ก่อนที่จะนำเรื่องเหม็นๆ ไปสรุปลงเรื่องมะเร็ง ขออนุญาตต่อเรื่องของการกิน ซึ่งต่อเนื่องจากการมี กลิ่นข้างบน แล้วกลิ่นนั้นก็ลงไปถึงข้างล่าง ขอคุยเรื่องนี้ต่อกันอีกหนึ่ง รายการนะครับ แล้วจึงจะขอสรุปเรื่องมะเร็งตอนหน้า
ขอเรื่องกลิ่น ซึ่งเกิดจากการเรอเหม็นเปรี้ยวก่อน จำได้ไหมครับ ที่พูดถึงกรดไฮโดรคลอลิก ในกระเพาะ ซึ่งเป็นกรดแรงอย่างเหลือเกิน แรงขนาดที่ว่าเอาเหล็กตะปูใส่ลงไป ก็สามารถกัด เหล็กให้กร่อนได้นั่นแหละ
ที่น่าสงสัยก็คือว่า ก็เมื่อกรดมันแรงอย่างเหลือเกินอย่างนี้ และก็อาละวาดอยู่ตลอดเวลา ในกระเพาะอย่างนี้ แล้วเนื้อหนังหรือผนังกระเพาะทนกรดไฮโดรคลอลิกได้อย่างไร โดยที่ไม่โดนกรดกัดทะลุไปเสียก่อน
คำตอบซึ่งตอบได้อย่างเบ่งๆ เหลือเกินก็คือ นี่คือความมหัศจรรย์ของร่างกายมนุษย์ ในขณะที่กรดร้ายแรงอาละวาดอยู่ในกระเพาะตลอดเวลา กระเพาะก็สร้างสิ่งประหลาด มหัศจรรย์ขึ้นมารักษากระเพาะให้อยู่เฉย สามารถต่อต้านกับกรดไฮโดรคลอลิกได้ นั่นก็คือการขับเมือกซึ่งเป็นด่าง อย่างเหลือเกินออกมาเคลือบผนังกระเพาะ และด่างนี้จะลดความเป็นกรดซึ่งสามารถจะมากัดกระเพาะได้โดยเด็ดขาด เมือกซึ่งเป็นด่างเหล่านี้จะไม่ไปทำลายกรด แต่จะรักษาผนังกระเพาะไว้โดยเฉพาะ ไม่ให้กรดมาทำอันตรายต่อผนังกระเพาะได้ กรดก็ยังคงความเป็นกรด ออกอาละวาดทำลายพวกเชื้อโรค ซึ่งจะมาทำลายร่างกายต่อไป แต่จะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับผนังกระเพาะเลย นี่คือความมหัศจรรย์ของร่างกาย
แต่ก็ยังมีช่องโหว่จนได้ นั่นก็คือท่ออาหารหรือหลอดอาหาร ซึ่งเป็นท่อเริ่มจากคอลงไป จนถึงปากทางเข้ากระเพาะอาหาร ที่หลอดอาหาร (ESOPHAGUS) นั้น ไม่มีเมือกด่างมาคอยคุ้มกันเหมือนอย่างกระเพาะ เพราะฉะนั้น บางครั้งในกระเพาะเกิดการบีบตัวกะทันหัน หรือการกระท้นของกรดในกระเพาะ ย้อนขึ้นไปถึงหลอดอาหาร เราเรียกว่า การบีบตัวหรือกระท้นนี้ว่า REFLUX
เมื่อเกิดการกระท้นเช่นนี้ เราก็จะรู้สึกแสบหรือร้อนที่หลอดอาหาร บางคนก็เรียกว่า แสบท้องหรือร้อนท้อง แต่ความจริง คือการร้อนหรือแสบหลอดอาหาร ฝรั่งเรียกว่า HEART BURN จะเรียกเลียนแบบฝรั่งว่า “ไหม้หัวใจ” ก็คงได้กระมัง
แสบท้องหรือร้อนท้องแบบนี้ เพียงครั้งสองครั้งก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นบ่อยๆ ก็ต้องรู้จักเป็นห่วงตัวเองให้มากๆ เสียแล้ว เพราะเป็นบ่อยๆ นั้น ไม่เพียงแต่จะแสบท้องอย่างเดียว แต่มันอาจจะไปลง เอยที่มะเร็งหลอดอาหาร หรือมะเร็งกระเพาะก็ได้
และข้อสำคัญ การตั้งต้นกลายเป็นโรคที่ร้ายแรงนั้น มันจะเริ่มด้วยกลิ่น ซึ่งเรอเหม็นเปรี้ยว และแสบท้องร้อนท้องก่อน ฉะนั้นกลิ่นเหม็นจากท้องนั้น ต้องระวังเสมอว่า มันอาจจะกลายเป็นเรื่องร้ายแรงได้
ทีนี้ลองมาดูกันเสียหน่อยว่า สาเหตุของการเรอเหม็นเปรี้ยว ร้อนท้องหรือแสบท้องนั้นเกิดจากอะไร ตอบว่า
1. กินอิ่มและกินเร็วจนเกินไป ดังที่ได้พูดกันมาแล้วหลายครั้งว่า เดี๋ยวนี้พฤติกรรมในการกินของเรานั้น เปลี่ยนไปมาก บางครั้งเรากิน เหมือนตายอดตายอยาก และกินอย่างเร็ว โดยไม่เคี้ยว ไม่พิจารณา เอาอาหารใส่ปากแล้วก็กลืนๆ
ถ้ากินอย่างนี้ อาหารแน่นอนย่อมถูกย่อยยาก และถ้ากินมากเกินไปจนล้นกระเพาะอาหาร ที่ไม่ย่อยก็เกิดบูดขึ้นมา ย่อยล้นกระเพาะ และกระท้นจากกระเพาะ พุ่งขึ้นสู่ หลอดอาหารและขึ้นในปากได้ บางคนกินอาหารจนล้นกระเพาะ ยังไม่ รู้สึกอะไร เป็นแต่เพียงรู้สึกอึดอัดแน่นมากเท่านั้น แต่พอล้มตัวลงนอนเท่านั้น อาหารก็ล้นออกมาถึงหลอดอาหารและในปากทันที ก็ย่อมรู้สึกเหม็นเปรี้ยวในปากในคอไปนาน
2. ดื่มเครื่องดองของเมามากเกินไป ยิ่งถ้าไปชมรมหรือไปงานเลี้ยงกับเพื่อนๆ อาหารก็เต็มโต๊ะ เหล้า เบียร์ก็เต็มโต๊ะ ในกระเพาะก็จะมีนํ้าผสมอาหารหลากชนิด
เคยสังเกตไหมครับ กินอาหารเวลาเลี้ยงกันหรือไปในงานนั้น อาหารจะหลากชนิด เมื่อผสมกันในท้องจะเกิดการหมักและบูดอย่างรวดเร็ว ถ้ากินเหล้าเติมโซดา หรือจะกินเบียร์มากๆ ก็จะมีนํ้ามากๆ และมีกรดคาร์บอนิก ซึ่งเป็นฟองเดือดปุดๆในกระเพาะ แล้วอะไรเกิดขึ้น ก็ย่อมจะท้นออก จากกระเพาะออกมาถึงปาก หรืออย่างน้อยก็สำรอก หรืออย่างมากก็อาเจียน นี่คือต้นเหตุเกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
3. สูบบุหรี่ สูบบุหรี่มีผลต่อกระเพาะและหลอดอาหารโดยตรง และแน่นอน ยิ่งสูบบุหรี่มากยิ่งกินอาหาร ได้น้อยลง นํ้าย่อยซึ่งมีมากไม่ได้ ส่วนกับอาหารที่มีน้อย ย่อมทำให้เกิดแก๊สหรือลมในกระเพาะ เกิดอาการท้องขึ้นท้องอืดเฟ้อบ่อยๆ
4. เกิดการผิดปกติที่ตับและถุงนํ้าดี ก็จะตามมาด้วยการมีนํ้าดีน้อย หรือไม่มีเลย ก็เลยย่อยไขมันไม่ได้ ก็เกิดการบูด และก็เกิดการเรอ การมีแก๊ส ท้องอืด ท้องเฟ้อได้อีกเช่นกัน
5. โลหิตจาง ก็ทำให้เกิดการผิดปกติในระบบการย่อยได้มากมาย และแน่นอน ย่อมเกิด โรคต่างๆ เกี่ยวกับท้องไส้ ได้อีกแน่นอน
6. อายุมากๆ เมื่อ อายุมากขึ้น การทำงาน ของนํ้าย่อยและเอนไซม์ของกระเพาะ ลำไส้ จะทำงานได้น้อยลง และถ้า IMMUNE SYSTEM หรือภูมิชีวิตอ่อนแอลงด้วย ระบบย่อยหรือระบบท้องไส้จะเสื่อมโทรมตามไปด้วย
นั่นคือสาเหตุหลายๆอย่าง ซึ่งจะเป็นตัวนำให้เกิดการเหม็นเปรี้ยว ซึ่งจะระบายออกทางด้านบนได้ ทีนี้ก็พูดถึงส่วนล่างจริงๆ ซึ่งการมีกลิ่นนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง แต่คงต้องขอคุยกันแบบแอบๆ หน่อย คุยกันเปิดเผยไม่ค่อยได้
1. เคยสังเกตไหมครับ ว่าอาหารที่คุณกิน ถ้ามีเนื้อสัตว์มากเกินไป หรืออาหารที่ปรุงรสจัดเกินไป มีเครื่องเทศมากเกินไป เหล่านี้
ลองสังเกตดูตัวเองนะครับ (ตอนนี้กระซิบกันเบาๆ) เวลาถ่ายออกมากลิ่นมันฉุนเฉียวน่าดูชมหรือเปล่า
และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ กินอาหารประเภทนี้มักจะท้องผูก ถ้าท้องผูกหลายๆ วันถ่ายที กลิ่นก็ยิ่งวิจิตรพิสดารมากขึ้น และกลิ่นจากลำไส้ ใหญ่นี้จะกลายเป็นกลิ่นตัวของเราด้วย
2. เคยมีเลือดปนออกมากับอุจจาระหรือไม่ เรื่องนี้มีทั้งเรื่องเล็กและเรื่องใหญ่ ซึ่งต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ถ้าหากเป็นเรื่องเล็ก เลือดที่ออกมาก็แสดงให้เห็นว่ามีปัญหาเกี่ยวกับริดสีดวงทวาร ซึ่งถ้าเป็น ริดสีดวงทวารก้อนเล็กๆ หรือแผลเล็กๆ ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่าวิตกแต่อย่างใด ยาทาแก้ริดสีดวงก็พอหาได้อยู่ หรือถ้าไปหาแพทย์ ท่านก็คงมียาดีๆให้มาทาได้ แต่ก็อย่าลืมแก้เรื่องอาหารที่ทำให้ท้องผูก เปลี่ยนเป็นอาหารที่มีเนื้อสัตว์น้อยลง กินผักที่มีกากมากๆ อย่างนี้ก็พอจะแก้ริดสีดวงเล็กๆ ได้
แต่ถ้าเป็นริดสีดวงเม็ดใหญ่ๆ แผลใหญ่ๆ ใกล้เส้นเลือด เวลาถ่ายออกมาเลือดออกมากมายอย่างนี้ ไม่ใช้เรื่องเล็กๆ แล้วนะครับ ต้องหาแพทย์ ซึ่งจะต้องผ่าตัด หรือจะให้ยาอย่างไร แล้วแต่ท่าน สิ่งสำคัญก็คือต้องทำให้เลือดหยุดให้ได้
แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น เลือดออกปนกับอุจจาระทุกวัน กลิ่นก็เหม็นรุนแรง บางครั้งเลือดออก มาเหมือนเป็นโคลน ปวดท้องทุรนทุราย กินไม่ได้ เบื่ออาหารหรือกินเข้าไปก็ปวดท้องทันที บางครั้งก็อาเจียน อย่างนี้เรื่องใหญ่แน่นอน
ก็คงต้องหาแพทย์ด่วน ตรวจกันอย่างละเอียด ต้องหาให้ได้ว่า อะไรคือสาเหตุ และจริงๆ แล้วเป็นอะไรแน่
ทำใจดีๆไว้ก่อนก็แล้วกัน ขอให้รู้แน่ เสียก่อนว่าเป็นอะไรแน่ ถ้าคำตอบออกมาว่า เป็นเรื่องเจ็บป่วยร้ายแรง ก็ไม่ต้องหมดกำลังใจ รีบศึกษาหาวิธีที่จะสู้กับโรคร้าย ต่อไป
ถ้ามีใจสู้เสียอย่าง ชนะไปกว่าครึ่งแล้ว.
ไทยรัฐ ๑๔ ต.ค. ๔๔
มีประโยขน์มากเลยครับ ตรงกับผมเลย
ตอบลบ