วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อาชีพสุจริต-ช่วยชีวิตคนไทย แล้วมีอะไรเหลือ ที่จะกินได้หรือเปล่า?

ขึ้นหัวเรื่องฟังดูเชยๆ แบบนี้ไม่มีจุดประสงค์ ใหญ่ยิ่งอะไรหรอกครับ เป็นแต่เพียงว่าอยาก ให้ท่านผู้อ่านเก็บไปคิดในเรื่องที่ผมอยากจะเตือนท่านผู้อ่านระหว่างปีใหม่นี้เท่านั้น

เขียนเรื่องเนื้อหมู-เนื้อหมาไปแล้ว เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้นมา มีกลุ่มเพื่อนๆ ถกเถียงเรื่องอาหาร ที่เรากินอยู่ทุกวันนี้เป็นการใหญ่

พอลงลึกไปถึงเรื่องปัญหาเกี่ยวกับอาหารการกิน ทุกคนเริ่มเข้าใจว่าชีวิตประจำวันที่เราปฏิบัติกัน อยู่ทุกวันนี้เหมือนกับการ ฆ่าตัวตายผ่อนส่ง อย่างที่ผมเคยพูดไว้เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อนโน้นจริงๆ

และเมื่อมาถึงอาหารการกินที่เรากำลังพูดกันเดี๋ยวนี้ พวกเพื่อนๆ เห็นพ้องต้องกันว่า อาหารที่เรา กินอยู่ทุกวันนี้ เต็มไปด้วยสารพิษแทบทั้งหมด เราจึงได้ลงเอยกันด้วยคำถามที่แสดง ถึงความสิ้นหวัง จากเพื่อนคนหนึ่งว่า “แล้วเรามีอะไรเหลือพอที่เราจะกินได้บ้างหรือเปล่า”

คำตอบสั้นๆ คือว่า “ไม่มีเลย”

และนี่คือคำตอบที่ตรงกับที่ผมพูดไว้เมื่อยี่สิบปี ก่อนนี้ว่า

“เรากำลังฆ่าตัวตายผ่อนส่ง เพราะเรากำลังกินสารพิษเข้าไปทุกวัน”

เรื่องอาหารที่พวกเรากำลังคุยกัน เราไม่ได้คุยกันเล่นๆ สนุกๆ แต่เราค้นคว้าและแยกอาหาร ออกเป็นชนิดและเป็นระดับต่างกัน ขอยกตัวอย่างอาหารประจำชาติ และประจำครัวคนไทยทุกคน กะปิ-นํ้าปลา-นํ้าตาลปี๊บ ฯลฯ

กะปิ นั้นเดิมทีเป็นอาหารสำหรับภาคกลางหรือถิ่นที่อยู่ใกล้ทะเลเสียเป็นส่วนมาก ถ้าหากเป็นภาคเหนือ ภาคอีสาน เราจะมีอาหารประเภทปลาร้า ปลาเจ่า หรือถั่วเน่าเข้ามาแทน

วิธีทำกะปิ เราทำกันเป็นอาหารประจำครอบครัว ถึงเวลา เคย (กุ้งตัวจิ๊ด) ขึ้นริมฝั่งทะเล หัวหน้าหมู่บ้าน จะเกณฑ์ลูกบ้านช่วยกันลงไปโกยเคยขึ้นฝั่ง แล้วแบ่งกันไปทำกะปิ ต่างคนต่างก็จะเอาเคยของ ตัวโรยเกลือ ตากแดด แล้วเอาขึ้นมาตำ หมักเก็บไว้ทำกะปิ อย่างนี้กะปิแท้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ต่อมากะปิมีผู้นิยมกินมากขึ้น เกิดโรงทำกะปินํ้าปลาเพิ่มขึ้น โรงกะปิ-นํ้าปลาเหล่านี้เป็นผลพลอยได้ จากพวกเรือหาปลาและพวกทำโป๊ะในสมัยก่อน เศษกุ้งเศษปลาที่เหลือมากมายไม่รู้จะทำอะไร ก็เอามาทำกะปิ-นํ้าปลา

พอทำเพื่อจะขาย กรรมวิธีการทำก็เริ่มมักง่าย เคยแท้ๆ จะไม่มี มีก็แต่เศษกุ้ง เศษปลา การตำกะปิ ตำปลา ยังมีอยู่ แต่เวลาเขาใส่ถังจะคลุกให้เข้ากัน ใช้วิธีมักง่าย คือให้คนขึ้นไปเหยียบ ที่มีเรื่องเล่ากันว่า ให้คนงานผู้หญิงขึ้นไปเหยียบ คนที่เป็นแม่ลูกอ่อนก็เอาลูกขึ้นสะเอว ลูกถ่ายอะไรออกมาก็อยู่ ในกองกะปินั้น เป็นเรื่องเป็นไปได้

ความมักง่ายที่จ้องแต่จะทำให้ของเสร็จเร็วๆ สกปรกแค่ไหนก็ช่างมัน ฉันไม่ได้กิน แกจะกินอะไร เข้าไปเรื่องของแก ฉันขายของได้เงินเป็นพอ เริ่มมาแต่สมัยนั้น 60-70 ปีมาแล้ว

แต่ถึงสกปรกอย่างไร สารพิษก็ยังไม่มากเหมือนในสมัยนี้

การทำกะปิ สมัยนี้ไม่มีใครควบ-คุมเรื่องความสะอาด ไม่มีการควบคุมอาหารปลอดสารพิษ ปลาและกุ้งที่เป็นเนื้อ แท้ๆ ของกะปินั้นแทบ ไม่มี มีแต่พวกที่เป็นเศษปลาเศษกุ้ง แล้วผสมกับ พวกมันเทศบ้าง มันฝรั่งบ้าง และอะไรก็ตามที่เป็น เมือกๆเหนียวๆ บดรวมกันเข้าไป และก็แน่นอน ต้องรวม เอายากันบูด กันเน่าต่างๆ ใส่เข้าไปด้วย

ที่หนักที่สุดตอนนี้ก็คือ มันสำปะหลังสดๆ บดเป็นสารผสมกะปิซึ่งเหมือนกะปิทุกอย่าง เขาทำขายเป็นปี๊บ เป็นกระสอบ บรรทุกรถเป็นตันๆ จากภาคอีสาน แล้วเอามาส่งขายตามตลาดสด ทุกแห่งใน ภาคกลางและในกรุงเทพฯ แม่ค้าก็ซื้อไปผสมกะปิ ซึ่งมีปลาหรือกุ้งน้อยอยู่แล้ว ให้น้อยยิ่งขึ้นไปอีก กำไรมหาศาล เพราะต้นทุนถูกกว่า ขายดีกว่า เนื้อ ละเอียด สีสวย แถมยังกลิ่นหอมเสียด้วย

แต่ทราบไหมครับว่า มันสำปะหลังสดๆ นั้น มันเป็นอันตราย มีสารไซยาไนด์อยู่ด้วย คนกินเข้าไปก็ตาย อย่าว่าแต่คนเลย ควายกินเข้าไปยังตายเลย

มาถึงเรื่องนํ้าปลา ก็เช่นเดียวกันครับ ชาวบ้านทำกินเอง แม้จะเป็นนํ้าปลาดิบๆ คือหมักปลาเคล้าเกลือ ตากแดดเป็นเดือน แล้วกินนํ้าปลาดิบๆ โดยไม่ต้องต้ม ต้องกรอง แต่ก็เป็นนํ้าปลาสะอาด กินได้สบายใจ

แต่พอทำ เป็นการค้าขึ้นมา ก็สกปรกเหมือนสมัยทำกะปิยํ่าด้วยเท้าไม่มีผิด ปลาก็เป็นเศษปลา เศษกุ้ง เศษปูก็ยังมี เวลาหมักทำนํ้าปลา ถ้าฝาปิดไม่มิดชิด แมลงวันตอม ก็มีหนอนเต็ม

สมัยหลังๆ ถึงกับมีนํ้าปลาปลอมเต็มตลาด ทำจากหนังวัว-หนังสัตว์หมักเน่าก็มี บางทีมีคนไปเหมานํ้า จากบ่อพักปลาและจากปลาหมึก สูบขึ้นรถสิบล้อ นำมาผสมเป็นนํ้าปลาใส่ขวดขาย สมัยเมื่อ 30-40 ปีมาแล้ว จะเห็น นํ้าปลาปลอมยี่ห้อต่างๆ เต็มตลาด

มาสมัยนี้นํ้าปลายี่ห้อดีๆ ทำจากโรงงานพอไว้ใจได้ เพราะถ้าได้ตรารับรองจากทางราชการ ก็พอจะเชื่อได้ว่า ได้ ผ่านการตรวจตรามาแล้ว แต่กระนั้นก็ตาม นํ้าปลาบริสุทธิ์ 100% ยังเป็นเรื่องน่าสงสัย เพราะโรงงานเดียวกันก็ต้อง ทำนํ้าปลาให้เหมือนกัน สีเท่ากัน รสชาติคล้ายกัน จะให้สีเหมือนกันต้องเติมสี รสเหมือนกันต้องเติมเครื่องปรุง เช่น ผงชูรส นํ้าตาล แล้วยังต้องเติมกลิ่นใส่ยากันบูด ใส่อะไรต่างๆ ครบกระบวนการ

จะกินนํ้าปลาแท้ๆ คงต้องทำกันเอง

มาถึงเรื่องนํ้าตาล ชีวจิตไม่แนะนำให้กินนํ้าตาลขาวหรือแท้ที่จริงไม่กินนํ้าตาลต่างๆ เป็นดีที่สุด แต่ถ้าจำเป็นต้องกินจริงๆ เราก็จะแนะนำนํ้าตาลซึ่งไม่ฟอก เช่น นํ้าตาล-แดง นํ้าตาลตะโหนด เป็นต้น

มาดูนํ้าตาลตะโหนด นํ้าตาลมะพร้าว หรือนํ้าตาลปี๊บ ปรากฏว่า นํ้าตาลแท้ๆ ไม่มีอีกเหมือนกัน ลองไปแวะ เตานํ้าตาลแถวๆ ตลาดนํ้า ซึ่งมีนักท่องเที่ยวชอบไปเที่ยวกัน จะเห็นว่าเขาไม่ทำกันแล้ว นํ้าตาลแท้ แต่เขาจะทำนํ้าตาล ฟอก และผงฟอกก็คือกรดกำมะถัน ฟอกแล้วฟอกอีก จนนํ้าตาล ออกสีนวลๆ แล้วก็เติมนํ้าตาลทรายเข้าไป (เพราะเดี๋ยวนี้นํ้าตาลทราย ราคาตํ่ากว่านํ้าตาลมะพร้าว หรือนํ้าตาล-ปี๊บ) เราก็เลยต้องกินกรด กินยาฟอกเข้าไปเต็มที่

ถ้าจะพูดกันถึงอาหารต่างๆ ซึ่งมีสารพิษปะปนอยู่ ก็จะมีเรื่องมากมาย เขียนหนังสือกันเป็นสิบๆ เล่มก็ยังไม่จบ ตอนนี้ขอคุยถึงเรื่องอาหารพื้นๆอีกสัก 2-3 ชนิด พอเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเกือบ จะไม่มีอาหารเหลืออยู่แล้วที่ไม่มีสารพิษ

เอาเรื่อง ลูกชิ้นเด้ง มีอยู่พักหนึ่ง ซึ่งทางการเอา เรื่อง ออกตรวจกันเป็นการใหญ่ ลูกชิ้นเด้งหายไป เดี๋ยวนี้กลับมาอีกแล้วครับ ใส่สารต่างๆ มากกว่าเก่าเสียด้วย

แต่ก่อนเวลาเราจะทำลูกชิ้นเนื้อ ชาวบ้านเขาจะเอาไม้ทุบเนื้อไปเรื่อยๆ กลายเป็นเนื้อเละและเหนียว เอาปั้น เป็นลูกชิ้นใส่นํ้าเดือด จะเหนียวหนับเด้งได้ตามธรรมชาติ แต่พอเป็นโรงงานขึ้นมา ต้องใช้ปริมาณเนื้อมากๆ ทำให้เสร็จเวลาเร็วๆ กำไรเยอะๆ ให้คนมานั่งเอาไม้ทุบทำไม่ได้ เสีย เวลา ก็เลยเอาเนื้อบดคลุกด้วยนํ้าประสานทอง หรือบอแรกซ์ ลูกชิ้นเด้งดึ๋งดั๋ง...แต่คนกินอร่อยไป เด้งในท้องไป พักเดียวบอแรกซ์กัดลำไส้เป็นแผลได้

ก๋วยเตี๋ยวผัดราดหน้าแสนอร่อยของคุณนั่นปะไร สมัยก่อนก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ เขาทำอย่างไรทราบไหม ก่อนจะเป็นเส้น มันก็ต้องเป็นแผ่นโต เขาเอามาพับไปพับมาแล้วก็หั่นเป็นเส้น แต่เส้นมันมักจะติดกัน เขาก็เลยต้องหานํ้ามันมาราดให้มันๆ จะได้ไม่ติดกัน

โรงงานก๋วยเตี๋ยวใหญ่ๆ วันหนึ่งๆ ต้องทำก๋วยเตี๋ยว หลายร้อยหลายพันเข่ง คุณเอานํ้ามันดีๆ อย่างนํ้ามันพืชขวดละเกือบสามสิบบาทมาราดวันละเป็นหมื่นๆ บาทจะไหวรึ พ่อค้าหัวดีก็เลยไปเหมา นํ้ามันเครื่องที่ใช้แล้วจากปั๊มนํ้ามันมาราด สบายดี ไม่ต้องเสียเงิน กำไรเยอะ

สมัยนี้ราชการเริ่มออกตรวจกันบ้าง พ่อค้าหัวใสก็เลยเปลี่ยนไปเหมานํ้ามันทอด ซึ่งทิ้งแล้วจากตลาดต่างๆ เช่น นํ้ามันทอดปลา ทอดหมู ทอดปาท่องโก๋ เหล่านี้ เอามากรองเสียหน่อย ก็เอาไปราดเส้นก๋วยเตี๋ยวไม่ให้มันติดกันต่อไป กำไรมากๆ เจ๋งจริงๆ

คุณกินสารพิษเข้าไปหลายอย่างครับ แต่อย่างน้อยคุณก็หนีไม่พ้น ไนโตราซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

คุณจะเอาอะไรอีกเล่าครับ มีร้อยแปดพันเก้า ถั่วงอกแช่ยา-พวกยาให้ขาวเอย ชะอมแช่ฟอร์มาลินเอย ปลา-ปลาหมึก กุ้ง แช่ฟอร์มาลินเอย ตกลงก็อย่างที่เพื่อนผมลงเอยไว้ว่า “แล้วนี่จะมีอะไรเหลือที่จะกินได้หรือเปล่าล่ะ”

ยังเขียนไม่ได้จุใจเลยนะครับ แต่ขอลงเอยสั้นๆ ไว้หน่อยสำหรับปีใหม่ เรื่องอาหารซึ่งเกี่ยวกับ ชีวิตของเราไว้ดังนี้ครับ

1. กลุ่มผู้ผลิตอาหาร ขอสนับสนุนกลุ่มสมาคมแม่บ้านต่างๆ ครับ สนับสนุนการทำอาหารกินเอง ในครอบครัว สมาคมแม่บ้านทำอาหารต่างๆออกจำหน่าย เช่น กะปิ นํ้าปลา เต้าเจี้ยว กล้วยตาก ฯลฯ อะไรเหล่านี้ ขอให้ทำต่อไปเถิดครับ ทำยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ต้องระวังความสะอาดมากๆนะครับ มีอะไรที่ผมจะช่วยประชา-สัมพันธ์ให้บ้างบอกมาเลยครับ

2. เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ตรวจตราให้เข้มงวดกว่านี้ เอาจริงเอาจังหน่อยได้ไหมครับ เห็นแก่ชีวิตชาวบ้านเถอะครับ

3. กลุ่มพ่อค้า-แม่ค้า พูดกันยากหน่อยครับ แต่ผมหวังว่าคงมีกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าที่ดีที่เห็น แก่ชีวิตของ ผู้บริโภคบ้าง ถ้ายังไม่เห็น ก็ขอฝากข้อคิดง่ายๆ ว่า ลูกๆ หลานๆ ของคุณก็กินสารพิษเหล่านี้ อยู่ทุกวันนะครับ ไม่เห็นแก่ชาวบ้านก็เห็นแก่ลูกหลาน ของคุณเองเถิด ค้าขายโดยสุจริต ก็กำไรเหลือเฟืออยู่แล้ว สุจริต-ช่วยชีวิตลูกหลานคุณเอง นะครับ.

^_^ ^_^ ^_^

วันเสาร์-อาทิตย์ที่ 29-30 ธ.ค. ขอเชิญชวนสมาชิกที่สนใจออกกำลังกายแบบชีวจิต โดยสตาฟฟ์ ของชมรมจะไปฝึกสอนเอง ที่สนามโรงเรียนศรีญานุสรณ์ อ.เมือง จ.จันทบุรี ท่านที่ต้องการรายละเอียดให้ติดต่อคุณศักดิ์ชัย 0-3931-1403.

Copy right(c)2000 by Vacharaphol Co.,Ltd.
1 Viphavadirangsit Rd. Bangkok 10900 Thailand Tel.(662) 272-1030 Fax. (662) 272-1324

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น