าคุณจะกินอาหารอย่างขาดสติและไม่ระมัดระวัง

ขอเล่าเรื่องจริงซึ่งโด่งดังไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกของท่านที่ชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ดหรือ อาหารจานด่วน

ลี ฮาร์ดิ้ง หนุ่มอเมริกัน อายุ 22 ปี จากพิวโบล คาโลราโด พาภรรยาของเขา-สเตซี่ ออกไปกินอาหารนอกบ้านคืนวันศุกร์ ลีและภรรยามีงานดี เงินดี และอยู่ในสภาพที่เรียกว่าเป็นครอบครัวตัวอย่างฐานะดี การศึกษาสูง ลีเป็นผู้จัดการซุปเปอร์มาร์เกตชั้นนำ คือเซพเวย์ สเตซี่เป็นผู้จัดการร้านอาหารเวนดี้ส์ คืนวันนั้นเป็นคืนวันศุกร์ปลายสัปดาห์ ซึ่งหนุ่มสาวจะต้องออกไปเที่ยวด้วยกัน

ลีพาภรรยาออกไปเที่ยวแล้วตกลงจะไปกินอาหารที่ร้านเม็กซิกัน สั่งทาโคส์ไก่ และเมื่ออาหารมาถึงลีรู้สึกว่าทาโคส์ไก่ของเขามีกลิ่นผิดปกติ เนื้อไก่ที่อยู่ในทาโคส์ดูเหมือนจะเหลวแหยะๆ และมีเมือกมากผิดปกติ แต่ลีก็ไม่คิดว่าเนื้อไก่นั้นจะเสีย เขาจึงกินเข้าไปจนหมดชิ้น

หนึ่งชั่วโมงหลังจากกินอาหารคํ่า เขาปวดท้องอย่างรุนแรง ลีบอกว่า รู้สึกเหมือนไส้จะบิดขาดออกจากกัน แต่โดยเหตุที่เขาเป็นคนแข็งแรงมาก ร่างกายเขาสมบูรณ์ ไม่เคยเจ็บป่วยอะไรมาก่อนเลย ลีจึงคิดว่าเขาเพียงแต่ปวดท้องเล็กน้อยตามธรรมดา เขาเข้านอน ทั้งๆที่ปวดท้องตลอดคืน

พอตกดึก เขาก็คลื่นไส้อาเจียนและท้องเดินตลอดคืน พอตอนเช้าเขาถ่ายออกมาเป็นเลือด ตอนสายอาการปวดท้องทุเลาลง แต่ยังถ่ายเป็นเลือดอยู่ตามเดิม

ลีคิดว่าอาการเขาคงดีขึ้น เขาจึงไม่ยอมไปหาหมอ และคิดว่าวันจันทร์เขาคงไปทำงานได้ แต่ถึงเช้าวันจันทร์ลีก็ยังคงถ่ายเป็นเลือดตามเดิม

เขาตัดสินใจเข้าโรงพยาบาลเซ็นต์แมริคอร์ริน ซึ่งเป็นโรงพยาบาลใหญ่ที่สุดและทันสมัยที่สุดของเมืองพิวโบล หมอตรวจดูแล้วบอกว่า เขาคงเป็นไข้หวัดธรรมดา บอกว่าไม่ต้องทำอะไรมาก ให้ยาปฏิชีวนะและให้เขากลับบ้าน และบอกว่า จะส่งอุจจาระของเขาไปตรวจที่ศูนย์ทดลอง

เช้าวันอังคาร เขาได้ยินเสียงเคาะประตู เขาเปิดประตูออกไปพบจดหมายจากศูนย์ควบคุมโรคของเมืองพิวโบล แจ้งว่าได้พบเชื้อ อี.โคไล สายพันธุ์ที่ 0157 : H7 ขอให้เขาติดต่อศูนย์ควบคุมโรคด่วน

เมื่อเขาติดต่อไป เจ้าหน้าที่ถามว่า เขาไปกินอะไรมา เขาตอบว่า กินทาโคส์ไก่ เจ้าหน้าที่บอกว่า เป็นไปไม่ได้ เพราะไม่เคยปรากฏว่า เชื้อ 0157 : H7 จะมีอยู่ในเนื้อไก่ ขอให้เขาทบทวนดูให้ดี ในระยะ 5 วันที่ผ่านมาเขาไปกินอะไรอีก

ลี ฮาร์ดิ้ง จำได้ว่าเขาได้ซื้อเนื้อบด ซึ่งทำเป็นก้อนแฮมเบอร์เกอร์แช่แข็ง มาเก็บไว้ในบ้าน และเขาได้กินเนื้อบดไป 2-3 ก้อน ระหว่างอาทิตย์ที่แล้ว แต่เขาก็ยืนยันแข็งขันว่า เนื้อแฮมเบอร์เกอร์ที่เขากินเข้าไปนั้น เป็นเนื้อดี ไม่มีทางที่จะทำให้เขาป่วยได้

เจ้าหน้าที่ถามว่า เนื้อที่เก็บไว้ในตู้เย็นของเขานั้นยังมีเหลืออีกไหม เขาบอกว่ามี และมอบเนื้อให้เจ้าหน้าที่ไปหมด เจ้าหน้าที่ส่งเนื้อไปที่ศูนย์แยก DNA ซึ่งเป็นหนึ่งในหกของอเมริกาที่ตรวจเชื้อด้วย DNA ได้

อีก 17 วันต่อมา หลังจากที่เขาป่วย เจ้าหน้าที่ก็แจ้งมาว่า เนื้อแฮมเบอร์เกอร์ของ ลี ฮาร์ดิ้ง มีเชื้อ อี.โคไล 0157 : H7 อยู่แน่นอน

เชื้อตัวนี้ทำให้คนเจ็บป่วยและตายในอเมริกาหลายล้านคนแล้ว เคราะห์ดี ลี ฮาร์ดิ้ง ยังไม่ตาย แต่เขาก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด เพราะเชื้อตัวนี้

เรื่องของ ลี ฮาร์ดิ้ง โด่งดังไปทั่วโลก

ขอต่อตอนสำคัญตอนหน้าครับ-เมืองไทยว่าอย่างไร?

ไทยรัฐ ๑๓ ม.ค.๔๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น