วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตัวร้ายกลายเป็นตัวดี (2) ใช้อาหารให้ถูกทาง กลายเป็นยาวิเศษได้

ฉบับที่แล้วได้ชักชวนให้กินโยเกิร์ตเพื่อป้องกันเชื้อโรคหลายๆ ตัว ซึ่งจะมาทำอันตราย ให้กับท้องไส้ของเรา แต่ได้กันๆ ไว้ก่อนว่า ขอให้กินโยเกิร์ตธรรมดาหรือนมเปรี้ยวแบบ ไม่ได้ปรุงแต่ง ไม่มีนํ้าตาลหรือผลไม้เชื่อมบางอย่างปนอยู่กับโยเกิร์ตนั้น

ทำไมหรือครับ มีเหตุผลอยู่สองประการซึ่งอยากจะเอ่ยถึง เหตุผลสองประการนี้เป็นเหตุผลทางวิชาการ และได้ทดลองและทดสอบมาแล้ว

ประการแรก ถ้าคุณกินโปรตีน-ไขมันรวมกับนํ้าตาลหรือของหวาน จะเกิดแก๊สหรือกรดในลำไส้ ของคุณทันที คุณจะมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ง่ายๆ ระบบย่อยของคุณจะทำงานได้ไม่เต็มที่

ประการที่สอง ข้อนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องท้องอืดท้องเฟ้อ ถ้าคุณ ไม่ กินโปรตีน+ไขมัน ร่วมกับนํ้าตาลและ ของหวาน แต่กลับกินโปรตีนหรือไขมันรวมกับข้าวหรือผักและผลไม้ ซึ่งไม่หวานแล้ว คุณจะได้ ประโยชน์อย่างมหาศาล คือนอกจากจะได้ เชื้อโรคซึ่งเป็นเพื่อนและเป็นประโยชน์ต่อท้องไส้ ของคุณแล้ว คุณยังจะได้แอมมิโน แอซิค ฮอร์-โมน-เอนไซม์-วิตามิน-แร่ธาตุ ซึ่งเป็นประโยชน์ มหาศาลต่อท้องไส้ของคุณอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อีกด้วย

แอมมิโน แอซิค นั้นก็คือโปรตีนจากเนื้อสัตว์-ไข่ และถั่วจากพืชนั่นเอง เมื่อคุณกินหรือเคี้ยวโปรตีน ในปากลงถึงกระเพาะและลำไส้ มันก็ จะถูกย่อยและแตกตัวจากโปรตีนกลายเป็นแอมมิโน แอซิค

ถ้าเป็นโปรตีนอยู่ มันจะเข้าไปบำรุงเลี้ยงร่างกายของคุณไม่ได้ มันต้องแตกตัวของมันออกเป็นแอมมิ-โน แอซิค เสียก่อน มันจึงจะไปบำรุงเลี้ยงร่างกายคุณ กลายเป็นเลือดเป็นเนื้อ กล้ามเนื้อ กระดูกของคุณได้

ก่อนที่โปรตีนจะถูกย่อยได้ คุณจะต้องมีนํ้าย่อย ซึ่งเริ่มทำงานด้วยฮอร์โมน และจะส่งต่อไปที่เอนไซม์ซึ่งไปย่อยโปรตีนเหล่านี้

ในด้านของวิชาการเกี่ยวกับเรื่องของอาหารเหล่านี้ เราต้องศึกษาถึงสรีรวิทยาของร่างกาย เราต้องศึกษาถึงไบโอเคมี และปฏิกิริยาเกี่ยวกับอาหาร แล้วเราก็ต้องจัดการทดลองในห้องแล็บและ ทดลองกับกลุ่มของคนไข้กลุ่มต่างๆ แล้วเปรียบเทียบกันดู

ผลการทดลองตรงกันทุกครั้งแล้ว จึงจะยอมรับและประกาศว่าเป็นวิชาการ และเป็นวิทยาศาสตร์ได้

แพทย์หญิง เลสลี่ย์ เอ็ช ซาลอฟ และคณะ ซึ่งได้เอ่ยถึงไว้ในฉบับก่อน ได้กล่าวยืนยันถึงเรื่อง โปรตีน+ไขมัน+นํ้าตาล และของหวาน ซึ่งจะทำให้เกิดการท้องอืด ท้องเฟ้อ และยังเป็นการทำลายตัว เชื้อแลตโตบาซิลลัส ให้เหลือน้อยกว่าปกติ และนี่ย่อมเป็นสาเหตุ ของการทำลายพลังของเชื้อโรค ที่ดีหรือเชื้อโรคที่เป็นเพื่อนของเรา เชื้อโรคกลุ่มนี้คือเชื้อโรคที่จะช่วยทำลายเชื้อโรคที่เป็นตัวร้าย ทำลายท้องไส้ของเรา จำได้ไหมครับที่ผมคุยไว้ในอาทิตย์ที่แล้ว

หมอซาลอฟได้คิดสูตรอาหารใหม่ขึ้นมา 10 สูตร เจตนาก็เพื่อจะหาสูตรที่ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยสร้างเชื้อโรค ที่เป็นเพื่อนช่วยเหลือปราบเชื้อร้ายในลำไส้ของเรา และยังได้สารอาหารที่ เป็นประโยชน์โดยได้โปรตีน-วิตามิน-แร่ธาตุ รวมทั้งคาร์โบไฮเดรตอย่างสมบูรณ์ด้วย

10 สูตรดังว่านี้ได้แก่

1. สลัดผักเขียวสด โรยด้วยเม็ดมะม่วงหิมพานต์ดิบและถั่วต่างๆ ดิบๆ

2. คั้นสลัดผักเขียวให้เป็นนํ้า แล้วผสมกับถั่วดิบตำละเอียดและเมล็ดพืชตำละเอียด

3. สลัดผักเขียวสดราดหน้าด้วยนํ้าสลัดอโวคาโด

4. ถั่วงอกจากถั่วต่างๆ (SPROUT) ผสมกับสลัดผักเขียว

5. สลัดผักโรยด้วยเนยแข็งสวิสชีส หรือเช็ดด้า

6.สลัดผัก ผสมกับคอท- เทจชีสและจมูกข้าวสาลี

7. สลัดผักคลุกด้วยนํ้ามันงาหรือนํ้ามันพืชชนิดมีไขมันดี (HDL)

8. สลัดผักล้วนราดหน้าด้วยมายองเนสทำจากพืช (เช่นถั่วเหลือง)

9. สลัดผัก+ถั่ว+ราดหน้าด้วยโยเกิร์ต

10. สลัดผักผสมเนื้อสัตว์หรือปลา หรือไข่ซึ่งต้มสุก

ผลปรากฏว่า สูตรที่ 9 คือ ผัก+ถั่ว (โปรตีน) +โยเกิร์ต ดีสำหรับระบบย่อยมากที่สุด

ต้องเรียนให้ทราบล่วงหน้าเสียก่อนว่า สูตรผัก-โปรตีนล้วนๆนี้ต้องการให้ใช้ อาหารเป็นยา เพราะฉะนั้นไม่มีการปรุงรสใดๆ ทั้งสิ้น อาหารจึงมีรสจืด หรือรสอื่นๆ แล้วแต่จะใช้ผักประเภทใด ฉะนั้นผักต่างๆ เหล่านี้จะให้รสธรรมชาติ อาจจะหวานปะแล่มๆ หรือรสเผ็ดนิดหน่อย หรือเค็มนิดๆ แล้วแต่ชนิดของผัก

ในขณะเดียวกัน ผักและถั่วล้วนๆ นี้จะให้แต่ เฉพาะอาหารกลางวัน ส่วนอาหารเช้า-เย็นจะเพิ่มขนมปัง มันฝรั่ง (คือคาร์โบไฮเดรต) และซุปเติมเข้าไปด้วย

แม้ว่าในสูตรที่ 10 มีเนื้อสัตว์ซึ่งก็มักจะใช้ ไก่หรือไก่งวง ปลา หรือไข่ ร่วมด้วยนั้น ก็เพราะจะเพิ่มโปรตีน จากเนื้อสัตว์เข้ามาบ้าง เป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเล็กน้อย เพราะเนื้อสัตว์พวกนี้คิดแล้ว ไม่เกิน 5% ของอาหารทั้งหมด

อาหารซึ่งจัดให้เป็นยารักษาโรคนี้ จะให้แก่ ผู้ทดลองประมาณ 4 อาทิตย์ เมื่อพ้นระยะทดลองแล้ว จะใช้อาหารแบบเดิม แต่มีการปรุงแต่งรสเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เช่น บีบมะนาวเพิ่มรสเปรี้ยว ใช้เกลือเพิ่มรสเค็ม ใช้นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ตแทนนํ้าสลัด และโปรตีนใช้ถั่วเป็นหลัก และเพิ่มปลาเป็นเนื้อสัตว์ เข้าไปด้วย

สิ่งที่พิสูจน์ได้ ในระหว่างการทดลอง 4 อาทิตย์ ปรากฏว่า ระบบขับถ่ายดีขึ้นเกือบ 100% ทุกคนท้องโล่งสบาย ไม่มีท้องขึ้น ท้องอืด เมื่อเช็กร่างกายปรากฏว่าระบบต่างๆ ของร่างกายดีขึ้น โลหิตดีขึ้น ระบบประสาทดีขึ้น การทำงานของต่อมต่างๆดีขึ้น

ผู้ร่วมรายการผู้หนึ่งเป็นสตรี และมีอาการภูมิแพ้อย่างรุนแรง เวียนหัว ปวดหัว มือเย็นเท้าเย็น เจ็บข้อปวดข้อ และเคลื่อนไหวร่างกายลำบาก

เมื่อเธอเข้าทดลองโปรแกรมเพียง 2 อาทิตย์ อาการต่างๆ หายไปหมด

ส่วนผู้เข้าโปรแกรมคนอื่นๆ ที่รู้สึกเหมือนเป็นหนุ่มเป็นสาวกว่าเดิมนั้น เนื่องมาจากนํ้าคั้นจากผักสดนั้น มีทั้งฮอร์โมนและเอนไซม์ซึ่งช่วยไปกระตุ้นต่อมต่างๆ ของร่างกายได้เป็นอันดับแรก

ต่อมซึ่งได้รับประโยชน์โดยตรงจากอาหารสดๆ ผัก-ถั่ว ก็คือ ต่อมไทรอยด์ พาราไทรอยด์ และอดรีนัล ต่อมเหล่านี้จะช่วยขับฮอร์โมน ไทร็อกซิน พาราทอร์โมน คอร์ติน เอพิเนพฟริน และอดรีนาลิน ซึ่งจะไปช่วยให้การสร้างเลือดเนื้อให้แก่ร่างกายได้ผลทันที

นอกไปจากนั้น ประโยชน์ทางตรงอีกอย่างหนึ่งก็คือเอนไซม์ ซึ่งทำงานร่วมกับฮอร์โมนซึ่งมีอยู่ไม่ตํ่ากว่า 700 กว่าตัวในร่างกายนั้น ก็จะกลายเป็นตัวกระตุ้นต่อมต่างๆได้อย่างดีที่สุด และนั่นก็เหมือนกับเอารถเข้าอู่ยกเครื่องใหม่ให้กับร่างกายนั่นเอง

สำหรับท่านที่อยากจะทดลองยาวิเศษจากอาหารสูตรต่างๆเหล่านี้ ขอสรุปให้ท่านสังเกตไว้ ดังนี้ว่า

1. อาหารเหล่านี้อันที่จริงครบตามสูตรของชีวจิตอยู่แล้ว คือ คาร์โบไฮเดรต-โปรตีน-ไขมัน-วิตามิน และแร่ธาตุ ต่างกันอยู่นิดก็ตรงที่ว่า แทนที่จะใช้ข้าวซ้อมมือ (คาร์โบไฮเดรต) เป็นตัวนำ ก็กลับใช้ผักสด (คือวิตามิน-แร่ธาตุ) เป็นตัวนำแทน

และเราก็ใช้วิตามิน-แร่ธาตุนี้เองไปกระตุ้นต่อมต่างๆของร่างกาย และต่อมต่างๆ ก็ไปกระตุ้นให้ระบบต่างๆ ทั่วร่างกายทำงานต่อๆ กันไปเหมือนกับลูกโซ่

2. ถ้าคุณจะลองใช้สูตรอาหารตามนี้ คุณต้องระวังที่สุดเรื่องผักสด ผักสดของคุณต้อง สะอาดจริงๆ พ่นยาฆ่าแมลงแม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่ได้ ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้ ต้องใช้ผักซึ่งปลูกตามธรรมชาติจริงๆ

และถ้าหากได้ผักซึ่งปลูกตามธรรมชาติมาแล้ว ก็ต้องล้างให้สะอาด จนแน่ใจว่าผักธรรมชาตินั้นไม่มีของสกปรก เช่น ไข่พยาธิติดมาด้วย

อย่างนี้อาหารจึงจะเป็นยาได้

หน้าร้อนอย่างนี้ไว้ใจเรื่องอาหารสะอาดไม่ค่อยได้เลย ระวังหน่อยนะครับ ประเดี๋ยวยาจะกลายเป็นยาพิษไปเสียก่อน.

ไทยรัฐ ๑๗ ก.พ. ๔๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น