วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตัวร้ายกลายเป็นตัวดี (4) อย่ากินแบบหลับหูหลับตา

ขอต่อเรื่องแคลเซียมอีกครั้งครับ เพราะเรื่องนี้โยงไปถึงเรื่องนม ซึ่งกำลังเป็นเรื่องใหญ่ ของวงการอาหารจากตะวันตกครับ

เรื่องของนมมาแรงเหลือเกิน ยิ่งเป็นยุคของอาหารยอดนิยม คือ เนื้อ นม ไข่ และอาหารจานด่วน หรือฟาสต์ฟู้ดเข้าด้วยแล้ว ใครไม่รู้จัก หรือใครไม่เคยกิน หรือใครไม่กินเป็นอาหารประจำ ก็ดูเหมือนจะเชยจนตกขอบโลกไปเลย

หรือใครที่ร่างกายไม่แข็งแรง ก็จะสรุปง่ายๆ ว่า เพราะขาดอาหารสำคัญ คือ นม กลายเป็นว่า ถ้าไม่กินนมก็จะต้องเจ็บไข้ได้ป่วย อายุสั้น หรือมิฉะนั้นก็เจ็บป่วยถึงตายแน่นอน

ผมไม่ได้ต่อต้านเรื่องนม (วัว) และจะไม่พูดถึงโทษของนมอีก เพราะได้พูดไปหลายครั้งจนกระทั่ง ถูกรุมสับโขกเละไปเลย เพราะฉะนั้น จะไม่พูดอีก แต่คราวนี้จะขอพูดถึงเรื่องการโฆษณา อย่างหนักของการกินนม (วัว) ว่า ถ้าคุณจะกินเพราะชอบ เพราะกินแล้วคุณแข็งแรงก็กินเถอะ แต่อย่ากินเพราะเชื่อคำโฆษณาของพ่อค้านม และควรจะรู้ความจริงเกี่ยวกับนมว่า มีธาตุอย่างโน้นอย่างนี้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะเรื่องของนมกับแคลเซียมดัง ที่ผมได้เขียนทิ้งไว้ เมื่ออาทิตย์ก่อน

จริงครับ ผมขอรับรองว่าเป็นความจริงที่ว่านมมีแคลเซียม ถ้ากินนมแล้วก็จะได้ แคลเซียมมากนั้น ก็จริงอยู่ แต่ในโฆษณานั้นพูดเหมือนกับว่า มีแต่นมเท่านั้นที่มีแร่ธาตุ แคลเซียมอยู่ อาหารอย่างอื่นไม่มีเลย

ถ้าคุณเชื่ออย่างนั้น แปลว่าคุณเข้าใจผิด หรือไม่เช่นนั้น คุณก็เชื่อคำโฆษณาโดยไม่เก็บ มาคิดเลยว่ามันจริงหรือไม่

ความจริงนั้น นมแท้ๆ มีแคลเซียมน้อยกว่าที่โฆษณามากมายนัก ในตารางของ FOOD COMPOSITION ของ NUTRITION ALMANAC ปี 1990 ระบุไว้ว่า นมสด (ซึ่งยังไม่ปรุงแต่งหรือ WHOLE MILK) 200 กรัม จะมี แคลเซียม 291 มก. เท่านั้น

แต่ผลิตผลจากนม เช่น นมผงปราศจากไขมัน หรือเนยแข็ง กลับมีแคลเซียมมากกว่านมดื่ม มากมาย เช่น นมผงปราศจากไขมัน มี แคลเซียม 1,508 มก. และเนยแข็งริคอทตา มี แคลเซียม 669 มก.

เพราะฉะนั้น ที่เขาโฆษณาว่า นมดื่มมีแคลเซียมมากที่สุดนั้นจึงไม่จริง

นอกไปจากนั้น ยังมีอาหารอื่นๆ อีกมากมายที่มีแคลเซียมมากกว่าในนมหลายเท่า อย่างเช่น สาหร่ายทะเลชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า วากาเบะ 200 กรัม (เท่ากับนม 1 ถ้วย) มี แคลเซียมถึง 2,600 มก.

หรือแม้แต่พวกผักต่างๆ หรือถั่วต่างๆ ก็มีแคลเซียมอยู่ไม่น้อยหน้านมดื่มเลย อย่างเช่น ผักกาดขาว อย่างใหญ่ (CHINESE CABBAGE) หนัก 200 กรัม เท่ากับนมเหมือนกัน มี แคลเซียม 220 มก. หรือถั่วกาเบนโซ (เม็ดแบนๆ ลายๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือ) มี แคลเซียม 300 มก. เป็นต้น

นี่คือข้อพิสูจน์อีกข้อหนึ่ง ซึ่งจะชี้ให้ท่านผู้อ่านได้เห็นว่า แคลเซียมไม่ได้มีแต่ในนมอย่างเดียว แต่อาหารอื่นๆ แทบทุกอย่างมีแคลเซียมทั้งนั้น บางอย่างมีมากกว่าในนมมากมายนักด้วยซํ้า

และที่โฆษณากันว่า อาหารประเภทเนื้อ นม ไข่ มีสารอาหารครบถ้วน ซึ่งหมายถึงมีแคลเซียม มากมายด้วยนั้นก็ไม่จริง ขอยกตัวอย่าง เนื้อ และไข่ ดังนี้

เนื้อวัวล้วนๆ (STEAK) 450 กรัม มี แคลเซียมเพียง 22 มก. เนื้อหมู (PORK CHOP) 150 กรัม มี แคลเซียมเพียง 7 มก. หรือไข่ 1 ฟอง มี แคลเซียม 28 มก.

เนื้อและไข่มีแคลเซียมน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับแคลเซียม ซึ่ง RDA แนะนำไว้ว่า โดยทั่วๆ ไป คนเราซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วควรจะได้รับแคลเซียมเข้าไปในตัวเราอย่างน้อย 800 มก. ถึงสูงสุด 1,200 มก.ต่อวัน

RDA (RECOMMENDED DIETARY ALLOWANCE) นี้คือมาตรฐานของกรรมาธิการอาหาร และยาของสหรัฐอเมริกาได้แนะนำไว้ มาตรฐาน RDA ได้กลายเป็นมาตรฐานสากล ซึ่งวงการวิทยาศาสตร์ทางอาหารทั่วโลกนำไปใช้เป็นมาตรฐาน ซึ่งรองรับและเชื่อถือได้

ถึงตอนนี้ ผมก็ต้องดึงท่านผู้อ่านมาถึงข้อ เท็จจริงเกี่ยวแก่แคลเซียม ซึ่งผมได้เขียนทิ้งท้าย ไว้ในฉบับที่แล้ว โดยขอแยกเป็นข้อๆ ดังนี้

1. ขณะนี้มีการชักชวนและโฆษณาจากวงการอาหาร-เภสัชกรรม และแม้แต่แพทย์บางคน ให้กินแคลเซียมอย่างชนิดเป็นเม็ด และอย่างชนิดที่เป็นอาหารเสริมมากกว่าปกติ

ผมจึงได้เตือนไว้ว่า อย่ากินแคลเซียมกันอย่างชนิดหลับหูหลับตา แต่ขอให้กินด้วยความเข้าใจ และรู้ผลเป็นอย่างดีแล้ว

ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ การดูดซึมของแคลเซียม ซึ่งเป็นเม็ดหรืออาหารเสริมนั้น ร่างกายดูดซึม ได้เพียงประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เหลือนอกนั้น จะถูกขับออกจากร่างกาย เกือบหมด การกินแคลเซียมแบบเป็นอาหารเสริม จึงไม่ได้ประโยชน์อะไรนัก เสียเงินมากมายโดยใช่เหตุ

สู้เรามาหาแคลเซียมใส่ตัวเราด้วยการกินอาหารประจำวันนี่แหละจะดีกว่า ขอให้กินอาหาร ให้ถูกหลักการวิทยาศาสตร์ทางอาหาร และกินให้ถูกส่วน อย่างเช่น อาหารที่มีข้าวซ้อมมือ 50% มีผัก 25% มีโปรตีนจากพืช 15% (ปลาได้อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง) และเบ็ดเตล็ด 10%

โปรตีนจากพืชนั้น เราก็ใช้พวกถั่วๆ ต่าง ถั่วแดง-ดำ ถั่วเหลือง แล้วก็แถมสาหร่ายทะเลร่วมกับ อาหารทะเลสักอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง เราก็จะได้แคลเซียมเหลือเฟือเกิน 1,200 มก. ดังที่ RDA แนะนำไว้ เสียด้วยซํ้า

2. แร่ธาตุ แคลเซียมซึ่งเข้าไปในร่างกาย และไปบำรุงและสร้างกระดูก ฟัน เล็บได้ดีนั้น จะต้องมีแร่ธาตุและวิตามินอื่นร่วมเสริมเข้าไปด้วย

ความสำคัญของการทำงานของแคลเซียมเพื่อสร้างกระดูกและฟันในร่างกายนั้น จะต้องได้ฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุอีกตัวหนึ่งเข้ามาช่วยเสริมด้วย และสัดส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสนั้น จะต้องเป็น 2 ต่อ 1 สัดส่วนนี้ผิดไปไม่ได้ ถ้าผิดไปต้องเจ็บป่วยแน่นอน

นอกไปจากนั้น แคลเซียมยังมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยให้การทำงานของระบบเลือดหัวใจให้เป็นไป อย่างถูกต้อง การที่จะให้แคลเซียมทำงานในด้านนี้ได้ดีเต็มที่นั้น ต้องมีแร่ธาตุแมกนีเซียมมาช่วย เสริมด้วย สัดส่วนระหว่างแคลเซียมกับแมกนีเซียมก็ต้องเป็น 2 ต่อ 1 เช่นกัน

นอกไปจากนั้น เมื่อกินอาหารครบถ้วนเข้าไปในร่างกาย อาหารถูกย่อยแล้ว และร่างกายจะแยก แคลเซียมออกมาจากอาหารได้ ต้องมีวิตามิน D เข้ามาช่วย

โดยเหตุนี้ การที่จะแก้โรคต่างๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากการขาดแคลเซียมนั้น การแก้ขั้นแรกจึงอยู่ที่การกิน อาหารที่ถูกต้องเสียก่อน

กินอาหารที่ถูกต้องตามสูตร (ก็สูตรชีวจิตน่ะแหละครับ) และกินให้ถูกสัดส่วนด้วย

และถ้ารู้สึกว่ามันยังไม่สมบูรณ์เต็มที่ จึงค่อยกินแคลเซียมอย่างเป็นอาหารเสริม เพิ่มเติม

อย่าไปกินอาหารเสริมเป็นตัวหลัก แล้วก็ไม่สนใจอาหารตามสูตรประจำวันเป็นอันขาด.

# # # # # #

คอร์สสุขภาพชีวจิต

ชมรมชีวจิตจัดคอร์สสุขภาพอีกครั้งหนึ่งแล้วครับ เข้าค่ายสุขภาพแนวเดิม โหด-มัน-ฮา พร้อมภาคปฏิบัติ เข้มข้น 27 เม.ย.-1 พ.ค. สมัครด่วน โทร. 0-1439-4110 และ 0-1976-4000 หรือ FAX 0-2570-8273.

Copy right(c)2000 by Vacharaphol Co.,Ltd.
1 Viphavadirangsit Rd. Bangkok 10900 Thailand Tel.(662) 272-1030 Fax. (662) 272-1324

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น