วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำไมผลไม้พื้นๆ กลับแพงไปหมด

เขียนเรื่องปากเหม็น-ตัวเหม็น มานานพอสมควรนะครับ เขียนมานานเสียจนผู้เขียน เองรู้สึกว่า ตัวเองก็กำลังจะเหม็นๆตามไปด้วยเสียแล้ว

อาทิตย์นี้ขอคุยกันเรื่องเบาๆ เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อย เมื่อวานนี้เอง เพื่อนผมคนหนึ่งซื้อ ส้มมาฝาก พร้อมกับฝากข้อสังเกตทิ้งไว้ให้ว่า “นี่เธอรู้หรือเปล่า ผลไม้เมืองไทยเดี๋ยวนี้แพงกว่า ผลไม้เมืองนอกเสียอีก”

ผมไม่เชื่อ ถามว่าเป็นไปได้อย่างไร เขาชี้ให้ดูส้มจากเชียงใหม่ ซึ่งตั้งคู่กันกับแอปเปิ้ลลูกขนาดกลางๆ

“นี่ส้มสายนํ้าผึ้งกับส้มฟรีมองต์ เธอรู้ไหมว่า ลูกหนึ่ง 12 ถึง 15 บาท เขาขายเป็นลัง มี 60 ลูก ลังหนึ่งก็เก้าร้อยบาท ส่วนแอปเปิ้ลจากเมืองนอก ลูกเล็ก 5 บาท ลูกใหญ่ 8 บาท”

ผมหันไปมองแม่บ้าน เธอก็พยักหน้าเป็นทำนองว่า ที่เพื่อนบอกราคาผลไม้นั้นถูกแล้ว ผมมัวไปงมโข่งอยู่เสียที่ไหน จึงไม่รู้ว่าผลไม้ เมืองไทยแพงกว่าผลไม้นอกมานานแล้ว

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้ละครับ ทางชีวจิตเราเคยแนะนำให้กินผลไม้พื้นๆของไทย อย่าไปกินของนอกเลย ผมเคยแนะนำให้กินผลไม้ไทย เพราะนอกจากจะราคาถูกแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อท้องไส้ หรือระบบย่อยของเรามาก เราจะแนะนำให้กินผลไม้ที่ไม่หวานจัด และควรจะเป็นผลไม้ที่มีกากมากๆ ส้มเป็นผลไม้อย่างหนึ่งที่เราแนะนำ แม้ค่อนข้างจะเปรี้ยว ก็กินได้อย่างสบายปากและสบายท้อง ถึงจะเป็นอย่างหวานก็หวานอมเปรี้ยว มีประโยชน์มาก มีวิตามินและแร่ธาตุ เป็นอาหารซึ่งเป็นยาได้เป็นอย่างดี เราแนะนำให้กินส้มโดยไม่ลอกเยื่อและใยทิ้ง ให้กินทั้งเนื้อส้มและใยส้ม ได้ทั้งวิตามินซี และไบโอฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นใยและเป็นสีเหลืองและสีส้มของส้ม และผมยังเคยยกคุณค่าของส้มไทยไว้ด้วยว่า นอกจากอมเปรี้ยวอมหวานแล้วยังราคาถูก

อ้าว หลงไปอุดหนุนชักชวนอยู่ตั้งนาน กลับกลายเป็นของแพง ของอวดหน้าอวดตาของบรรดาเศรษฐีไปเสียแล้ว

ก็เลิกกินส้ม กินผลไม้อย่างอื่นก็ได้ ของประจำบ้านขาดไม่ได้ก็กล้วย มะละกอ สับปะรด ไงเล่า

โถ พ่อคุณ กล้วยนํ้าว้า หวีละ 15 บาท มีอยู่ 8 หรือ 10 ลูก ลูกหนึ่งก็ตกเกือบสองบาทแล้วนะครับ กล้วยหอมก็หวีละ 30 บาท มะละกอแขกดำหรือ แขกปลอมก็ไม่รู้ละ ลูกหนึ่ง 70 บาท สับปะรดลูกละ 15 บาท

นี่มันอะไรกัน ตกลงถ้าจะกินอาหารให้ได้ส่วนตามที่ชีวจิตแนะนำ ผลไม้พื้นๆอย่างเดียว ส้มหนึ่งลูก กล้วยนํ้าว้าหนึ่งใบ มะละกอครึ่งลูก สับปะรดครึ่งลูก ค่าผลไม้ คนหนึ่งต่อวัน ร่วม 60 บาท เดือนหนึ่ง 1,500 บาท ถ้ากินทั้งครอบครัว พ่อ-แม่-ลูก เดือนหนึ่ง 5,400 บาท

ถ้าจะกินแต่ผลไม้ก็ต้องยอมอดข้าว เพราะถ้ากินผลไม้แล้วย่อมไม่ มีเงินเหลือพอจะซื้อข้าวกินแน่นอน ถ้ากินแต่ข้าวปลาอาหารอย่างเดียว ไม่มีผลไม้ ผลสุดท้ายก็ต้องตายสักวันหนึ่ง เพราะเป็นโรคขาดอาหารเหมือนกัน

แล้วจะทำอย่างไรดี ก่อนที่จะช่วยกันหาทางแก้เรื่องผลไม้กิน ผมขออธิบายเสียก่อนว่า ทำไมเราจึงชักชวนให้กินผลไม้ที่ไม่หวานจัด

สูตรอาหารชีวจิตนั้น เราแบ่งออกเป็นข้าวหรือแป้ง ผัก โปรตีน และเบ็ดเตล็ด ข้าวนั้นเราใช้ข้าวกล้อง ข้าวแดง หรือข้าวซ้อมมือ ปริมาณ 50% ผักปริมาณ 25% โปรตีน 15% และเบ็ดเตล็ด 10%

ในกลุ่มเบ็ดเตล็ดนั้น เรามีพวกสาหร่ายทะเล เมล็ดพืชกินเล่น เช่น เมล็ดทานตะวัน และเมล็ดฟักทอง และผลไม้ซึ่งไม่หวาน

ผลไม้ซึ่งไม่หวานก็ตัวอย่างเช่น ส้ม มะละกอ สับปะรด ฝรั่ง พุทรา มะม่วงมัน เป็นต้น ผลไม้หวานๆ มันๆ เช่น ทุเรียน ลำไย เงาะ ลิ้นจี่ นั้น เราไม่แนะนำเลย ที่ไม่แนะนำนั้น เพราะผลไม้หวานๆ จะทำให้ ระบบย่อยของเราเสียไป ถ้ากินอาหารไม่ ถูกกลุ่มอยู่แล้ว เช่น ขาหมู หมูย่าง ตือฮวน แล้วตามด้วยผลไม้ หวานๆ มันๆ อย่างทุเรียน ลำไย การย่อยของเราจะเสียดุลทันที ยิ่งชอบดื่มเหล้าดื่มเบียร์ร่วมกับการกินอาหารอยู่ด้วย ของหวานหรือผลไม้หวานทั้งหมด จะกลายเป็นไขมันเกาะอยู่ที่ตับ และตัวตับเองก็จะผลิตน้ำย่อยไขมันและโปรตีนออกมาได้ไม่สมบูรณ์ ไขมันคอเลสเทอรอล จะสะสมในร่างเพิ่มมากขึ้น และไขมันอื่นๆ ที่ทำให้อ้วนและน้ำหนักมาก เช่น ไทรกลีเซอร์ไลด์ ก็จะสะสม ทำให้อ้วนมากขึ้นไปอีก

ระบบเกี่ยวกับเลือดและหัวใจย่อมเสียไป เพราะกลุ่มไขมันเหล่านี้ ข้อแนะนำสำหรับการกินผลไม้ จึงจำกัดอยู่ที่ไม่กินผลไม้ที่หวานจัด

ผลดีจากผลไม้ไม่หวานจัดนี้ก็คือ ได้วิตามินเกลือแร่ และกากใย ผลไม้ที่เปรี้ยวๆ เราจะได้วิตามินซี ในโอฟลาโวนอยด์ ได้เพคติน ซึ่งมีส่วนเป็นทั้งกากและหล่อลื่นในกระเพาะลำไส้ได้แร่ธาตุหลายชนิด เช่น โป-แตสเซียม โครเมียม กำมะถัน ไอโอดีน เหล่านี้เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน ผลไม้เหล่านี้ยังจะให้กากและหล่อลื่นเพื่อช่วยในการย่อย และช่วยแก้อาการท้องผูก ได้เป็นอย่างดี ส้ม สับปะรด ฝรั่ง พุทรา มะม่วงดิบ มีกากใยช่วยในการย่อย ส่วนมะละกอ ก็จะมีเนื้อมะละกอ ซึ่งเมื่อย่อยแล้ว จะกลายเป็นตัวหล่อลื่นช่วยให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างสมบูรณ์ ดียิ่งขึ้น

และในบางครั้งรสฝาดๆของผลไม้ หรือผักยังเป็นเครื่องบอกให้เรารู้ว่าตับของเรา น้ำดีของเรายังขาดแคลน ช่วยในการย่อยได้ไม่สมบูรณ์ ด้วย โดยเราดูจากคนที่มีปัญหาเรื่องตับ และถุงน้ำดี เขาจะรู้สึกอยากกินผลไม้ และอาหารที่ฝาดและขมๆ มากกว่าธรรมดา

โดยเหตุนี้อาหาร ชีวจิตจึงมุ่งไปที่ 1. ความเป็นธรรมชาติ และ 2. ความสมดุล และคุณประโยชน์ ของสมบัติสองข้อนี้ ก็ทำให้เมื่อคุณกินอาหารประเภทนี้เข้าไปแล้ว คุณก็จะได้อาหารที่สร้าง คุณประโยชน์ให้กับร่างกายร้อยเปอร์เซ็นต์ พร้อมกันนั้นอาหารนั้นก็ยังเป็นอาหารซึ่งจะไม่เพิ่มโทษ หรือท็อกซินให้แก่ร่างกายเป็นอันขาด

เรื่องของอาหารที่ดีนั้น ขอคุยต่อสักนิดว่า ผู้บริโภค อาหารนั้น หลายท่านยังเข้าใจผิดอยู่มากว่า อาหารดีๆ นั้นต้องเป็นอาหารอร่อยๆ และเป็นของดีๆ แพงๆ

เป็นความเข้าใจผิดนะครับ ของดีของอร่อยของแพงนั้น ส่วนมากจะเป็นอาหารที่เป็นโทษ ต่อร่างกายทั้งสิ้น มีตัวอย่างมากมาย แต่ผมยังเกรงว่า ถ้าเอ่ยชื่อขึ้นมาก็จะเป็นการแสลงใจ ต่อท่านที่ชอบกิน ของอร่อยๆ กันหลายคน

ขอยกตัวอย่างเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นตัวอย่างกลางๆไม่กระทบกระเทือนใครมากเกินไปนัก อย่างเช่น ทุเรียน เคยสังเกตไหมครับ ถึงหน้าทุเรียนคราวใด จะมีผู้ป่วยโดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับระบบย่อย หรือ ท้องไส้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งปีไหนเกิดทุเรียนออกมามากๆราคาก็ถูก คนป่วยยิ่งเพิ่มมากขึ้น เป็นเงาตามตัว

มีตัวอย่างอาหารอร่อยๆ แพงๆ อีกมากมายครับ แต่ขอเอ่ยชื่อเพียงทุเรียนอย่างเดียว ขอให้ท่านช่วยเก็บไปพิจารณาดูเองว่าจริงหรือเปล่า ของยิ่งแพงยิ่งอร่อย โทษของมันยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

เอาละครับ ทีนี้ก็มาถึงปัญหาที่ทิ้งไว้ว่า เมื่อผลไม้พื้นๆ ซึ่งได้แนะนำไว้เกิดแพงอย่างหูดับตับไหม้ ขึ้นมาอย่างนี้จะทำอย่างไรดี

คำตอบมีหลายข้อครับ ข้อแรกซึ่งไม่ถูกหูใครต่อใครหลายคนก็คือ อย่าไปกินมันเลย อย่างส้มแพงๆ ลูกละ 15 บาท ที่ออกมาขายกันเดี๋ยวนี้ จะไปกินมันทำไม ผมลองชิมดูแล้ว หวานก็ไม่หวาน มิหนําซํ้าลูกก็แกนแข็งกระด้าง รสชาติก็ยังเปรี้ยวแบบแกนๆเสียด้วย อย่าไปกินมันเลย ส้มราคาถูกกว่าใบละสองบาทสามบาทก็พอกินได้ กากใยและความนุ่มนวลสีสันดีกว่าส้มแพงๆ ด้วยซํ้า ถึงจืดๆก็ยังดีกว่าส้มเปรี้ยวมาหลอกขายราคาแพงๆ

นอกไปจากนั้น แอปเปิ้ลที่มาจากนอกแต่ราคาถูกกว่าผลไม้ไทย (ลูกหนึ่งไม่เกิน 5 บาทนะครับ) ก็กินผลไม้นอกเถิดครับ แอปเปิ้ลเป็นผลไม้ดีมีประโยชน์ แต่แอปเปิ้ลนอกก็ต้องระวัง อย่างหนึ่งว่าเขาจะเคลือบขี้ผึ้งทั้งลูก เพื่อไม่ให้มันเสียง่าย เวลาจะกินคุณต้องปอกเปลือก และแอปเปิ้ลถ้าปอกเปลือกแล้วก็เสียคุณค่าไปเยอะ คือเสียกากที่เป็นเพคติน นั่นแหละครับ

คำตอบข้อที่สองก็คือ ลองปลูกผลไม้กินเองบ้างซิครับ ถ้ามีที่ดินเพียงนิดหน่อย ลองปลูกมะละกอไว้สักสองต้น กล้วยสักสองต้น และมะม่วงสักต้นหนึ่ง หมั่นทะนุบำรุงให้ดีๆหน่อย จะมีผลไม้พอกินไปตลอดปีนะครับ

จะได้ไม่ต้องเจ็บใจที่ถูกพ่อค้า แม่ค้าขูดเลือดขูดเนื้อเอา.

ไทยรัฐ ๑๑ พ.ย.๔๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น