สองอาทิตย์ที่แล้วมา ได้เริ่มเรื่องโรคต่างๆ เกี่ยวแก่ช่องท้องด้วยเรื่องของ อี.โคไล โดยเฉพาะ อี.โคไล สายพันธุ์เฉพาะ หมายเลข 0157:H7 ซึ่งเป็นเชื้อโรคซึ่งเกิดจากเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อวัว และเนื้อบด
อันที่จริง อี.โคไลนั้นมีอยู่หลายพันธุ์ และเป็นเชื้อโรคซึ่งอาศัยอยู่ในอาหารธรรมดาๆ พื้นๆ อย่างเช่น ผักสด นม นํ้าสลัดเหล่านี้เป็นต้น แหล่งต้นตอนั้น เกิดมาจากนํ้าและดิน ผลิตผลอาหารทุกชนิด ที่เป็นพืช ซึ่งต้องอาศัยนํ้าและดิน จึงเป็นตัวการเพาะเชื้อโรค อี.โคไลนี้ได้ทั้งนั้น
ส่วน อี.โคไลสายพันธุ์ 0157:H7 นั้น จะต้องเป็นเนื้อวัวหรือเนื้อวัวบด และรับเชื้อมาจากนํ้าหรือดิน หรือว่าที่จริงก็คือเชื้อสกปรก จากดินหรือนํ้านั่นเอง เมื่อเชื้อเข้าไปอยู่ในเนื้อวัวแล้วก็ได้อาศัยเนื้อวัว และเนื้อบดเป็นอาหารและแพร่พันธุ์ขยายพันธุ์เป็นอย่างดี
สายพันธุ์ 0157:H7 เป็นสายพันธุ์ใหม่ซึ่งเพิ่งจะค้นพบเมื่อสิบกว่าปีให้หลังมานี้เอง หรือจะพูดกันง่ายๆ ก็คือ เมื่อสมัยความนิยม ในเรื่องบริโภคสเต็กและแฮมเบอร์เกอร์ขึ้นสูงสุด ในระยะหลังนี้ แม้แต่ในลำไส้ของสัตว์ที่จะนำไปฆ่าก็ยังพบเชื้อ อี.โคไลนี้อยู่ในลำไส้ของพวกสัตว์เรียบร้อยแล้ว
ในวงการการเลี้ยงสัตว์ หรือปศุสัตว์ที่นำมาฆ่าเป็นอาหารออกจะตื่นเต้นในเรื่องพบเชื้อโรคในลำไส้ ของสัตว์พอสมควร ได้มีการศึกษา และสอบสวนว่า เชื้อโรคเหล่านี้เข้าไปอยู่ในลำไส้ ได้อย่างไร ก็ได้พบว่าคอกปศุสัตว์บางแห่ง อย่างเช่น ในเม็กซิโก เมื่อมีสัตว์ตายด้วยโรคระบาดมากๆ ได้เอาเนื้อสัตว์ที่ตายไปบดผสมกับอาหารสัตว์ให้สัตว์เลี้ยงเหล่านี้กิน
นอกไปจากนั้น ศูนย์ควบคุมโรคระบาด CDC ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศตักเตือนผู้บริโภค ซึ่งป่วยจากการที่ภูมิต้านทานตํ่าว่า ต้องระวังการบริโภคเนื้อสัตว์หรือเนื้อบดเหล่านี้ เนื้อที่จะบริโภคต้องสะอาดบริสุทธิ์ 100% จะมีเชื้อ อี.โคไลติดอยู่แม้ แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ ผู้บริโภคจะมีอาการป่วยร้ายแรงถึงต้องเสียชีวิตทันที
ผู้บริโภคซึ่ง CDC ระบุว่า มีภูมิต้านทานตํ่า ได้แก่ ผู้ป่วยด้วยโรคเอดส์ ผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องรับเคมีบำบัด หรือผู้ป่วยที่ต้องรับการผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะสำคัญ เช่น เปลี่ยนไต เปลี่ยนตับ เปลี่ยนหัวใจ เป็นต้น
ผู้ป่วยเหล่านี้ ไม่ใช่แต่ต้องระวังเชื้อ อี.โคไลในเนื้อสัตว์อย่างเดียว แต่ในอาหารสามัญทั่วๆ ไป เช่น ผักสด นม และผลิตผลจากนมก็ต้องระวังเหมือนกันด้วย
สถิติหรือตัวเลขที่น่าสนใจจาก CDC ของอเมริกาก็คือ นิสัยจากความติดในรสอร่อยของการบริโภค เนื้อของคนบางคนนั้น เป็นการเชิญชวนให้เกิดโรคในตัวอย่างเช่น การนิยมบริโภคเนื้อดิบ หรือเกือบดิบของฝรั่ง (เมืองไทยคงจะมีมากกว่าฝรั่ง แต่ไม่มีตัวเลขเพราะไม่มีการสำรวจ กันอย่างจริงจัง)
ในสมัยที่นิยมสเต็กมากๆ เมื่อไปร้านอาหารสั่งสเต็กมากิน ผู้รับใช้จะต้องถามว่า ต้องการเนื้อชนิดไหน ดิบ หรือครึ่งสุกครึ่งดิบ หรือสุกทั้งหมด (แรร์มีเดียม หรือเวลดัน) คำตอบของผู้บริโภคก็คือ ชอบดิบๆ ชนิดที่วางบนเตาย่างแผล็บเดียวก็ยกใส่จานมาเสิร์ฟ เวลาหั่นเนื้อจะมีเลือดไหลแดงเต็มจาน
มาสมัยที่เนื้อสเต็กราคาแพง ก็หันมาผลิตเนื้อบดอัดเป็นก้อน (แฮมเบอร์เกอร์) แทน คนก็จะสั่งให้ปิ้งเนื้อบดแบบดิบๆ ข้างในยังแฉะเป็นเนื้อแดงๆ อยู่เลย
นั่นคือการกินที่เชื้อเชิญเชื้อโรค อี.โคไลให้เข้ามาอาละวาดในตัวเราได้ดีเหลือเกิน
ความนิยมกินเนื้อดิบๆ จนกระทั่งเกิดติดเชื้อ อี.โคไลแบบฝรั่งอย่างนี้ ไม่น่าวิตกสำหรับคนไทยสมัย 10-20 ปีมาแล้ว
แต่สมัยนี้ สมัยที่กำลังเห่อเนื้อ-นม-ไข่ และอาหารฟาสต์ฟู้ดแบบอเมริกันกำลังพุ่งขึ้นสูงสุด ในหมู่นักบริโภคชาวไทย อนาคตของคนไทยรุ่นนี้และรุ่นต่อไปน่าเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง
เชื้อ อี.โคไลสายพันธุ์ใหม่ๆอย่างเช่น 0157:H7 จะแพร่ขยายออกไปเรื่อยๆจนทั่วโลก การสร้างความนิยมอาหารแบบอเมริกันนี้ ไม่ใช่เป็นการขยายตัวธรรมดาๆ แต่จะเป็นการขยายตัวแบบยึดเอาประเทศผู้นิยมบริโภคอาหารอเมริกันนั้นเป็นเมืองขึ้นเอาเสียเลย
และแน่นอนการเจ็บป่วยของประเทศเมืองขึ้น จะเลวร้ายไปกว่าการเจ็บป่วย ของประเทศเจ้าของดั้งเดิมหลายร้อยเท่า
เชื้อ อี.โคไลเป็นเชื้อโรคประเภท AEROBIC คือ ต้องอาศัยอากาศเป็นตัวเลี้ยงชีพและทำให้เจริญเติบโต ในอเมริกา ซึ่งค่อนประเทศเป็นประเทศหนาว เชื้อ อี.โคไลเจริญเติบโตช้า แต่กระนั้นรายงานของ CDC กล่าวว่า ทุกวันมีประชาชนป่วย เนื่องจากอาหารเป็นพิษถึง 2 แสนคน และในจำนวนนี้ต้องเข้าโรงพยาบาล 950 คน
ประเทศไทยเป็นประเทศร้อน เชื้อโรคจากอาหารจะต้องเจริญเติบโตเร็วกว่า อเมริกามากมาย และยิ่งการควบคุมโรค และการป้องกันโรคของเราหย่อนยานเหลือประมาณ มาตรการในการป้องกันและกำจัดโรคก็แทบจะไม่มีเลย
ก็อย่างที่ผมได้รายงานไว้ในสี่ฉบับที่แล้วมานั่นแหละครับ รถบรรทุกเนื้อหมูวิ่งกันไขว่บน ถนนพุทธมณฑลไม่มีอะไรปกปิด รถเปิดกระบะแมลงวันตอมเนื้อหมูเต็มไปหมด นอกไปจากเชื้อ อี.โคไลแล้วก็คงมีเชื้อโรคอื่นๆปนอีกมากมาย อากาศร้อนๆ ของเราก็ยิ่งช่วยให้เชื้อโรคเจริญเติบโต มากยิ่งขึ้น ความนิยมเนื้อบดเนื้อย่างแบบอเมริกันก็มากขึ้น แล้วสุขภาพคนไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป
เอาละครับ พูดไปก็จะเหมือนพล่ามไปเปล่าๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอาเป็นว่าถ้าติดเชื้อ อี.โคไลขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไรดีกว่า
ก่อนจะตอบว่า ติดเชื้อแล้วจะทำอย่างไร ขอพูดเรื่องป้องกันไม่ให้ติดเชื้อก่อนดีไหมครับ
วิธีป้องกันง่ายเหลือเกิน อย่ากินของดิบเป็นดีที่สุด โดยเฉพาะเนื้อทุกอย่าง ดิบๆ อย่าได้แตะเลย ครึ่งดิบครึ่งสุกก็ไม่เอาเหมือนกัน
ผักดิบและนํ้าดิบก็ต้องระวังอีกแหละครับ ผักดิบนั้นอันที่จริงมีประโยชน์ ถ้าอยากจะกินดิบก็คงต้องล้างกันอย่างละเอียด ใช้ด่างทับทิมเป็นดีที่สุด
ข้อนี้ ไม่รวมไปถึงการล้างผักเพื่อให้ปลอดสารพิษนะครับ นั่นเป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่งซึ่งคง ต้องพูดกันยาว
เมื่อพูดถึงการป้องกันและคุณได้ป้องกันแล้ว ทีนี้เกิดป่วยขึ้นมาและคุณสงสัยว่าคุณอาจจะติดเชื้อ อี.โคไลเข้าเล่า จะทำอย่างไรดี
ใจเย็นๆ สักนิด อย่าด่วนตัดสินง่ายๆ ว่าคุณติดเชื้อ อี.โคไลเข้าแล้ว เพราะอาการป่วยเกี่ยวกับ เรื่องท้องนั้น มันมีหลายเชื้อโรคเหลือเกิน ควรสังเกตอาการทั้งหมดเสียก่อน
อาการขั้นแรกคือการปวดท้อง การปวดท้องจะไม่เหมือนกับปวดท้องธรรมดาๆ อย่างที่เคยเป็น แต่จะเป็นการปวดท้องจนเหมือนกับไส้ถูกบิดอย่างรุนแรง
หลังจากนั้น จะมีอาการท้องเดินอย่างรุนแรง เดินหลายครั้งจนหมดแรง อาการท้องเดินว่ากันว่า คล้ายๆ กับเป็นอหิวาต์ คือถ่ายแล้วถ่ายอีก ถ่ายจนคิดว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่ในท้องแล้ว แต่มันก็ยังถ่ายออกมาอีก และขั้นสุดท้ายมันถึงกับถ่ายออกมา เป็นเลือดเอาเสียเลย
คุณต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วครับ คุณจะรอให้มันถ่ายออกไปอีก แล้วมันจะหายเองนั้นไม่ได้แน่นอน เพราะคุณจะหมดแรงเพราะเสียนํ้าและเกลือแร่ในร่างกายจนหมดตัว
เพราะฉะนั้น ต้องเข้าโรงพยาบาลด่วน แพทย์เขาคงจะให้นํ้าเกลือ และต้องตรวจอุจจาระของคุณและคงจะพบเชื้อตัวนี้แน่นอน
ถ้าพบเชื้อ อี.โคไล ก็แก้ได้แน่นอนครับ ยาปฏิชีวนะที่ฆ่าเชื้อ อี.โคไล มีอยู่หลายตัวครับ แต่ละตัวศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น
แต่เห็นไหมละครับ โรคร้ายแรงบางโรค หรือว่าที่จริงหลายๆ โรคทีเดียวแหละ ต้นเหตุไม่ได้อยู่ที่เชื้อโรคหรอก แต่อยู่ที่ปากและลิ้นของเรานี่เอง.
Copy right(c)2000 by Vacharaphol Co.,Ltd.
Viphavadirangsit Rd. Bangkok 10900 Thailand Tel.(662) 272-1030 Fax. (662) 272-1324
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น