วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

ปวดหัวไมเกรน เลิกกินน้ำตาลขาว ก่อนได้ไหม?

มเพิ่งกลับจากไปช่วยจัดคอร์สสุขภาพชีวจิตที่หาดใหญ่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราจัด อย่างเป็นทางการสำหรับชาวหาดใหญ่และจังหวัดใกล้เคียง ครั้งก่อนๆ ที่มีคนแอบไปจัดคอร์สสุขภาพนั้น เป็นคอร์สจอมปลอมและเป็นพวกนักฉวยโอกาสแอบไปจัด ทางชีวจิตไม่เกี่ยวและไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยนะครับ

จัดคอร์สสุขภาพคราวนี้ค่อนข้างจะกะทันหันและไม่ได้ประกาศล่วงหน้านานๆ เราจึงมีผู้เข้าร่วมโครงการเพียง 50 คน คอร์สตามต่างจังหวัดอื่นๆนั้นจะมีผู้เข้าร่วมตามปกติกว่า 100 คนเสมอ

มีเคสที่น่าสนใจเป็นผู้สูงอายุมาปรึกษา 2-3 คน ว่ามีอาการปวดหัวไมเกรนเป็นประจำ รักษาด้วยการกินยาแก้ปวดตลอดเวลา ไม่หายขาดสักที จะทำอย่างไรดี

อันที่จริงโรคปวดหัวเป็นโรคง่ายๆ แต่ถ้าศึกษาถึงอาการและสาเหตุของการปวดหัวแล้วจะพบว่า เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนเหลือประมาณ สาเหตุลึกลับซับซ้อนเหล่านี้ ถ้าแพทย์พยายามจะหาให้พบก็เป็นเรื่องยาก ลงท้ายตัวแพทย์เองนั่นแหละ จะกลายเป็นโรคปวดหัวเสียเอง

ถ้าปวดหัวเป็นเพราะมีเนื้องอกในสมองโดยตรง การจะตรวจตราดูว่ามันมีเนื้องอกในสมอง หรือไม่นั้นทำได้ง่าย จะตรวจด้วยวิธีทำสแกนหรือด้วยเอกซเรย์ก็หาได้ไม่ยากนัก แต่การรักษาเนื้องอกก็จะต้องเป็นเรื่องของแพทย์เฉพาะทางต่อไป แพทย์ทั่วไปมักจะใช้วิธีส่งตัวคนไข้ให้แพทย์เฉพาะทางแล้วก็หมดเรื่องกันไป

แต่การปวดหัวไมเกรนและปวดหัวทั่วๆ ไปนั้น มักจะไม่ค่อยมีใครอยากหาสาเหตุ เพราะมันยุ่งยากดังกล่าวแล้ว ก็มักจะลงเอยด้วยการให้ยาแก้ปวด หรือบางทีตัวผู้ป่วยเองพอปวดหัวขึ้นสักครั้งสองครั้งก็ขี้เกียจไปหาหมอ แต่จะตรงรี่ไปร้านขายยา ซื้อยาแก้ปวด ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นแอสไพริน หรือยากลุ่ม ACETAMINOPHEN หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า “พารา” หรือพาราเซตามอลนั่นเอง

แต่การปวดหัวทั่วๆ ไปกับการปวดหัวไมเกรนนั้น มีข้อแตกต่างกันพอสังเกตได้ชัดหลายอย่าง ขอพูดถึงการปวดหัวไมเกรนก่อน

เชื่อกันว่าปวดหัวไมเกรนนั้น เนื่องมาจากเส้นเลือด ที่ไปเลี้ยงกะโหลกศีรษะ และสมองหดตัว และขยายตัวอย่างรวดเร็ว และระหว่างการหด-ขยายตัวนั้น เส้นเลือดจะเกิดการอักเสบ จึงทำให้เกิดปวดหัวแบบไมเกรน

อาการแรกของปวดหัวไมเกรน ก็คือสายตาจะเกิดมืดมัวล่วงหน้า ทั้งนี้ เพราะขณะที่เส้นเลือดบีบตัวนั้น เลือดที่ไปเลี้ยงกระบอกตาก็จะมีปริมาณน้อยลง ตาจึงมัว

หลังจากเส้นเลือดบีบตัวแล้วสักพักหนึ่งก็จะขยายตัว พอขยายตัวเลือดก็วิ่งขึ้นไปสู่หัวและ สมองอย่างรวดเร็ว จึงเกิดการปวดหัวแบบไมเกรนขึ้น

การปวดหัวไมเกรนต่างกับปวดหัวทั่วๆ ไปก็อยู่ตรงที่มักจะเกิดอาการทางตาขึ้นก่อน ตาอาจจะมัวหรืออาจจะเห็นแสงวูบวาบอยู่สักพักหนึ่งตั้งแต่หลายๆ นาที จนกระทั่งหลายๆ ชั่วโมง แล้วจึงเกิดการปวดหัว พอปวดหัวอาการตามัวหรือสว่างวูบวาบก็หายไป อาการปวดหัวจะเป็นเหมือนกับการปวดหัวทั่วๆ ไป คือปวดที่ขมับสองข้าง แล้วกระจายไปทั่วหัว บางครั้งก็ปวดตื้อๆ บางครั้งก็ปวดตุ๊บๆ เป็นระยะๆ อาการผสมซึ่งไม่เหมือนกับปวดหัวทั่วๆ ไปก็คือ มีการคลื่นไส้ หรืออาเจียนผสมด้วย

บางคนก็อาจ จะมีอาการแปลกอื่นๆ ไม่เหมือนใคร คือหน้าซีด ตาเป็นสายเลือด นํ้าตาไหลตลอด และบางทีก็มีอาการนํ้ามูกไหล ด้วย

และตอนนี้แหละครับ ที่ผู้ป่วยมักจะไปซื้อยาแก้ปวดกินเอง หรือถ้าไปพบแพทย์ก็มักจะได้ยาแก้ปวด ประเภทแอสไพริน หรือ “พารา” ดังกล่าวมาแล้ว

แต่ก็มีแพทย์บางคนอาจจะให้ยาแก้ปวดหัวไมเกรนมาโดยเฉพาะ คือยาประเภท ERGOTAMINE ผสมกับคาเฟอีน สำหรับ ERGOTAMINE นั้น เป็นอัลกาลอยด์สกัดจากเชื้อรา ซึ่งมาจากข้าวชนิดต่างๆ ส่วนคาเฟอีนนั้นก็แน่นอนละต้องมาจากกาแฟ

นอกจากนั้น ก็ยังมียากลุ่มอื่นๆ อีก เช่น SUMATRIPTAN และ DIHYDROERGOTAMINE เป็นต้น ซึ่งถ้าพูดกันอย่างไม่เกรงใจแล้วละก็ ผลของยาเหล่านี้ก็เหมือนยาแก้ปวดทั่วๆ ไป ซึ่งมักจะแก้ปวดได้ชั่วคราว กินแล้วสักพักก็ปวดอีก แล้วก็ต้องกินยาแก้ปวดซํ้าๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น ไม่หายขาด

นอกไปจากนั้น ยากลุ่มประเภทแก้ปวดไมเกรนเหล่านี้ ยังมีผลข้างเคียงอยู่มากมาย อย่างเช่น อาจจะทำให้เกิดอาการมือชาเท้าชา หรือมือเท้าเย็น เกิดอาการตะคริว คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียได้ด้วย ข้อสำคัญก็คือ ถ้าใช้ไปนานๆ จะเกิดอาการเกี่ยวกับหัวใจ หรือเป็นโรคหัวใจได้

เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาปรึกษาผมเรื่องปวดหัวไมเกรน และบอกด้วยว่ากินยา มาหลายขนานแล้วไม่ได้ผล หายปวดชั่วคราวแล้วก็ปวดอีก

ผมก็จะถามเขาว่า เขาคิดว่าจะหายด้วยการกินยาได้หรือเปล่า เขาก็จะยืนยันกินยามามากมายแล้ว ทั้งยาแผนปัจจุบัน แผนโบราณ และแผนอื่นๆ มันก็ไม่หาย เบื่อเต็มทีแล้ว

ผมก็มักจะบอกว่า ถ้าอย่างนั้นมาลองดูวิธีง่ายๆดูไหมเล่า ลองดูที่ต้นเหตุ คือเรื่องอาหาร

ในด้านวิชาการวิทยาศาสตร์ทางอาหารขั้นสูงสุด คือ CLINICAL NUTRITION คือการรักษาโรคด้วยอาหาร มีการศึกษาด้านชีวเคมีเกี่ยวกับอาหาร เราได้พบว่าการกินอาหารผิดๆ ทำให้เกิดโรคได้หลายอย่าง เช่น โรคภูมิแพ้ และปวดหัวไมเกรน เป็นต้น

มีรายงานจาก ADRENAL METABOLIC RESEARCH SOCIETY จาก TROY มลรัฐนิวยอร์ก รายงานว่า ผู้ที่แพ้อาหารและเป็นโรคปวดหัวไมเกรน เพราะกินอาหารประเภทเนยแข็ง เค้ก ไอศกรีม และช็อกโกแลตมากเกินไป

เริ่มต้นผู้ที่แพ้เนื่องจากอาหารเหล่านี้จะป่วยด้วยโรค HYPOGLYCEMIA หรือ “นํ้าตาลในเลือดตํ่า” ก่อน แล้วต่อจากนั้นจะต่อด้วยอาการปวดหัวไมเกรน

เมื่อแพทย์แนะนำให้หยุดกินอาหารประเภทดังกล่าว ผู้ป่วยก็หายจากการปวดหัวไมเกรนได้โดยไม่ต้องใช้ยา

สำหรับคนไทยอีกมากมาย ซึ่งเป็นโรคปวดหัวไมเกรน ผมก็ได้พบสาเหตุเช่นเดียวกับพวกฝรั่งคือ คนไทยเรานั้น กินอาหารหวานและติดอาหารหวานมากมายกว่าฝรั่งหลายเท่านัก

เมื่อผมแนะนำให้ผู้ที่ปวดหัวไมเกรน เปลี่ยนอาหารและเลิกกินหวานๆ ก็ปรากฏว่าผู้ป่วยหลายคนหายจากปวดหัวไมเกรนได้

ผู้ที่มาปรึกษากับผมเรื่องปวดหัวนี้ ส่วนมากเป็นผู้หญิง ที่เป็นผู้ชายมีน้อยกว่าผู้หญิง แต่ผู้ชายจะหายได้แน่นอนกว่าผู้หญิง ที่เป็นเช่นนี้เพราะในด้านการปฏิบัติตัวนั้น ผู้ชายมีระเบียบวินัยดีกว่าผู้หญิง

ระเบียบวินัยซึ่งผู้หญิงเข้มงวดได้น้อยกว่าผู้ชายนี้ พิสูจน์ได้จากคอร์สสุขภาพที่หาดใหญ่คราวนี้

คุณผู้หญิง 2-3 คน ที่มาปรึกษาเรื่องปวดหัวไมเกรน พอผมบอกว่า “แก้ง่ายๆ ด้วยการขอให้คุณงดกินนํ้าตาลขาว แป้งขาว และของหวานๆ โดยเด็ดขาด” คุณผู้หญิงทำตาโต ตอบง่ายๆ อีกเหมือนกันว่า “ให้อดของหวานเห็นจะอดไม่ได้ เพราะกินมาจนติดแล้ว ถ้าไม่กินหวานจะไม่มีแรง”

เรามีการทดลองให้เห็นจะจะถึงโทษของการกินนํ้าตาล ผู้เข้าร่วมคอร์สทุกคนก็เห็น และทุกคนก็เชื่อ แต่เมื่อถามว่า แล้วจะเลิกกินนํ้าตาลได้ไหม คุณๆ ที่ปวดหัวไมเกรนทุกคนสั่นหัวตอบว่า “ไม่ได้”

เอาละครับ เรื่องการแก้ปวดหัวไมเกรนนั้น แก้ได้ง่ายๆ แต่การปฏิบัติเพื่อเลิกกินนํ้าตาลนั้น ยากเย็นเหลือแสน

ผมจะพูดถึงวิธีแก้ปวดหัวไมเกรนและปวดหัวอย่างอื่นโดยละเอียดคราวหน้า

คราวนี้ขอฝากท่านผู้อ่านที่ปวดหัวไมเกรนไว้ก่อนว่า ขอให้งดนํ้าตาลขาว ของหวาน และนํ้าอัดลมไว้ก่อน รับรองว่าคุณจะดีขึ้นแน่นอน

คราวหน้าจะอธิบายวิธีแก้อย่างอื่นๆ โดยละเอียดครับ คราวนี้ขอให้ใจแข็งไว้ก่อนนะครับ งดนํ้าตาลและของหวานเสียก่อน.


คัดลอกมาจาก http://www.geocities.com/thatboon/

เสาะท้อง-ท้องร่วง-ท้องเดิน-->ตาย

ทบจะทุกครั้งที่ผมไปร่วมประชุมกับกลุ่มนานๆ พักร่วมกัน 3-4 วัน จะต้องเจอผู้ป่วยที่มีอาการท้องเดินทุกครั้ง

เคยเขียนมาเล่าให้ฟังหลายครั้ง ถึงครั้งที่ร้ายแรงที่สุด คือการประชุมของกลุ่มแพทย์ทั่วประเทศที่เชียงใหม่ เมื่อประมาณ 4 ปีมาแล้ว แพทย์เกือบ 40 คน ป่วยท้องเดินต้องหามเข้าโรงพยาบาล การประชุมต้องยุติลงกลางคัน แพทย์บางคนป่วยนานเป็นปี เนื่องมาจากอาการท้องเดินจากการประชุมครั้งนั้น

นั่นเป็นการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อ SALMONELLA ที่รุนแรงที่สุดที่ผมเคยพบมา หลังจากนั้นในการประชุมทุกแห่งที่ผมเข้าไปร่วมด้วย ก็ไม่เคยขาดผู้ที่จะต้องป่วยด้วยอาการท้องร่วง-ท้องเดิน แม้แต่ครั้งเดียว

เชื่อหรือไม่ ถ้าผมจะสรุปง่ายๆ ว่าโรคเกี่ยวกับท้อง ท้องร่วง ท้องเดิน เหล่านี้คือโรคประจำตัวคนไทยทั่วประเทศไปแล้ว

ไปประชุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของการประชุมไปถึง ก็เกิดอาการท้องเดินจนลุกไม่ขึ้น ต่อจากนั้นก็ตามด้วยการเป็นไข้ ปวดหัว ปวดตัว ต้องนอนซมอยู่ตลอด 3-4 วัน ของการประชุม

เคราะห์ดีที่ทุกครั้งที่ไปร่วมประชุม ผมจะเตรียมยา และเตรียมตัวไปเจอกับโรคท้องเดิน ท้องเสีย ทุกครั้ง อาการของเจ้าหน้าที่คนนั้นจึงไม่ถึงกับป่วยหนักจนต้องหามเข้าโรงพยาบาล

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผม ทำให้ผมกลัวเรื่องการป่วยเกี่ยวกับท้องเดิน ท้องเสีย เป็นอย่างยิ่ง เพราะคนไข้ที่เคยมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บร้ายๆ อย่างเช่น มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ ล้วนแต่มีอาการเกี่ยวกับท้องเดิน ท้องเสียมาก่อนทั้งสิ้น

บางคนอาการไม่ถึงกับเป็นมะเร็ง แต่ก็จะเกิดอาการลุกลามเกี่ยวกับถุงน้ำดี เป็นโรคไต โรคเกี่ยวกับม้าม และบางคนลุกลามไปถึงเป็นโรคปอดก็มี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเชื้อ SALMONELLA นั้น จะไม่อยู่อาศัยในช่องท้อง-กระเพาะ-ลำไส้ แต่อย่างเดียวเท่านั้น แต่จะกระจายเข้าในกระแสโลหิตได้ และเมื่อเข้ากระแสโลหิตแล้วก็ไปถึงตับถึงไต ถึงปอดได้ ถ้าหากร่างกายอ่อนแอหรือ IMMUNE SYSTEM แต่ไม่แข็งแรงก็เลยกลายเป็นโรคร้ายได้

SALMONELLA เป็นเชื้อโรคครอบครัวใหญ่ มีเชื้อโรคอยู่ในกลุ่มหรือครอบครัวนี้ถึงกว่า 12,000 ตัว เป็นเชื้อโรคชนิดเบาๆ ไม่มีพิษสงมากมายบ้าง เชื้อโรคร้ายแรงทำให้ตายได้บ้าง ที่ร้ายแรงที่สุดก็อย่างเช่น ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาด เป็นต้น

ต้นเหตุสำคัญก็คืออาหาร อาหารที่ติดเชื้อ SALMONELLA มักจะเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หรือบางครั้งก็มีโปรตีนชนิดอื่นที่ทำเป็นอาหารสำเร็จรูปอย่างเช่น นม ไข่ เป็นต้น

ในกรณีของเจ้าหน้าที่การประชุมที่ป่วยคราวนี้ เธอมีอาการท้องเสียมาก่อน ตามด้วยอาการปวดท้อง และจะเป็นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเรียนรู้อะไรมาผิดๆ ก็ไม่ทราบ เธอเชื่อว่าการปวดท้อง เป็นเพราะกระเพาะอาหาร เธอจึงไปซื้อนมกล่องมาดื่มเป็นการใหญ่ เพราะเชื่อว่านมจะไปช่วยเคลือบกระเพาะ ทำให้หายจากการท้องเดิน

แต่มันกลับตรงกันข้าม เราไม่ทราบว่านมนั้นติดเชื้อมาด้วยหรือเปล่า รุ่งขึ้นเธอก็เกิดอาการท้องเดินติดๆ หกันจนลุกไม่ขึ้น ต่อจากนั้นก็เกิดการอาเจียน และไข้ขึ้น เธอไม่เคยรู้เรื่องการติดเชื้อ SALMONELLA มาก่อน เข้าใจว่าอาการท้องเดินอย่างนี้ เป็นเพราะอาการแบบที่ชาวบ้านเรียกว่า “ท้องเสีย” เฉยๆ

เชื้อ SALMONELLA บางตัวมีความอดทนมาก ขนาดในเนื้อสัตว์แช่แข็งมาแล้ว จนเป็นน้ำแข็งก็ยังอาศัยมีชีวิตอยู่ได้ ที่อเมริกาจะมีข่าวแทบทุกปี เช่น ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า และเดือนธันวาคม เทศกาลคริสต์มาส ชาวอเมริกันจะเฉลิมฉลองด้วยการกินไก่งวงด้วย

ปรากฏว่าทุกปีจะมีคนป่วยด้วย SALMO-NELLA จากเนื้อสัตว์แช่แข็งเหล่านี้ พอพบว่ามีคนป่วยเมื่อไหร่ ทางซุปเปอร์มาร์เกตหรือบริษัทขายเนื้อสัตว์ ก็จะประกาศขอให้ผู้ซื้อไก่งวงหรือเนื้อสัตว์อื่นๆ รีบเอาเนื้อสัตว์มาคืนทันที พ่อค้าเหล่านี้ต้องถือว่าเป็นพ่อค้ามีคุณธรรม เขายอมขาดทุนเพื่อเห็นแก่ชีวิตและสุขภาพของประชาชน

แต่กับเมืองไทย กลับจากการประชุมคราวนี้เอง ผมขับรถมาตามถนนพุทธมณฑลเพื่อเข้ากรุงเทพฯ มีรถกระบะคันหนึ่งขับฉวัดเฉวียนปาดซ้ายปาดขวาอยู่ข้างหน้า บนรถคันนั้นยกกระบะซึ่งมีแต่ลูกกรงเหล็กขึ้นสูง รับรองว่าสูงเกินกว่าขนาดรถบรรทุกแน่นอน บนกระบะนั้นมีขาหมูชำแหละสดๆ กองทับถมจนถึงขอบลูกกรงเหล็ก ฝนก็ตกพรำๆ ทั้งน้ำฝน ทั้งน้ำเลือด ไขมันรวมกับของสกปรกบนรถกระบะไหลลงใต้รถเหมือนท่อน้ำพุตลอดเวลา

ผมรู้สึกช็อกกับภาพที่ได้เห็น ความจริงภาพรถบรรทุกเนื้อสัตว์เหล่านี้มีให้เห็นตลอดเวลา บางครั้งฤดูที่ไม่ใช่ฤดูฝน เราจะเห็นรถบรรทุกเนื้อสัตว์ เป็นเนื้อท่อนๆ บ้าง เป็นโครงกระดูกเน่าๆ บ้าง เนื้อสัตว์เหล่านี้ไม่มีอะไรปกคลุมอยู่เลย มีแมลงวันตอมหึ่ง กลิ่นเน่าเหม็นคลุ้ง ผ่านรถคันอื่นๆ เมื่อไหร่ คนในรถก็ต้องอุดจมูกเมื่อนั้น

ผมรู้สึกช็อกก็เพราะนึกไม่ถึงว่าภาพอย่างนี้จะปรากฏอยู่ตามถนนใหญ่ๆอย่างเปิดเผยอย่างนี้อีก เข้าใจว่าการฆ่าสัตว์ทุกชนิดต้องผ่านโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งผ่านการควบคุมจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี โรงฆ่าสัตว์ต้องสะอาด ต้องมีเครื่องมือทันสมัย และมีรถตู้บรรทุกซึ่งมีตู้มิดชิด มีเครื่องทำความเย็นอยู่ด้วย

แล้วรถบรรทุกเนื้อสัตว์เถื่อนเหล่านี้ออกมาอาละวาดกลางกรุงผ่านสายตาเจ้าหน้าที่ต่างๆ มาได้อย่างไร ตอบได้ตรงๆ คำเดียว-คอรัปชัน-โกง-กิน-สินบน โกงกันตลอดตั้งแต่หัวถึงหาง

เพราะฉะนั้น เชื่อหรือยังครับว่า เรื่องโรคเกี่ยวกับท้อง โรคง่ายๆ อย่างเช่น ท้องร่วง ท้องเดิน จะไม่มีวันหมดไปจากเมืองไทย และจะยิ่งร้ายแรงจนกลายเป็นโรคตับ ถุงน้ำดี โรคไต และโรคปอดถึงตายอีกมากมายต่อไป

ปกตินั้นโรคติดเชื้อ SALMONELLA เกี่ยวแก่ท้องเดิน ท้องเสียนั้น ถ้าอาการไม่มากนัก แพทย์ ทั่วไปจะแนะนำให้นอนพัก หยุดกินอาหารสักมื้อสองมื้อ แล้วดื่มน้ำสะอาด ยิ่งเป็นนํ้าร้อนยิ่งดีมาก

วันที่สอง ที่สาม ถ้าอาการดีขึ้นก็เริ่มอาหารอ่อนๆ ง่ายๆ ไม่ต้องปรุงรสชาติ อย่างเช่นข้าวต้มเปล่าๆ ขนมปังปิ้ง เป็นต้น

แต่ถ้าอาการมากกว่านี้ เช่นท้องยังเดินอยู่ หรือยังอาเจียนอยู่ ก็มักจะเกิดอาการที่เรียกว่า ขาดนํ้า (DEHYDRATION) ก็คงต้องไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล เพราะคุณอาจจะต้องให้ นํ้าเกลือและอาจจะต้องใช้ยาประเภทแอนตี้-ไบโอติคก็ได้

แต่อย่าไปปรึกษาหมอตี๋เป็นอันขาด เพราะเท่าที่เห็นมา เขาจะจัดยาชนิดแรงๆ ให้ นอกจากจะให้แอนตี้-ไบโอติคแล้ว เขายังให้ยาแก้ท้องเสียอย่างแรงๆ อย่างเช่น ยาประเภทคลอแรม หรือซัลฟา เป็นต้น

ยาประเภทนี้จะทำให้คุณอ่อนเพลีย หมดแรง และโรคของคุณจะยืดระยะไปอีกนานกว่าจะหาย ที่เตือนอย่างนี้ ผมไม่ได้พูดเอง แต่จากการศึกษาและรายงานการค้นคว้าของกลุ่มนาย แพทย์มาร์วิน เอช สไลน์ ซิงเกอร์ และจอห์น เอส ฟอร์ดแทรน แห่ง รพ.ฟิลาเดลเฟีย รายงานไว้อย่างละเอียดใน “GASTROINTESTINAL DISEASE : PATHOPHYSIOLOGY, DIAGNOSIS, MANAGEMENT”

และเมื่อคุณรักษาตัวดีแล้วสัก 2-3 วัน ก็เริ่มกินอาหารที่แคลอรีสูงๆ ได้ ใช้สูตรอาหารชีวจิต แต่เพิ่มอาหารปลา หรืออาหารทะเล อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งได้

ควรเพิ่มวิตามิน B1, B6, B12, B COMPLEX อย่างละเม็ด ทุกวันด้วยครับ.

ไทยรัฐ ๑๕ ก.ค.๔๕

เสาะท้อง - ท้องร่วง - ท้องเดิน --> ตาย

ทบจะทุกครั้งที่ผมไปร่วมประชุมกับกลุ่มนานๆ พักร่วมกัน 3-4 วัน จะต้องเจอผู้ป่วยที่มีอาการท้องเดินทุกครั้ง

เคยเขียนมาเล่าให้ฟังหลายครั้ง ถึงครั้งที่ร้ายแรงที่สุด คือการประชุมของกลุ่มแพทย์ทั่วประเทศที่เชียงใหม่ เมื่อประมาณ 4 ปีมาแล้ว แพทย์เกือบ 40 คน ป่วยท้องเดินต้องหามเข้าโรงพยาบาล การประชุมต้องยุติลงกลางคัน แพทย์บางคนป่วยนานเป็นปี เนื่องมาจากอาการท้องเดินจากการประชุมครั้งนั้น

นั่นเป็นการเจ็บป่วยจากการติดเชื้อ SALMONELLA ที่รุนแรงที่สุดที่ผมเคยพบมา หลังจากนั้นในการประชุมทุกแห่งที่ผมเข้าไปร่วมด้วย ก็ไม่เคยขาดผู้ที่จะต้องป่วยด้วยอาการท้องร่วง-ท้องเดิน แม้แต่ครั้งเดียว

เชื่อหรือไม่ ถ้าผมจะสรุปง่ายๆ ว่าโรคเกี่ยวกับท้อง ท้องร่วง ท้องเดิน เหล่านี้คือโรคประจำตัวคนไทยทั่วประเทศไปแล้ว

ไปประชุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของการประชุมไปถึง ก็เกิดอาการท้องเดินจนลุกไม่ขึ้น ต่อจากนั้นก็ตามด้วยการเป็นไข้ ปวดหัว ปวดตัว ต้องนอนซมอยู่ตลอด 3-4 วัน ของการประชุม

เคราะห์ดีที่ทุกครั้งที่ไปร่วมประชุม ผมจะเตรียมยา และเตรียมตัวไปเจอกับโรคท้องเดิน ท้องเสีย ทุกครั้ง อาการของเจ้าหน้าที่คนนั้นจึงไม่ถึงกับป่วยหนักจนต้องหามเข้าโรงพยาบาล

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของผม ทำให้ผมกลัวเรื่องการป่วยเกี่ยวกับท้องเดิน ท้องเสีย เป็นอย่างยิ่ง เพราะคนไข้ที่เคยมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บร้ายๆ อย่างเช่น มะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ ล้วนแต่มีอาการเกี่ยวกับท้องเดิน ท้องเสียมาก่อนทั้งสิ้น

บางคนอาการไม่ถึงกับเป็นมะเร็ง แต่ก็จะเกิดอาการลุกลามเกี่ยวกับถุงน้ำดี เป็นโรคไต โรคเกี่ยวกับม้าม และบางคนลุกลามไปถึงเป็นโรคปอดก็มี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเชื้อ SALMONELLA นั้น จะไม่อยู่อาศัยในช่องท้อง-กระเพาะ-ลำไส้ แต่อย่างเดียวเท่านั้น แต่จะกระจายเข้าในกระแสโลหิตได้ และเมื่อเข้ากระแสโลหิตแล้วก็ไปถึงตับถึงไต ถึงปอดได้ ถ้าหากร่างกายอ่อนแอหรือ IMMUNE SYSTEM แต่ไม่แข็งแรงก็เลยกลายเป็นโรคร้ายได้

SALMONELLA เป็นเชื้อโรคครอบครัวใหญ่ มีเชื้อโรคอยู่ในกลุ่มหรือครอบครัวนี้ถึงกว่า 12,000 ตัว เป็นเชื้อโรคชนิดเบาๆ ไม่มีพิษสงมากมายบ้าง เชื้อโรคร้ายแรงทำให้ตายได้บ้าง ที่ร้ายแรงที่สุดก็อย่างเช่น ไทฟอยด์ หรือไข้รากสาด เป็นต้น

ต้นเหตุสำคัญก็คืออาหาร อาหารที่ติดเชื้อ SALMONELLA มักจะเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ หรือบางครั้งก็มีโปรตีนชนิดอื่นที่ทำเป็นอาหารสำเร็จรูปอย่างเช่น นม ไข่ เป็นต้น

ในกรณีของเจ้าหน้าที่การประชุมที่ป่วยคราวนี้ เธอมีอาการท้องเสียมาก่อน ตามด้วยอาการปวดท้อง และจะเป็นด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือเรียนรู้อะไรมาผิดๆ ก็ไม่ทราบ เธอเชื่อว่าการปวดท้อง เป็นเพราะกระเพาะอาหาร เธอจึงไปซื้อนมกล่องมาดื่มเป็นการใหญ่ เพราะเชื่อว่านมจะไปช่วยเคลือบกระเพาะ ทำให้หายจากการท้องเดิน

แต่มันกลับตรงกันข้าม เราไม่ทราบว่านมนั้นติดเชื้อมาด้วยหรือเปล่า รุ่งขึ้นเธอก็เกิดอาการท้องเดินติดๆ หกันจนลุกไม่ขึ้น ต่อจากนั้นก็เกิดการอาเจียน และไข้ขึ้น เธอไม่เคยรู้เรื่องการติดเชื้อ SALMONELLA มาก่อน เข้าใจว่าอาการท้องเดินอย่างนี้ เป็นเพราะอาการแบบที่ชาวบ้านเรียกว่า “ท้องเสีย” เฉยๆ

เชื้อ SALMONELLA บางตัวมีความอดทนมาก ขนาดในเนื้อสัตว์แช่แข็งมาแล้ว จนเป็นน้ำแข็งก็ยังอาศัยมีชีวิตอยู่ได้ ที่อเมริกาจะมีข่าวแทบทุกปี เช่น ระหว่างเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้า และเดือนธันวาคม เทศกาลคริสต์มาส ชาวอเมริกันจะเฉลิมฉลองด้วยการกินไก่งวงด้วย

ปรากฏว่าทุกปีจะมีคนป่วยด้วย SALMO-NELLA จากเนื้อสัตว์แช่แข็งเหล่านี้ พอพบว่ามีคนป่วยเมื่อไหร่ ทางซุปเปอร์มาร์เกตหรือบริษัทขายเนื้อสัตว์ ก็จะประกาศขอให้ผู้ซื้อไก่งวงหรือเนื้อสัตว์อื่นๆ รีบเอาเนื้อสัตว์มาคืนทันที พ่อค้าเหล่านี้ต้องถือว่าเป็นพ่อค้ามีคุณธรรม เขายอมขาดทุนเพื่อเห็นแก่ชีวิตและสุขภาพของประชาชน

แต่กับเมืองไทย กลับจากการประชุมคราวนี้เอง ผมขับรถมาตามถนนพุทธมณฑลเพื่อเข้ากรุงเทพฯ มีรถกระบะคันหนึ่งขับฉวัดเฉวียนปาดซ้ายปาดขวาอยู่ข้างหน้า บนรถคันนั้นยกกระบะซึ่งมีแต่ลูกกรงเหล็กขึ้นสูง รับรองว่าสูงเกินกว่าขนาดรถบรรทุกแน่นอน บนกระบะนั้นมีขาหมูชำแหละสดๆ กองทับถมจนถึงขอบลูกกรงเหล็ก ฝนก็ตกพรำๆ ทั้งน้ำฝน ทั้งน้ำเลือด ไขมันรวมกับของสกปรกบนรถกระบะไหลลงใต้รถเหมือนท่อน้ำพุตลอดเวลา

ผมรู้สึกช็อกกับภาพที่ได้เห็น ความจริงภาพรถบรรทุกเนื้อสัตว์เหล่านี้มีให้เห็นตลอดเวลา บางครั้งฤดูที่ไม่ใช่ฤดูฝน เราจะเห็นรถบรรทุกเนื้อสัตว์ เป็นเนื้อท่อนๆ บ้าง เป็นโครงกระดูกเน่าๆ บ้าง เนื้อสัตว์เหล่านี้ไม่มีอะไรปกคลุมอยู่เลย มีแมลงวันตอมหึ่ง กลิ่นเน่าเหม็นคลุ้ง ผ่านรถคันอื่นๆ เมื่อไหร่ คนในรถก็ต้องอุดจมูกเมื่อนั้น

ผมรู้สึกช็อกก็เพราะนึกไม่ถึงว่าภาพอย่างนี้จะปรากฏอยู่ตามถนนใหญ่ๆอย่างเปิดเผยอย่างนี้อีก เข้าใจว่าการฆ่าสัตว์ทุกชนิดต้องผ่านโรงฆ่าสัตว์ ซึ่งผ่านการควบคุมจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี โรงฆ่าสัตว์ต้องสะอาด ต้องมีเครื่องมือทันสมัย และมีรถตู้บรรทุกซึ่งมีตู้มิดชิด มีเครื่องทำความเย็นอยู่ด้วย

แล้วรถบรรทุกเนื้อสัตว์เถื่อนเหล่านี้ออกมาอาละวาดกลางกรุงผ่านสายตาเจ้าหน้าที่ต่างๆ มาได้อย่างไร ตอบได้ตรงๆ คำเดียว-คอรัปชัน-โกง-กิน-สินบน โกงกันตลอดตั้งแต่หัวถึงหาง

เพราะฉะนั้น เชื่อหรือยังครับว่า เรื่องโรคเกี่ยวกับท้อง โรคง่ายๆ อย่างเช่น ท้องร่วง ท้องเดิน จะไม่มีวันหมดไปจากเมืองไทย และจะยิ่งร้ายแรงจนกลายเป็นโรคตับ ถุงน้ำดี โรคไต และโรคปอดถึงตายอีกมากมายต่อไป

ปกตินั้นโรคติดเชื้อ SALMONELLA เกี่ยวแก่ท้องเดิน ท้องเสียนั้น ถ้าอาการไม่มากนัก แพทย์ ทั่วไปจะแนะนำให้นอนพัก หยุดกินอาหารสักมื้อสองมื้อ แล้วดื่มน้ำสะอาด ยิ่งเป็นนํ้าร้อนยิ่งดีมาก

วันที่สอง ที่สาม ถ้าอาการดีขึ้นก็เริ่มอาหารอ่อนๆ ง่ายๆ ไม่ต้องปรุงรสชาติ อย่างเช่นข้าวต้มเปล่าๆ ขนมปังปิ้ง เป็นต้น

แต่ถ้าอาการมากกว่านี้ เช่นท้องยังเดินอยู่ หรือยังอาเจียนอยู่ ก็มักจะเกิดอาการที่เรียกว่า ขาดนํ้า (DEHYDRATION) ก็คงต้องไปปรึกษาแพทย์ที่โรงพยาบาล เพราะคุณอาจจะต้องให้ นํ้าเกลือและอาจจะต้องใช้ยาประเภทแอนตี้-ไบโอติคก็ได้

แต่อย่าไปปรึกษาหมอตี๋เป็นอันขาด เพราะเท่าที่เห็นมา เขาจะจัดยาชนิดแรงๆ ให้ นอกจากจะให้แอนตี้-ไบโอติคแล้ว เขายังให้ยาแก้ท้องเสียอย่างแรงๆ อย่างเช่น ยาประเภทคลอแรม หรือซัลฟา เป็นต้น

ยาประเภทนี้จะทำให้คุณอ่อนเพลีย หมดแรง และโรคของคุณจะยืดระยะไปอีกนานกว่าจะหาย ที่เตือนอย่างนี้ ผมไม่ได้พูดเอง แต่จากการศึกษาและรายงานการค้นคว้าของกลุ่มนาย แพทย์มาร์วิน เอช สไลน์ ซิงเกอร์ และจอห์น เอส ฟอร์ดแทรน แห่ง รพ.ฟิลาเดลเฟีย รายงานไว้อย่างละเอียดใน “GASTROINTESTINAL DISEASE : PATHOPHYSIOLOGY, DIAGNOSIS, MANAGEMENT”

และเมื่อคุณรักษาตัวดีแล้วสัก 2-3 วัน ก็เริ่มกินอาหารที่แคลอรีสูงๆ ได้ ใช้สูตรอาหารชีวจิต แต่เพิ่มอาหารปลา หรืออาหารทะเล อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งได้

ควรเพิ่มวิตามิน B1, B6, B12, B COMPLEX อย่างละเม็ด ทุกวันด้วยครับ.


ไทยรัฐ ๑๕ ก.ค.๔๕

คัดลอกมาจาก http://www.geocities.com/thatboon/

เลมอนฟาร์มยังไม่ตาย

ลับมาแล้วครับ เลมอนฟาร์ม

เมื่อวันเสาร์ที่แล้วมา มีพิธีเปิด เลมอนฟาร์ม สาขาแจ้งวัฒนะ ขึ้นใหม่ ที่แจ้งวัฒนะนี้จะเป็นสำนักงานใหญ่ของเลมอนฟาร์มทั้งหมดด้วย

ท่านสมาชิกสหกรณ์เลมอนฟาร์มคงจะจำได้ว่า เลมอนฟาร์ม 2 แห่ง ซึ่งกิจการกำลังเจริญงอกงามเป็นอย่างดี ต้องปิดกิจการย้ายจากสถานที่เก่าไป ย้ายออกทั้งๆ ที่กิจการกำลังดี ฟังดูออกจะไม่มีเหตุผลเพียงพอ แต่เรื่องเบื้องหลังทั้งหมด ไม่เหมาะที่จะเอามาพูดกันในที่นี้

ฉะนั้นขออนุญาตแจ้งข่าวแต่เพียงว่า เลมอนฟาร์มได้เปิดสาขาและสำนักงานใหญ่ ขึ้นใหม่แล้วที่แจ้งวัฒนะ (เยื้องๆ กับองค์การโทรศัพท์ฯ)

และผมขอถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์ให้ กับกิจการของเลมอนฟาร์มด้วย ผมไม่เคยเขียนประชาสัมพันธ์ให้ใครๆ มาก่อน เพราะเกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่ามีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจนั้นๆ

แต่เลมอนฟาร์มเป็นกิจการแบบสหกรณ์ ซึ่งหมายความว่าดำเนินงานโดยมีประชาชนเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นเจ้าของ เมื่อมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าที่ได้นั้นก็จะกลับคืนไปสู่ผู้ถือหุ้น และข้อสำคัญ เป้าหมายของสหกรณ์เลมอนฟาร์มมุ่งที่จะส่งเสริมชุมชนผู้ผลิตของชาวบ้าน รายได้ที่ได้มาจึงเท่ากับไปส่งเสริมกิจการและภูมิปัญญาของชาวบ้านด้วย

จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่สุดของสหกรณ์เลมอนฟาร์ม ท่านสมาชิกที่สนใจการทำงานของเลมอน-ฟาร์ม หากติดตามกลุ่มหนุ่มๆ สาวๆ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของสหกรณ์ ไปดูการทำงานของหนุ่มๆ สาวๆ เหล่านี้ จะเข้าใจได้ทันทีว่า การทำงานแบบนี้ต้องการการทำงานที่มีนํ้าใจหรือมี SPIRIT

ถ้าท่านได้เห็นหนุ่มๆ สาวๆ จากเลมอนฟาร์มเข้าถึงลุงป้าน้าอาของเกษตรกร ไปนั่งพับเพียบคุยกับลุงป้าน้าอาเหล่านี้ ช่วยเขาทำงานบ้าง ช่วยแนะนำวิธีคัดสินค้า ห่อสินค้าให้สะอาด ให้ดูกระจุ๋มกระจิ๋มน่ารักบ้าง จนกระทั่งสินค้าเหล่านั้น ได้มาวางบนหิ้งบนชั้นอย่างสวยงามเป็นที่น่าภาคภูมิใจนั้น เป็นเรื่องที่ยากเย็น ต้องใช้ความเพียรพยายาม และความอดทนเพียงไร และ ข้อสำคัญก็คือ ได้แบ่งปันนํ้าใจระหว่างผู้ผลิต-คนกลาง กับเกษตรกร และผู้บริโภคอย่างใกล้ชิดสนิทสนมเพียงไร

สายสัมพันธ์เช่นนี้ แหละคือหัวใจและการทำงานของเลมอนฟาร์ม

โดยเหตุนี้เมื่อท่านสมาชิกไม่เห็นรายงานแถลงผลงานของเลมอนฟาร์ม โปรดอย่าประหลาดใจ ถ้าจะเห็นการเน้นนโยบายของเลมอนฟาร์ม กล่าวว่า “เลมอนฟาร์มสนับสนุนนโยบายสุขภาพแห่งชาติ โดยร่วมพัฒนาอาหารธรรมชาติส่งเสริมสุขภาพ และการเชื่อมโยงช่วยเหลือกัน ระหว่างผู้บริโภคและเกษตรกรผู้ผลิต เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและสุขภาพของสังคม”

เอาละครับ ตอนนี้ขอพูดถึงเรื่องอาหารธรรมชาติก่อน เรื่องนี้เรื่องเดียวก็เป็นเรื่องใหญ่ อย่างเหลือเกิน จนกระทั่งแทบไม่มีเวลาไป ทำงานอื่นๆ ได้สำเร็จแล้ว

ปัญหาสำคัญของคนไทยสมัยนี้ก็คือ เรากำลังใช้ชีวิตแบบฆ่าตัวตายผ่อนส่งอยู่ตลอดเวลา อาหารที่เรากินอยู่ทุกวันนี้เต็มไปด้วย “สารพิษ” ซึ่งดูๆ ไปแล้ว ผู้บริโภคไม่มีทางเลือกเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าอาหารเหล่านั้นปนเปื้อนไปด้วยสารพิษ แต่ก็ต้องกิน เพราะถ้าไม่กิน เราก็ต้องอดตายท่าเดียว

กรรมวิธีที่ผลิตอาหารให้เรากินนั้น เริ่มต้นตั้งแต่การเพาะปลูก มาจนกระทั่งมาถึงการบรรจุหีบห่อนั้น ทุกขั้นตอนเราจะหนีสารพิษไปไม่พ้น เราเจอ ปุ๋ยเคมีในการเพาะปลูก เมื่อเพาะปลูกเริ่มงอกงามขึ้นมา เราก็เจอยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืชนอกไปจากนั้นเดี๋ยวนี้มีศัตรูตัวใหม่ คือเมล็ดพืชซึ่งผ่านการตัดต่อยีน (GMOs) นำมาเพาะปลูกอย่างเงียบๆ ให้เราบริโภคโดยที่เราไม่รู้ตัวสักนิดว่ากำลังถูกเขาหลอกให้ฆ่าตัวตายอยู่

เรื่อง GMOs นี้กำลังมีนักวิชาการที่ขายตัว ขายวิญญาณ ออกมาเต้นแร้งเต้นกาเป็นนายหน้าประกาศชักชวนว่า “กินเข้าไปเถิดๆ ปลอดภัย ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าขอเอาเกียรติ (ปลอมๆ) เป็นประกัน”

หลุดจากขั้นตอนการเพาะปลูกเข้ามาถึงการปรุงอาหาร เราก็เจอภัยจากการปรุงอาหาร การใช้ยากันบูดกันเสีย (PRESERVATIVE) ยาตบแต่งสีสันและรสชาติ (ADDITIVE) แล้วยังเจอภัยจากผงชูรสจากการปรุงแต่งรสจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด อีก

และก็ยังไม่พอ หลุดจากขั้นตอนนี้แล้ว ก็ยังเจอการบรรจุหีบห่อที่ไม่ปลอดภัย สกปรกมีเชื้อโรค แถมอาหารบางอย่างยังแหลกเหลว และเสีย-บูด หลังการบรรจุห่อแล้วเพียงไม่กี่วันอีก

พอจะมองเห็นไหมครับว่าเรื่องการจัดทำอาหาร ที่เป็นธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้น ก็เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญเพียงไร ที่จะผ่านอุปสรรคอาหารอันอุดมไปด้วยสารพิษนี้ได้

หลักเกณฑ์ข้อแรกและข้อที่สองของเลมอนฟาร์มในการคัดเลือกอาหารจึงเป็นดังนี้ คือ

1. ส่งเสริมและคัดเลือกอาหารและพืชผักเกษตรธรรมชาติ (ORGANIC) เป็นอันดับแรก

2. อาหารที่คงคุณค่าตามธรรมชาติ ปรุงแต่งน้อยและมากคุณภาพ แบบ HOME MADE

เฉพาะข้อแรก หาพืชผักธรรมชาติมาขายที่ร้านอย่างเดียวก็งานหนักหนาสาหัสมากแล้วนะครับ เพราะเลมอนฟาร์มปลูกผักเองไม่ได้ ต้องไปชักชวนชาวบ้านไปตั้งกลุ่มเกษตรธรรมชาติ ซึ่งเมื่อชาวบ้านอุตส่าห์ผลิตผลิตผลธรรมชาติ ตามคำชักชวนขึ้นมาได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือ การขนส่ง และการหาตลาดจำหน่ายให้แก่ชาวบ้าน การจะทำงานชิ้นนี้ให้ได้ต้องใช้การลงทุนสูง และความพยายามอดทนสูง

อาหารบางอย่างของเลมอนฟาร์มจึงมีราคาสูงกว่าตลาดทั่วไปอยู่บ้าง แต่นั่นไม่ใช่เพราะ เลมอนฟาร์มต้องการแสวงหากำไร แต่เพราะต้นทุนสูง และภาระในการเลี้ยงดูแลชาวบ้านผู้ผลิตนั้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก

ที่ดูแล้วเกิดความมั่นใจสำหรับผู้บริโภคอีกอย่างหนึ่งก็คือ เป้าหมาย 5 ปลอด และ 5 หลีกเลี่ยง ของเลมอนฟาร์ม

5 ปลอด คือ 1. ปลอดยาฆ่าแมลง/ยาฆ่าหญ้า 2. ฟอร์มาลิน 3. บอแรกซ์ 4. ดินประสิว 5. สีย้อมผ้า

5 หลีกเลี่ยง 1. ผงชูรส 2. วัตถุกันเสีย 3. น้ำตาล/แป้งขัดขาว 4. ฮอร์โมนเร่ง 5. GMOs

ในเรื่องฟอร์มาลินนั้น ผมเป็นห่วงอยู่มาก เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ว่าแม่ค้าเล็ก พ่อค้าใหญ่ ก็ใส่ฟอร์มาลิน ปู ปลา หอย กุ้ง ก็มีแช่ฟอร์มาลิน

ผมคุยกับแผนกปลาของเลมอนฟาร์ม เขาเล่าให้ฟังว่า มีปลาของตัวเอง จับปลาได้เท่าไหร่ ก็มาขายสดๆ ไม่ได้แช่ฟอร์มาลินเลย

ฝากข้อที่น่าคิดไว้นิดหนึ่งนะครับ เลมอนฟาร์มเป็นสหกรณ์ ไม่ใช่ธุรกิจหากำไร ถ้าเราช่วยกันเป็นสมาชิกให้มากขึ้น ราคาก็จะถูกลง และกิจการเพื่อสมาชิกและสังคมก็จะทำประโยชน์ได้เต็มที่มากยิ่งขึ้น สำนักงานใหญ่เลมอนฟาร์ม แจ้งวัฒนะ โทร. 575-2222 ครับ.

00000

ข่าวกิจกรรมชีวจิต

กิจกรรมรำตะบองและออกกำลังกายสำหรับ ชุมชนที่ ร.ร.ชลประทาน (ข้างวัดชลประทาน) ปากเกร็ด ต้องงดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขออภัยด้วย

ถ้ามีโรงเรียนวัด หรือสถานที่สาธารณะแห่งใด ต้องการให้ชมรมชีวจิตไปจัดกิจกรรมเพื่อชุมชน กรุณาแจ้งมาที่ โทร.570-8220 หรือ FAX 570-8273 ครับ เราไปช่วยจัดให้ฟรีครับ.


ไทยรัฐ ๘ ก.ค. ๔๔

คัดลอกมาจาก http://www.geocities.com/thatboon/

การแพทย์ทางเลือก ช่วยอาไทรทิส ได้อย่างไร

อันที่จริงผมเคยเขียนเรื่องวิธีปฏิบัติเพื่อแก้ไขเรื่องการเจ็บป่วยจาก อาไทรทิส หรือไขข้ออักเสบ มาบ้างแล้วในไทยรัฐฉบับวันอาทิตย์นี้ แต่ผมไม่ได้เขียนอธิบายวิธีดูแล รักษาตนเอง โดยละเอียด เพราะเกรงจะโดนข้อหาหมอเถื่อน เข้าอีก

แต่จากจดหมายและโทรศัพท์สอบถามมา ทำให้ได้รับรู้ว่ามีผู้ป่วยอาไทรทิส-ข้อต่ออักเสบนี้ม ากมายเหลือเกิน และผู้ที่ไปขอรับการรักษาจากโรงพยาบาลและคลินิกก็ตั้งมากมาย บางคนไปพบแพทย์ต่างๆมานับสิบคน แต่อาการก็ยังเป็นๆ หายๆ อยู่ไม่มีวันหายขาดได้สักที

เพื่อป้องกันข้อกล่าวหาว่าเป็นหมอเถื่อน และในขณะเดียวกันเพื่อช่วยผู้ป่วย ให้มีทางออกหรือ ทางเลือกมากขึ้น ผมขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาคำแนะนำของผม ให้เป็นทางออกสุดท้าย นั่นหมายความว่าคุณได้ไปหาแพทย์และรับการรักษามาหลายคนและลองดูหลายวิธีแล้วไม่ ประสบผลสำเร็จ จึงขอให้คุณลองวิธีต่างๆ ที่ผมรวบรวมมานี้เป็นทางออกสุดท้าย

1. เรื่องอาหาร โปรดเปลี่ยนอาหารจาก เนื้อ-นม-ไข่ และอาหารฟาสต์ฟู้ดเป็นอาหารชีวจิต (ตามสูตรชีวจิตอย่างเคร่งครัด) ไม่ต้องห่วงว่าคุณจะไม่มีกำลัง เพราะไม่มีเนื้อสัตว์ อาหารชีวจิต แนะนำให้กินปลาทะเลได้อาทิตย์ละ 2 ครั้ง ร่วมกับโปรตีนจากพืช คือกลุ่มถั่วต่างๆ และผลิตผลจากถั่ว เช่น เต้าหู้ และโปรตีนเกษตร เป็นต้น

ขอให้เลิกกินหวานและมันโดยเด็ดขาดด้วย โดยเฉพาะไอศกรีม ขนมเค้กชนิดต่างๆ ช็อกโกแลต น้ำอัดลมทุกชนิด

2. วิตามินและแร่ธาตุ อันที่จริงวิตามินและแร่ธาตุนี้ก็จัดอยู่ในกลุ่มอาหาร เพราะวิตามิน และแร่ธาตุมา จากอาหารทั้งสิ้น ถ้ากินอาหารถูกต้องครบตามสูตรชีวจิต คุณก็จะมีวิตามินและ แร่ธาตุเพียงพอ แต่บังเอิญในระหว่างที่คุณกำลังมีอาการอาไทรทิส และข้อต่ออักเสบอาละวาดอยู่นี้ แทนที่จะกินยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบ ใช้วิตามินและแร่ธาตุในปริมาณมากพอสมควร จะดีกว่าใช้ยาแก้ปวดและยาแก้อักเสบมากมายนัก

นายแพทย์โจนาธาน ไร้ท์ ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน ORTHOMOLECULAR ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ได้แนะนำวิตามิน-แร่ธาตุ ดังนี้ 2.1 วิตามิน C 1000 มก. 3 มื้อ (เช้า-กลางวัน-เย็น) วิตามิน D 1000 I.U. 3 มื้อ (เช้า-กลางวัน-เย็น) วิตามิน ไน-อาซินนาไมด์ 3 มื้อ (เช้า-กลางวัน- เย็น) วิตามิน B5 1000 มก. มื้อเช้า 1 มื้อ วิตามิน A 10000 I.U. 2 มื้อ (เช้า-เย็น) ทั้งหมดกินหลังอาหาร

3. อาหารที่ควรงด พวกพืชประเภทไนต์เชด (ได้เขียนไว้เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว) อาหารประเภทเครื่องในสัตว์ เหล้า เบียร์ ไวน์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

4. อาหารประเภทยากลางบ้าน (ได้แนะนำ ไว้แล้วในไทยรัฐฉบับก่อนๆ ขอพูดย่อๆ อีกครั้ง) น้ำส้มสายชูจากแอปเปิ้ลไซเดอร์ (น้ำส้ม 2 ช้อนโต๊ะ+น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ) ผสมน้ำอุ่น จิบหลังอาหาร 3 มื้อ

น้ำบาร์เลย์หรือลูกเดือย ลูกเดือย 1 ถ้วย ต้มกับน้ำ 2 ลิตร จนเดือด ดื่มต่างน้ำตลอดวัน

เกสรผึ้ง (BEE POLLEN) วันละ 1 ช้อนชา

5. แช่น้ำอุ่น (จากตำรับนายแพทย์ ดี.ซี อาร์วิส) ใส่รำข้าวประมาณ 1/4 กก. ดีเกลือ 1 ถ้วย ผสมในน้ำอุ่น แช่น้ำทั้งตัวหรือเฉพาะส่วนที่อักเสบ

6. การนวด-ประคบและกดจุด (ตำรับรวมของราเชล คาลส์-ตำรับการฝังเข็มและนวดกดจุด ACUPRESSURE) ควรนวดและออกกำลังกาย เน้นที่ข้อต่อทุกส่วนของร่างกาย ข้อเท้า หัวเข่า บั้นเอว ข้อศอก ข้อมือ ต้นคอ ไหล่ นิ้วมือนิ้วเท้า

การนวดกดจุดเหล่านี้รวมทั้งการยืด การดึงการดัน

ทั้งหมดนี้เป็นการบริหารร่างกายเพื่อให้เกิดความคล่องของข้อต่อทั่วตัว ไม่ใช่เป็นการออกกำลังกาย เพื่อให้เหงื่อออก

7. การหายใจ ราเชล คาลส์ และกลุ่มนายแพทย์ เช่น ปีเตอร์ วินเตอร์ ฮารี เจย์ อัลวิสเอส มุชลี่ สมอลล์ และแพทย์อีกหลายท่านได้ร่วมกันทดลองวิธีผ่อนคลายร่างกาย (RELAXATION) ร่วมกับใช้เทคนิคการหายใจให้ถูกต้อง

วิธีหัดการหายใจ ให้เริ่มหายใจทางจมูกและปิดปากให้แน่นหายใจลึกถึงสะดือ ขยายช่องท้องออกไป ปล่อยอากาศจากปอดออกให้หมด

หายใจเข้า-ออกเช่นนี้ ทำได้ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน หลักการคือหาย-ใจเอาออกซิเจนเข้า แล้วหายใจออกเอาคาร์บอน-ไดออกไซด์ออกให้หมด

การหายใจเช่นนี้ทำให้เลือดในตัวซึ่งผ่านปอดตลอดเวลาบริสุทธิ์ขึ้น และเป็นการช่วยให้ อาการของอาไทรทิสดีขึ้น กลุ่มแพทย์ที่ทดลองกลุ่มนี้กล่าวว่าช่วยให้อาไทรทิสดีขึ้นทันทีถึง 25%

สำหรับผู้ที่สูงอายุและมีอาการอาไทรทิสรุนแรง ราเชล คาลส์ แนะนำว่า ให้ใช้การหายใจประกอบกับ การเดินช้าๆ ในตอนเช้า

ราเชล คาลส์ อธิบายว่า ผู้สูงอายุเมื่อมีอาการของอาไทรทิสจะทรมานมาก ส่วนมากไม่ชอบเคลื่อนไหว เพราะรู้สึกเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา ราเชล คาลส์ แนะนำว่าต้องเดิน ต้องเคลื่อนไหว อยู่นิ่งไม่ได้ การเดินในตอนเช้าๆ ผสมกับการหายใจที่ถูกต้อง จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว

8. หัดทำใจให้สงบ อาจารย์ของผู้เขียนคนหนึ่งคือ นอร์แมน เคาซิล ซึ่งท่านได้รักษาตัวให้หายจากโรค ซึ่งแพทย์ทุกคนกล่าวว่าไม่มีทางหายคือ M.S. หรือ MULTIPLE SCLEROSIS ท่านรักษาด้วยตัวเองจนหาย ตอนหลังท่านได้รับเชิญไปเป็นคณบดีการแพทย์แบบผสมผสาน ของมหาวิทยาลัย UCLE และยังได้รับปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมด้วย

ท่านได้พูดถึงการรักษาอาไทรทิส และข้อต่ออักเสบด้วยการหัดทำใจและหัดสมาธิ ท่านกล่าวว่าจิตใจต้อง ได้รับการควบคุม ถ้าไม่ ควบคุมมันจะฟุ้งซ่าน

ท่านได้แนะนำวิธีทำใจให้สงบ หัดคิดในทางบวก

ต่อจากนั้นให้หัดสมาธิ ทำใจให้ปลอดโปร่ง มีสมาธิเป็นหนึ่ง และสร้างพลังในตัวเองเพื่อรักษาตัวเองได้

ท่านบอกว่าวิธีนี้ไม่ใช่แต่จะรักษาอาไทร-ทิสเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาโรคต่างๆ ไม่ว่าจะ ร้ายแรงปานใดได้ด้วย

แน่ละ จิตใจที่เกิดสมาธิจนมีพลังนั้นต้องฝึกฝนเล่าเรียน และต้องใช้ความรู้ในด้านการแพทย์ทางเลือก วิธีต่างๆ มาผสมผสานกันด้วย

อาไทรทิส 7 ประเภท 1. น้ำหล่อเลี้ยงไขข้ออักเสบ 2. เส้นเอ็นอักเสบ 3. อักเสบในช่องว่างข้อต่อ (เกาต์) 4. ติดเชื้อในข้อต่อ 5. อักเสบกระดูกอ่อน 6. กล้ามเนื้ออักเสบ 7. อักเสบเฉพาะที่

ท่านที่ลองวิธีต่างๆ มาแล้วไม่ได้ผล ก็ลองวิธีเหล่านี้ดูบ้างเถิดครับ และถ้าอยากจะคุยกับผมด้วยก็ FAX ไปที่ 570-8273 ครับ.ไทยรัฐ ๑ ก.ค


ไทยรัฐ ๑ ก.ค.๔๔

คัดลอกมาจาก http://www.geocities.com/thatboon/