อาทิตย์นี้ขอคุยเรื่องเบาๆ ต่ออีกสักหนึ่งอาทิตย์นะครับ มีเรื่องน่าสนใจสำหรับ คุณแม่ทั้งหลาย มาเล่าสู่กันฟังด้วย
ขณะนี้กลุ่มชีวจิตกำลังค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับ นํ้า ผมกำลังเกณฑ์ชาวชีวจิตที่เป็นนักวิชาการ และนักเขียนของนิตยสารชีวจิตให้ช่วยกันรวบรวมเรื่องของนํ้า ความสำคัญของนํ้า ประโยชน์ของนํ้า โรคที่เกี่ยวกับการขาดนํ้า และโรคที่เกิดจากการมีนํ้ามากเกินไป
ก็พอดีมีเพื่อนหญิงคนหนึ่งถามผมว่า “เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับการคลอดลูกในนํ้าบ้างหรือเปล่าเล่ายะ?
ผมมองหน้าคนถาม เอ๊ะจะมาไม้ไหนกันแน่ ข้อ 1. คนถามก็อายุตั้ง 60 กว่าแล้ว ยังไงๆ เสียก็จะมีลูกไม่ได้อีกเป็นแน่ ข้อ 2. ผมไม่ใช่หมอออกลูกจะไปรู้เรื่องออกลูกได้อย่างไร มิหนำซํ้า ผมไม่ใช่ผู้หญิงด้วย ท้องก็ไม่เคยท้อง มาถามผมเรื่องออกลูกในนํ้าทำไม ชอบกลจริงๆ
ถามไปถามมาได้ความว่า ลูกสาวซึ่งแต่งงานนานแล้วกำลังตั้งท้อง โดยเหตุที่ลูกในท้องจะเป็น หลานยายคนแรก คุณยายก็เลยทั้งเห่อและทั้งห่วง วิ่งไปฝากท้องให้ลูก ไปติดต่อกับหมอ คุยกับหมอ ไปค้นหนังสือเกี่ยวกับการออกลูกมาอ่านเป็นการใหญ่ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เคยออกลูกมาแล้ว อ้างว่าวิธีออกลูกสมัยเก่านั้นล้าหลังใช้ไม่ได้แล้ว “สมัยใหม่นี้เขาต้องออกลูกในนํ้า เธออยู่เมืองนอกเมือง นามานาน รู้เรื่องการแพทย์สมัยใหม่มาก็มาก รีบไปหาข้อมูลออกลูกในนํ้ามาให้ฉันเสียดีๆ”
เอาละซี โดนคุณยายเห่อหลานบังคับอย่างนี้ ตัวเองจะเคยท้องหรือไม่ท้องก็น่ากลัว ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน ต้องไปหาทางมาเสนอสนองรับใช้คุณยายให้ได้
เรื่องออกลูกในนํ้านี่ เริ่มขึ้นในรัสเซียก่อน ว่ากันว่าสมัยปู่ ย่า ตา ยาย ชาวชนบทในรัสเซีย เคยออกลูกในนํ้า โดยเฉพาะผู้หญิงชนบทที่ต้องทำงานอยู่ในนํ้าตลอดเวลา คุณผู้หญิงเหล่านั้นยืนยันว่า คลอดลูกในนํ้าแม่ก็คลอดง่าย และลูกก็แข็งแรง นายแพทย์รัสเซียชื่ออีกอร์ จาร์คอฟสกี้ จึงได้ศึกษาวิธีช่วยให้ออกลูกง่าย โดยการให้สตรีครรภ์แก่ออกลูกในนํ้าในโรงพยาบาล ปรากฏว่าได้รับผลสำเร็จดีมาก
ต่อมานายแพทย์มิเคล โอดองท์ แห่งประเทศฝรั่งเศส สนใจวิธีออกลูกแบบรัสเซีย เลยนำไปทดลองในโรงพยาบาลฝรั่งเศส ได้ผลสำเร็จดีมากเช่นกัน
ทีนี้ก็เลยเกิดแพร่หลายไปทั่วยุโรป แล้วก็มาถึงอเมริกา ก็ทราบกันอยู่แล้วนะครับ ถ้าอเมริกายอมรับอะไรก็ตาม นี่ถือว่าเป็นของใหม่หรือแผนใหม่ ทั่วโลกก็มักจะเห่อตามไปด้วย ผมก็เลยต้องไปค้นดูว่าในอเมริกานั้นเขาทำกันอย่างไรในเรื่องออกลูกในนํ้า
ปรากฏว่า อเมริกาทำตามแบบของนายแพทย์ โอดองท์ โดยเชื่อทฤษฎีของนายแพทย์โอดองท์ว่า การคลอดลูกในนํ้า ผู้ที่รู้สึกว่าได้ประ-โยชน์มากที่สุดคือแม่ เวลาที่แม่ปวดท้องก่อนจะคลอดนั้น การที่ได้ อยู่ในนํ้าจะช่วยให้แม่ คลายเครียด และคลายความปวดอันเนื่องมาจากการคลอดลูกได้มาก
โดยเหตุนี้ นายแพทย์โอดองท์จึงทดลองใช้นํ้าอุณหภูมิต่างๆ กันในการคลอดลูก ปรากฏว่า ใช้นํ้าอุ่นในอ่างอาบนํ้า ซึ่งเขาเรียกว่า “ศูนย์การคลอด” นั้นได้ผลดีที่สุด
ตัวคุณแม่ทุกคนรายงานเป็นเสียงเดียวกันว่า ความรู้สึกไร้นํ้าหนักระหว่างอยู่ในนํ้านั้น ทำให้รู้สึกสบายย่อนคลายและหายปวด และหลายคนซึ่งเคยคลอดลูกด้วยวิธีปกติมาแล้วบอกว่า การคลอดลูกในนํ้าช่วยให้การฉีกขาดของช่องคลอดน้อยกว่าปกติด้วย
ในยุโรปนั้น ตามโรงพยา- บาลหลายแห่งเปิดโอกาสให้คุณแม่ซึ่งจะคลอดลูกเลือกได้ว่า จะคลอดวิธีปกติหรือวิธีคลอดในนํ้าก็ได้ แต่ในอเมริกามีทั้งการคลอดในโรงพยาบาล หรือคุณแม่ จะเลือกเอาการเช่าอ่างนํ้า ใหญ่พิเศษไปคลอดลูกที่บ้านก็ได้ เหมือนกัน
ก็เลยถามรายละเอียด ว่า อ่างนํ้าพิเศษ นี้เป็นอย่างไร เขาชี้แจงว่า เป็นอ่างนํ้าซึ่งเป่าลมให้พองได้ เป็นอ่างนํ้าใหญ่ประมาณครึ่งห้องนอน เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้สบาย
เมื่อเตรียมอ่างนํ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณแม่จะเข้าไปนอนเอ้เตรอการคลอดได้ทันที แพทย์ผู้กำกับการคลอดจะต้องรอดูว่า ปากมดลูกเปิดหรือยัง ถ้าเปิดขนาดกว้าง 5-8 ซม. ขึ้นไป แพทย์จึงจะอนุญาตให้คุณแม่ลงไปนอนรอในอ่างนํ้าอุ่นได้
ตอนนี้แหละคุณแม่จะเริ่มปวดท้องเป็นจังหวะห่างๆ แล้วก็ถี่ขึ้นๆ คุณแม่บอกว่า ขณะที่กำลังปวดเช่นนี้ พอลงไปนอนแช่นํ้าจะรู้สึกสบาย และอาการปวดก็จะเบาลงทันที ตัวกลุ่มนายแพทย์ซึ่งควบคุม การคลอดในนํ้า เทียบกับการคลอดแบบธรรมดากล่าวว่า ระยะเวลาการปวดก่อนการคลอด ก็มีระยะสั้นกว่าการคลอดธรรมดาด้วย
ทีนี้ก็มาถึงตอนสำคัญละครับ คือตอนที่ลูกจะโผล่ศีรษะออกมา เป็นหน้าที่ของแพทย์ผู้ทำคลอด จะต้องแสดงฝีมือเต็มที่ เพราะเมื่อลูกโผล่ศีรษะออกมาแล้ว แพทย์จะต้องประคับประคอง ศีรษะลำคอและไหล่ของลูกให้หมุนตัวไปตามธรรมชาติ เมื่อลูกออกมาหมดตัวแล้ว แพทย์ก็ต้องช่วยยกลูกวางไว้บนอกแม่
ยังครับ ยังไม่จบเรื่องผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของคุณแม่และคุณลูก คุณลูกจะต้องหายใจเฮือกแรก ออกมาแล้วร้องจ้าเสียก่อน จึงจะนับว่าเกือบจะจบตอนผจญภัยได้ หลังจากนั้นก็ต้องรอ ให้รกออกมาตามลูก ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3-10 นาที ตอนนี้แหละครับจึงจะนับว่าจบขั้นตอนสมบูรณ์
ทีนี้ก็มาถึงปัญหาสำคัญ ซึ่งคุณแม่และคุณพ่อต้องถามกันอย่างชนิดอกสั่นขวัญแขวนว่า แล้วลูกเขามิจมนํ้าตายหายใจไม่ออกละหรือ
คำถามนี้สำคัญมาก เพราะใครๆ ก็ย่อมจะกลัวกันเช่นนั้น แต่คำตอบก็คือว่า ระหว่างที่ลูกโผล่ออกมาจากท้องแม่นั้น ลูกยังหายใจผ่านทางสายรกอยู่ ปอดของลูกยังไม่ทำงาน จนกว่าแพทย์จะนำลูกขึ้นจากนํ้ามาวางไว้บนอกแม่ และเมื่ออากาศผ่านจมูกลูกเข้าไปถึงปอด ของลูกแล้วนั่นแหละ ลูกจึงจะเริ่มหายใจเป็นครั้งแรก และเมื่อลูกออกมาเต็มตัวแล้ว แพทย์ก็จะรีบเอาลูกขึ้นจากนํ้าวางไว้บนอกแม่ทันที เวลาเช่นนี้จะผ่านไปชั่วหนึ่งหรือสองวินาทีเท่านั้น
การที่ลูกจะจมนํ้าตายเช่นนั้น จึงเป็นไปไม่ได้เป็นอันข-า-า-า-า-า-ด
เขายืนยันไว้อย่างนั้น
ทีนี้ก็มาถึงคำถามสุดท้าย ซึ่งผมก็ต้องรีบไปหาคำตอบสุดท้ายเหมือนกัน เขาถามว่า แล้วบริการในเมืองไทยคลอดลูกในนํ้าเล่า เขามีกันหรือยัง
คำถามข้อนี้ต้องยอมยกมือไหว้ท่วมหัวเลยครับ ผมไม่ทราบจริงๆ เคยได้ยินมาว่า โรงพยาบาลเอกชนใหญ่ๆ บางแห่งก็เคยประกาศว่าจะมีบริการการคลอดลูกในนํ้า แต่รายละเอียดนั้นเป็นอย่างไรผมไม่ทราบจริงๆ
ทราบแต่ว่าบริการออกลูกในนํ้านั้น คุณแม่ชาวไทยไม่ค่อยสนใจกัน ที่สนใจกันมากๆ ก็มีแต่เพียงการคลอดลูกโดยไม่เจ็บปวดเท่านั้น
ถึงอย่างไรก็ตามที คุณยายเพื่อนผมนั้นน่าจะเลิกบังคับผมเสียที ผมไม่เคยตั้งท้องสักที มาบังคับให้ผมหารายละเอียดเรื่องออกลูก ชัก มากเกินไปแล้ว
อย่าถึงกับบังคับให้ผมเปิดตำราหมอดู ตั้งชื่อหลานหญิงหรือหลานชายเสียอีกเล่า!
O O O
กลุ่มชีวจิตอุดรธานี สอนรำตะบองและบรรยายพิเศษโดย อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน 2544 เวลา 05.30 น. รำตะบอง บริเวณสนามหญ้าสวน สาธารณะ หนองประจักษ์ (ข้ามสะพานหลังจวนผู้ว่าฯ) เวลา 09.30-12.00 น. และ เวลา 13.30-15.30 น. บรรยายพิเศษ “กินผิด คิดผิด ชีวจิตช่วยอย่างไร” ห้องประชุมใหญ่โรงพยาบาล เอกอุดร.
ไทยรัฐ ๑๘ พ.ย.๔๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น