วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตัวร้ายกลายเป็นตัวดี

ท้องไส้ของเรามีเชื้อโรคในลักษณะที่เกิดขึ้นเองมากมายเป็นสิบๆ ชนิดนะครับ นี่พูดถึงชนิดที่ เราพอ จะรู้จักเท่านั้น แต่ชนิดที่เรายังไม่รู้จักดีซึ่งมันมักจะแอบอยู่เฉยๆ ในตัวเรา ไม่แสดงอาการอะไร ถ้าอย่างนี้แล้วละก็นับได้เป็นร้อยๆ ชนิด

แต่บางอย่างแม้เป็นเชื้อโรค แต่กลับเป็นยา เป็นตัวป้องกันและปราบปรามเชื้อโรคซึ่งเป็นศัตรูของเรา ก็มีมาก เรามักจะเรียกกันรวมๆ ว่า เป็น “เชื้อโรคซึ่งเป็นเพื่อน” (FRIENDLY BACTERIAหรือ FRIENDLY FLORA AND FAUNA)

เชื้อโรคซึ่งเป็นศัตรูเกิดขึ้นได้เองในท้องไส้ของเราส่วนมากมาจากอาหาร ซึ่งได้เล่าให้ฟังใน 3-4 ฉบับที่แล้วมา อย่างเช่น อี.โคไล ซาลโมเนลลา เชื้อสตาฟ เป็นต้น และ “เชื้อโรคซึ่งเป็นเพื่อน” ของเราก็เกิดขึ้นได้ จากอาหารเหมือนกัน

“เชื้อโรคซึ่งเป็นเพื่อน” เหล่านี้มีหลายตัวครับ และเชื้อที่เรารู้จักกันมานาน ก็คือเชื้อในกลุ่มของ LACTOBACILLUS และเชื้อตัวนี้เรารู้จักกันดีว่ามีอยู่ใน นมเปรี้ยว

ขออนุญาตคุยกันสนุกๆ เรื่องเชื้อโรคตัวนี้สักนิด และจำเป็นที่จะต้องตั้งต้นด้วยเรื่องของผู้ค้นคว้า เรื่องเชื้อโรคตัวนี้ คนหนึ่งซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซีย ชื่อ อีเลียส เมคนิคอฟ หรือชื่อเต็มๆ ว่า อิลยา อิลยิช เมคนิคอฟ (ILYA ILYICH MECHNIKOV)

ผลงานของอาจารย์เมคนิคอฟ ผู้นี้ถูกเบียดบังมากพอสมควร อาจจะเป็นเพราะสาเหตุ ที่ท่านเป็นชาวรัสเซีย ก็ได้ ท่านเป็นคนสมัยศตวรรษที่ 19 คือ เกิดใน ค.ศ. 1845 และเมื่อปี 1908 ท่านได้รับรางวัลโนเบลในด้าน สาขา “ภูมิต้านทาน” หรือ “ภูมิชีวิต”

อาจารย์เมคนิคอฟ คงจะเป็นคนแรกในโลกที่สามารถแยกแยะการทำงานของเลือดขาวชนิดต่างๆได้สำเร็จ ท่านได้ค้นพบการทำงานร่วมกันระหว่างเลือดขาว ลูโกไซท์ และ ฟาโกไซท์

สมมติว่ามีเชื้อโรคตัวใดตัวหนึ่งหลุดเข้าไปในร่างกาย เจ้าตัว ฟาโกไซท์ นี้ จะรีบเข้าไปล้อมหรือจับตัวเจ้าเชื้อโรคนี้ไว้ และถ้าฆ่าเจ้าเชื้อโรคนี้ได้ (ถ้ามีกำลังพอ) ก็จะ ฆ่า หรือ เขมือบ แต่ถ้าไม่มีกำลังพอ เจ้าลูโกไซท์ ชนิดต่างๆ ก็จะเข้ามาช่วยรุมล้อม จัดการกลืนกินเจ้าเชื้อโรคจนราพณาสูรไปเลย

นี่คือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศตวรรษที่ 20 จนทำให้อาจารย์เมคนิคอฟได้รับรางวัลโนเบล เมื่อปี 1908 แต่อาจารย์เมคนิคอฟก็ไม่ดัง โดยเฉพาะในหมู่แพทย์ชาวอเมริกัน

และเรื่องของความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ได้ค้นพบเรื่อง “เชื้อโรคซึ่งเป็นเพื่อน” ในนมเปรี้ยวของอาจารย์เมคนิคอฟ

แต่ก็อีกนั่นแหละ ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่จากการค้นคว้าของอาจารย์เมคนิคอฟ ไม่สู้จะได้รับการยกย่อง และสรรเสริญมากมายนักในวงการแพทย์ของอเมริกัน ในปี 1916 เมื่ออาจารย์เสียชีวิตไปแล้ว ได้รับการกล่าวขวัญถึงในแมกกาซีน NATURE ของอเมริกันว่า เป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างมากในด้าค ้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น

แต่ในโลกวิทยาศาสตร์และการแพทย์ของยุโรป และโดยเฉพาะ อย่างยิ่งในฝรั่งเศส ให้การยกย่องอย่างสูงว่า อาจารย์เมคนิคอฟเป็นนักชีววิทยา และผู้เชี่ยวชาญด้านแบคทีเรีย (BAC-TERIOLOGIST) ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

และในวงการอุตสาหกรรมทำผลิตผลจากนมเปรี้ยว ซึ่งขายดิบขายดีกันอยู่ในขณะนี้ รํ่ารวยกันเป็น ล้านล้าน เหรียญ รวมทั้งในเมืองไทยด้วยกันนั้น น่าจะมีรูปของอาจารย์เมคนิคอฟไว้ในที่ทำงาน หรือในโรงงาน แล้วจุดธูปกราบเช้ากราบเย็นที่ท่านเป็นคนชี้ช่องทางหากินจนรํ่ารวยอยู่ได้จนบัดนี้

อาจารย์เมคนิคอฟได้เขียนตำราไว้สองเล่ม คือ NATURE OF MAN และ THE PROLONGATION OF LIFE โดยความสำคัญได้พูดถึงการที่มนุษย์รุ่นปัจจุบัน (หมายถึงรุ่นของท่านเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว) ต้องมีอายุสั้นนั้น ก็เพราะอาหารการกิน ซึ่งก่อให้เกิดโรคจากเชื้อโรคในลำไส้ เชื้อโรค ในลำไส้นี้จะปล่อยพิษ หรือท็อกซินออกมา และจะทำ ลายผนังเส้นเลือดทั่วร่างกาย ทำ ให้เกิดการแก่ เกินวัย และทำให้อายุสั้น

อย่างไร ก็ตาม อาจารย์ เมคนิคอฟได้ค้นคว้าต่อไป และได้พบ หนทางแก้ ท่านกล่าวว่าเชื้อ โรคในลำไส้นี้มีหลายกลุ่ม บางกลุ่มก็เป็นเชื้อโรคที่อาศัยอยู่ในร่างกายเราตลอดไป และเชื้อโรคกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เป็นเพื่อนคอยช่วยดูแลต่อสู้กับ เชื้อโรคที่เป็นอันตรายและทำลายร่างกาย

อาจารย์เมคนิคอฟได้ค้นพบ “เชื้อโรคซึ่งเป็นเพื่อน” จากอาหารประเภทนมและหมักดอง เช่น นมเปรี้ยว กีเฟอร์ (นมเปรี้ยวเหมือนกันแต่มีแอลกอฮอล์ปนอยู่) เซาเออเคราท์ (กะหล่ำ-ปลีดอง) และแตงกวาดองเกลือ

ขั้นแรก อาจารย์เมคนิคอฟได้ทดลองให้อาหารเหล่านี้กับพวกหนูทดลอง และก็ได้ให้อาหารเป็นพิษแก่ พวกหนูเหล่านั้นก่อน ปรากฏว่าอาหารประเภทนมเปรี้ยวและอาหารหมักดองเหล่านี้ สามารถลดท็อกซิน จากเชื้อโรคอื่นได้มากมาย

ต่อมาเมื่ออาจารย์เมคนิคอฟได้ไปทำงานร่วมกับหลุยส์ ปาสเตอร์ ผู้ยิ่งใหญ่ในด้านค้นพบวัคซีน ต่อต้านเชื้อโรค เขาได้รับตำแหน่งรองผู้อำนวยการในสถาบันปาสเตอร์ และได้เริ่มค้นคว้างานในด้าน สร้างมนุษย์ให้ แข็งแรง และมีอายุยืนตามธรรมชาติ เขาได้ค้นคว้าในด้านอาหารจากนมเปรี้ยว บุลกาเรีย ซึ่งในสมัยนั้นเรียกกันว่า บุลกาเรีย ยาฮูท (BULGARIAN YAHOURTH) และได้พบว่า เชื้อแบคทีเรียจากนมเปรี้ยวบุลกาเรียนี้ มีคุณภาพสูงสุด ในการปราบปรามเชื้อโรคต่างๆ ในลำไส้

อาจารย์เมคนิคอฟได้ค้นคว้าต่อไปถึงเรื่องของนมเปรี้ยว ได้พบว่านมเปรี้ยวเป็น อาหารสามัญประจำชาติในแอฟริกา อินเดีย ยุโรปตะวันออก ฝรั่งเศส และแม้แต่ในบางส่วน ของอเมริกา ทีมงานของอาจารย์ เมคนิคอฟ ซึ่งเดินทางไปศึกษาเรื่องอาหารเกี่ยวกับนมเปรี้ยวทั่วโลก ได้พบว่าประชาชนบางประเทศที่กินนมเปรี้ยว มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย จะมีอายุยืนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะชาวบุลกาเรียซึ่งกินนมเปรี้ยวบุลกาเรียเป็นประจำนั้น ทีมงานได้พบคนอายุยืนกว่าร้อยปีจำนวนมากมาย

อาจารย์เมคนิคอฟเริ่มแน่ใจในสูตรของการทำนมเปรี้ยว จึงได้ประกาศเผยแพร่สูตรนมเปรี้ยว และสนับสนุนให้โรงงานทำนมต่างๆ ผลิตนมเปรี้ยวออกมาสู่ประชาชนในฝรั่งเศส ปรากฏว่าได้รับความสำเร็จอย่างงดงาม

แต่อาจารย์เมคนิคอฟปฏิเสธไม่ยอมรับผลตอบแทนจากกำไรในการจำหน่ายนมเปรี้ยวในฝรั่งเศส ไม่ยอมรับผลประโยชน์แม้แต่สตางค์แดงเดียว ประกาศว่า ท่านต้องการให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ ทุกคนในโลก โดยไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องแม่แต่นิดเดียว

จนกระทั่งอาจารย์เมคนิคอฟวายชนม์ไปแล้วตั้งกว่า 40 ปีนั่นแหละครับ ทางอเมริกาจึงได้ หันมาสนใจ ประโยชน์ของนมเปรี้ยว โดยเฉพาะ จากเชื้อ LACTOBACILLUS ACIDOPHILUS ซึ่งใช้ในการผลิตนมเปรี้ยวและโยเกิร์ต

ที่โรงพยาบาลไมเคิล วีส ที่ชิคาโก เริ่มตั้งแต่ ประมาณปี 1965 เป็นต้นมา ได้เริ่มใช้นมเปรี้ยวและเชื้อ L.ACIDOPHILUS อย่างเข้มข้นขั้นต้นแก่คนไข้ ซึ่งเป็นโรคท้องเดินอย่างรุนแรง 59 คน ได้ผลดีทันที

ภายหลังได้มีการค้นพบยาปฏิชีวนะสกัดจาก L.ACIDOPHILUS เช่น บุลคาริกัน และอซิโดฟิลลิน เป็นต้น ปรากฏว่าการรักษาโรคติดเชื้อหลายตัวในลำไส้ได้ผลดียิ่ง

หลังจากนั้นในโรงพยาบาลต่างๆ ในอเมริกาและในโลก เช่น JEWISH MEMORIAL ในนิวยอร์ก สถาบันไวโรโลจี ในบูคาเรส และสถาบันอื่นๆ ในโปแลนด์ ยูโกสลาเวีย และในญี่ปุ่นก็เริ่มใช้สูตร นมเปรี้ยวโยเกิร์ตและแอนตี้ไบโอติค จาก L.ACIDOPHILUS ผสมกัน

ที่น่าสนใจคือการทดลองจาก รพ.ในนิวยอร์กได้ทดลองโดยให้กินโยเกิร์ตกับการให้ยาแอนตี้ไบโอติค ปรากฏว่าคนไข้โรคท้องเดินที่กินโยเกิร์ตหายเร็วกว่าผู้ที่ใช้แอนตี้ไบโอติค

ผู้ที่กินโยเกิร์ตหายในเวลา 2.7 วัน ในขณะที่ผู้ที่ใช้แอนตี้ไบโอติคใช้เวลาถึง 4.8 วัน

ตอนนี้ก็ถึงเวลาจะต้องห้ามล้อกันละครับ คนไทยเชื่อง่ายครับ โดนเขาหลอกกันมาเยอะแล้ว ท่านที่ทำท่าจะวิ่งไปซื้อโยเกิร์ตมากินทันที ช้าไว้ก่อนครับ กรุณาอ่านบทความนี้สักสองครั้ง เข้าใจดีแล้วจึงค่อยไปซื้อโยเกิร์ตมากิน

และขอให้ซื้ออย่างชนิดธรรมดานะครับ อย่าไปเห่อกินประเภทใส่ผลไม้หวานๆ เลย และตอนต้นนี้กินวันละถ้วยก็พอแล้ว สงสัย FAX มาคุยกันได้ครับ 0-2570-8273.

ไทยรัฐ ๑๐ ก.พ. ๔๕

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น