วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรื่องฮอร์โมน ถ้าไม่เข้าใจ ก็จะทำให้หลงผิดได้

คุณพินิจ นิติมงคลวาส จาก อ.บำเหน็จณรงค์ ชัยภูมิ ส่งแฟกซ์มาถามผมเรื่องการออก กำลังกายว่า จะเป็นตอนเช้า หรือตอนเย็นถึงจะดี คุณพินิจได้อ้างถึงบทความในหนังสือพิมพ์ ชิ้นหนึ่งว่า ได้มีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบรูเนล ประเทศอังกฤษ ได้พบว่า นักกีฬาที่ได้ ฝึกซ้อมออกกำลังตอนเช้าจะมีระดับฮอร์โมนคอร์ติโซลสูงผิดปกติ และได้สรุป (เข้าใจว่าคนแปลบทความคงจะสรุปเอง ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเป็นผู้สรุป) ว่าการออกกำลัง ตอนเช้านั้นจะทำให้ขี้โรค ฉะนั้นนักกีฬาควรจะหลีก-เลี่ยงการฝึกซ้อมตอนเช้า เพราะ “แทนที่จะแข็งแรง กลับอ่อนแอ”

คุณพินิจจึงถามว่า แล้วผมจะว่าอย่างไร

เอาละครับ เมื่อถามมาจากที่ไกลๆ อย่างชัยภูมิเช่นนี้ ก็ต้องถือโอกาสสนองพระเดชพระคุณให้ได้ ขอตอบเป็นข้อๆ เลยนะครับ

1. เป็นลักษณะประจำตัวของผมอย่างหนึ่ง เมื่อจะพูดถึงเรื่องอะไร โดยเฉพาะเรื่องวิชาการ ต้องรู้ให้ได้เสียก่อนว่า ใครเป็นคนพูด เชื่อได้หรือไม่ อย่างไร

มหาวิทยาลัยบรูเนลที่ถูกอ้างถึงนั้นเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ซึ่งอาชีพสำคัญส่วนหนึ่งก็คือรับจ้างทำ การค้นคว้าหรือรีเสิร์ชให้กับบริษัทและกลุ่มเอกชนต่างๆ แต่การทำรีเสิร์ชเรื่อง คอร์ติโซลนี้ บรูเนลไม่ได้บอกเบื้องหลังว่า ทำให้ใครหรือเพื่ออะไร อาจจะเป็นกลุ่มสถานที่ออกกำลังกาย แบบศูนย์ฟิตเนส หรือสปา ซึ่งกำลังเห่อกันอยู่ขณะนี้ก็เป็นได้

ก่อนอื่นต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ฮอร์โมนคอร์ติโซลคืออะไร ฮอร์โมนตัวนี้จะเกิดมาจากต่อ มอดรีนัลหรือต่อมหมวกไต จะเกิดขึ้นได้ด้วยสาเหตุสองประการ คือ จากทางใจอย่างหนึ่ง และทางกายอีกอย่างหนึ่ง

ทางใจนั้นเกิดจากการตื่นเต้น ตกใจ หรือจากความกลัว ถ้าหากเราจะต้องสู้กับอะไรสักอย่างหนึ่ง จะเป็นด้วย การจะต้องรุกราน หรือจะเพื่อป้องกันตัวเราเอง ต่อมหมวกไตจะขับฮอร์โมน ตัวนี้ออกมา เพื่อให้เรามีพละกำลัง ที่จะวิ่งหนี หรือต่อสู้

ในด้านทางกาย ถ้าหากเรากำลังจะออกแรง อย่างเช่น กำลังเล่นกีฬา หรือต่อสู้กับอะไร สักอย่าง ร่างกาย ก็จะขับฮอร์โมน ตัวนี้ออกมา เพื่อให้เรามีแรง ที่จะต่อสู้ หรือรับน้ำหนักสู้ กับการออกแรงนั้นได้

ถ้าพูดถึงนิสัยประจำตัวของฮอร์โมนตัวนี้ จะทำให้ผู้ที่มีฮอร์โมนตัวนี้มากๆ จะมีความก้าวร้าว โกรธเกรี้ยว ประจำตัว จะแสดงอาการก้าวร้าว เหมือนกับอยากจะฆ่าใคร อยู่เป็นประจำ

ลองดูพวกนักกีฬา เช่น นักมวย นักฟุตบอลอเมริกัน ดูซิครับ เวลาเขาเล่นกีฬา ไม่เหมือนกับ เขากำลัง “เล่น” อยู่เลย แต่เหมือนกับ เขากำลังจะ “ฆ่า” คนมากกว่า

นอกไปจากนั้นนักกีฬาเอกมีมากมาย ความจริงนักกีฬาเหล่านี้มีความสามารถพอๆ กัน แต่ถ้านักกีฬาคนไหน มีฮอร์โมนคอร์ติโซลมากๆ เขาจะเอาชนะนักกีฬาคนอื่นๆ ได้ ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้ อาจจะเป็น คนเก่งพอๆ กัน แต่ถ้าขาดฮอร์โมนคอร์ติโซล คือขาดความก้าวร้าว -โกรธเกรี้ยวเสียแล้ว ก็มีโอกาสจะแพ้ คู่ต่อสู้อยู่มาก

ฉะนั้นการที่ออกกำลัง หรือฝึกซ้อมแล้วมีคอร์ติโซลมากหรือน้อยนั้นไม่ได้อยู่ที่ฝึกตอนเช้า หรือตอนเย็น หรอกครับ แต่อยู่ที่เขามีความก้าวร้าวมาก ออกแรงมาก และอยากจะเอาชนะ มากหรือเปล่าต่างหาก

เรื่องฮอร์โมนคอร์ติโซลนี้เป็นเรื่องที่จะพูดกันยาว ยาวมากจริงๆ ซึ่งหน้ากระดาษของเรามีไม่พอ จึงขอพูดถึงสั้นๆ เพียงแค่นี้ก่อน ขอสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า คอร์ติโซล จะหลั่งมากหรือหลั่งน้อยนั้น ไม่เกี่ยวกับ การออกกำลังตอนเช้า หรือตอนเย็นเลยทีเดียว

2. ตอนนี้ก็มาถึงคำตอบที่ว่า แล้วจะออกกำลังตอนเช้า หรือตอนเย็นดีเล่า คำตอบของเรา ตามหลัก ของชีวจิต และการแพทย์ แบบผสมผสาน ขอตอบแบบฟันธง เลยแหละครับว่า ออกกำลังตอนเช้า ดีกว่าตอนเย็นแน่

แต่ก็อีกนั่นแหละ ชีวิตของคนสมัยนี้ แสนจะรีบร้อน และค่อนข้างเครียด หาเวลาเฉพาะเจาะจง ที่จะทำอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นประจำแสนจะลำบาก เพราะฉะนั้น ถ้าชีวิตของคุณ ตกที่นั่งลำบากอย่างนี้ ก็เลือกเวลาให้พอดีๆเถิดครับ จะเป็นตอนเย็นก็ได้ ถ้าตอนเช้าไม่สะดวก ข้อสำคัญ คุณต้อง ออกกำลังกาย ให้สม่ำเสมอก็แล้วกัน

3. ขอแถมต่ออีกนิดว่า ทำไมจึงสนับสนุนให้ออกกำลังตอนเช้า ขอตอบเป็นข้อๆว่า

3.1 มันเป็นธรรมชาติดี หลักข้อแรกของชีวจิตมีอยู่ว่า “ต้องใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ” ชีวิตตามธรรมชาติ ของคน และสัตว์ เริ่มต้นตั้งแต่เช้ามืด

สมัยก่อนนี้เราไม่รู้จักคำว่า “ออกกำลังกาย” หรือ “พลศึกษา” เรารู้ว่าชีวิตต้องมีการทำงาน การทำงาน ก็เป็นไปตามธรรมชาติ ตื่นเช้าเราก็แบกจอบแบกเสียม ไปทำไร่ไถนา นั่นคือการไปทำงาน และ ขณะทำงาน ก็เท่ากับ เราต้องออกกำลังกาย พร้อมกันไปด้วย ทำงานก็คือ การออกกำลังกาย และ ออกกำลังกาย ก็คือการทำงาน

เดี๋ยวนี้ชีวิตของเราเปลี่ยนไป เราต้องจำเจอยู่ในออฟฟิศ หรือสำนักงานตลอดวัน ไม่มีเวลาจะออกแรง หรือออกกำลังกายกันเลย จึงกลายเป็นว่าต้องหาเวลาออกกำลังกายตามเวลา ที่สะดวกของตนเอง เราขอแนะนำว่า ควรออกกำลังกายตอนเช้า ถ้าเช้าไม่ได้ก็หาเวลาอื่นๆ ที่สะดวกก็แล้วกัน ข้อสำคัญ ขอให้ออกกำลังกายให้ได้ถึง “พีค” (PEAK) นั่นคือเหงื่อออกพลั่กๆ หัวใจเต้นแรง วัดชีพจรได้ถึง 100 หรือ 120 ครั้งต่อนาที

เมื่อได้ถึงพีคแล้ว ร่างกายของคุณจะหลั่งโกร้ธฮอร์โมน (GROWTH HORMONE) ออกมา นั่นคือ ฮอร์โมนในตัวคุณ เป็นยาวิเศษ ทำให้สดใส สดชื่น ดูเป็นหนุ่มเป็นสาวกว่าอายุจริงๆ สุขภาพของคุณ ก็ดีเลิศด้วย

3.2 ออกกำลังตอนเช้า ธรรมชาติทุกอย่างสดชื่นสวยงามและสะอาด ไม่มีมลพิษ ไม่มีฝุ่นละออง สมัยก่อนๆ เมื่อฝึกโยคะ หรือชีกง ไท้เก๊ก ครูบาอาจารย์เขาก็จะสอนกันตอนเช้า ไม่เคยได้ยินว่ามี ใครสอนให้เล่นโยคะ หรือรำมวยจีนตอนเย็นๆ ฉะนั้นถ้าออกกำลังกาย ถ้าเลือกได้ ก็ออกกำลัง ตอนเช้านั่นแหละ ดีที่สุด

ถ้าเผื่อออกกำลังกายตอนเช้ามีโทษจริง (ตามที่คนแปลบทความนี้ว่าไว้) ป่านนี้ คนออกกำลังกาย ทั่วโลก (ทั่วโลกจริงๆ ยืนยันได้) ซึ่งออกกำลังตอนเช้าทั้งนั้น ป่านนี้มิตายหมดแล้วหรือ.

* * * * * * * * * *

ไปเที่ยวออกกำลังกายตอนเช้า

ขอชักชวนเพื่อนๆ ชีวจิตและที่กำลังสนใจชีวจิตทั้งหลาย ไปเที่ยวกันดีไหมครับ เช้าวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายนนี้ เราจะไปเที่ยวกัน-ออกกำลังกายกัน-รำตะบองกัน ที่ บริเวณริมเขื่อน หน้าตลาด เทศบาล อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. เช้า เป็นต้นไป

ไปพบกับอาจารย์สาทิสด้วย จะมีการบรรยายและตอบถามปัญหาสุขภาพ และสังสรรค์สนทนา อย่างกันเอง หลังจากการออกกำลังกายแล้ว

ไม่ต้องเสียเงินครับ ใครที่ใจดีหน่อยก็ช่วยกันหิ้วข้าวหม้อ-แกงหม้อไปแบ่งกันกินนะครับ จะได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากมายเลย

รายละเอียดเพิ่มเติม โทร. คุณระพี 0-1856-5940 คุณธีระ 0-1889-1891.

ไทยรัฐ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๕

อย่านึกว่าเป็นเรื่องเล็กๆ กระดาษหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่มีไว้เช็ดก้น

ผมไปโคราชเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ไปถึงในเมืองเมื่อเกือบจะบ่าย หาร้านอาหารแบบไทยๆ ก็ไม่มีเวลาจะไปหา จึงนึกว่าเอาที่ง่ายๆ และสะดวก น่าจะเป็นที่ศูนย์การค้า

มีศูนย์การค้าใหญ่เยื้องๆ กับอนุสาวรีย์ ย่าโม อย่าให้ออกชื่อเลยครับว่าเป็นศูนย์ การค้าอะไร แต่ถ้ายืนหันหน้าเข้าย่าโม ศูนย์การค้านี้จะอยู่ตรงหัวมุมถนนทางขวามือ ข้างคูเมืองหัวมุมถนน นั่นแหละ

มีร้านอาหารสุกียากี้อยู่ชั้นล่างสุด แต่ก่อนจะเข้าร้านอาหารผมเดินขึ้นชั้นสองเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำก่อน เจอเรื่องช็อกครั้งแรกในห้องน้ำนั่นเอง

ในห้องส้วมทุกห้องเขาไม่ใช้กระดาษชำระ แต่ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมปึกใหญ่ เสียบไว้ช่องกระดาษชำระทุกห้อง

เข้าใจว่าคงไม่มีใครสะดุดใจเรื่องใช้ กระดาษหนังสือพิมพ์เป็นกระดาษชำระ เพราะในถังขยะก็มี กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ใช้เป็นกระดาษชำระแล้วอยู่เต็มถัง

ไม่มีใครคิดหรือสะดุดใจก็แล้วไปเถิดครับ ผมเองอยากจะฝากข้อคิดไว้ สองอย่าง อย่างหนึ่งก็เรื่อง ความสะอาดและความปลอดภัยจากการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์

สมัยเก่าๆ ขนาดปู่ย่าตายายของเรา ผมคิดว่าการชำระอุจจาระของเราค่อนข้างจะทุลักทุเล ของเก่าที่ คนรุ่นก่อนของเราใช้ก็คือใช้ไม้ สมัยเด็กๆ ผมจำได้ว่าเวลาชาวบ้านจะทำบุญ เขามักจะเหลาไม้ซี่เล็กๆ เป็นมัดๆ เอาไปถวายพระด้วย โดยเฉพาะพระวัดกรรมฐาน

แต่เท่าที่ทราบเมื่อเขาใช้ไม้กวาดอุจจาระออกไปแล้ว เขาก็จะตามด้วยการล้างน้ำ ห้องส้วมของ ชาวบ้าน มักจะมีตุ่มน้ำเล็กๆ และมีกระป๋องน้ำวางไว้ด้วย เมื่อใช้ไม้ชำระแล้วก็ล้าง ด้วยน้ำต่อ ก็คงจะพอใช้ได้ ส่วนเรื่องมือที่สกปรกจะล้างด้วยสบู่ต่อนั้น สมัยก่อนยังไม่เคยมี

ต่อมาที่บ้านผู้มีอันจะกินหน่อย ก็มักจะใช้กระดาษฟางตัดเป็นแผ่นเล็กๆ แล้วก็มักจะมีน้ำล้างก้น ตามมาด้วย และคงจะเรียนรู้เรื่องอนามัยกันมาบ้างแล้ว เพราะผมจำได้ รุ่นคุณพ่อคุณแม่ผม ท่านมีสบู่ไว้ล้าง มือหลังจากชำระล้างแล้ว

ครั้นเมื่อมาประมาณ 80 ปีมานี่เอง ก็ถึงสมัยของส้วมซึม ทั้งๆ ที่ความสะดวกและความสะอาด ปลอดภัย มีมากขึ้น แต่การใช้กระดาษฟางและน้ำล้างมือ ก็ยังไม่แพร่หลายกันมากเท่าไหร่ แต่กลับมีการใช้ กระดาษหนังสือ พิมพ์กันอย่างแพร่หลายขึ้นมาแทนที่

สมัยนั้นแหละครับ คนเป็นโรคเกี่ยวกับ ลำไส้ และระบบขับถ่ายมากมาย ยิ่งใช้ กระดาษหนังสือพิมพ์ มาก ความสกปรก ก็ยิ่งมาก ในห้องส้วมสมัยก่อนตาม ร้านอาหารเป็นต้น กระดาษหนังสือพิมพ์ ที่ใช้ชำระแล้ว จะโยนเกลื่อนเต็มห้องส้วม แมลง สาบตัวโตๆ ยั้วเยี้ย แถมยังมีหนูวิ่งพล่านอีกด้วย

เชื่อไหมเล่าครับ ส้วมสกปรก อาหารการกินก็สกปรกตามไปด้วย ผมจำได้ว่า ร้านอาหารอร่อยๆ แถวเยาวราช-ราชวงศ์นี่แหละ อย่างร้านโจ๊กหมู ไก่-กระเพาะ-เครื่องใน พ่อครัวนุ่งกางเกงในขาก๊วย ตัวเดียว เสื้อไม่ใส่ เหงื่อพลั่กๆเต็มตัว เวลาเข้าห้องน้ำจะปัสสาวะ หรืออุจจาระไม่เคยล้างมือ และก็มักจะเชี่ยว-ชาญเรื่องการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เป็นกระดาษชำระอย่างแน่นอน

โรคสมัยนั้นขึ้นชื่อลือชาคือ ริดสีดวงทวาร โรคลำไส้ และโรคกระเพาะ ผมเรียนรู้มาตั้งแต่สมัย รุ่นหนุ่มสาวแล้วว่า เรื่องของการกินและการขับถ่ายนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ถ่ายสกปรก กินก็ต้องสกปรกตามไปด้วย

เข้าใจว่ามีการรณรงค์ให้เลิกใช้หนังสือ พิมพ์ คุณประยูร จรรยาวงศ์ นักการ์ตูน และต้องถือว่าท่านเป็น ศิลปินเอก ซึ่งได้รับรางวัลแมกไซไซมาแล้ว สมัยท่านอยู่ “สยามรัฐ” ร่วมกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็เคยเขียนการ์ตูนบรรยายถึงอันตรายของการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ เป็นกระดาษชำระ เมื่อครั้งหลัง มาอยู่ “ไทยรัฐ” แล้ว ผมจำได้ว่าท่านก็เคยรณรงค์เรื่องให้เลิกใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ อีกเหมือนกัน

ตัวกระดาษหนังสือพิมพ์สมัยที่ยังเป็นกระดาษเฉยๆ ยังไม่ได้เอามาพิมพ์ก็ไม่เหมาะ กับการเอามา เป็นกระดาษ ชำระอยู่แล้ว กระดาษก่อนจะขาว เขาต้องฟอกด้วยกรดกำมะถัน เมื่อฟอกแล้ว เอามาทำ เป็นกระดาษพิมพ์ หมึกพิมพ์ดำและหมึกสีต่างๆ ที่เอามาพิมพ์ก็มีสารอันตราย หลายอย่าง ต่ออวัยวะบางๆ ของคน (อย่างเช่น ทวารหนัก) มีทั้งสารปรอท ไซยาไนด์ และสารหนู รวมอยู่ใน หมึกพิมพ์ เมื่อเอามาเช็ดก้น นอกจากกระดาษจะแข็ง ทำให้รูก้น เป็นแผลแล้ว สารอันตรายต่างๆ ก็ทำให้เป็นริดสีดวง และยังลามเข้าไป ถึงข้างในลำไส้ใหญ่ อย่างสะดวกสบาย ยิ่งขึ้นด้วย

นั่นเป็นแง่คิดข้อแรกจากอันตรายที่เกิดขึ้น แง่คิดข้อที่สองก็คือ ลูกค้าที่ไปใช้บริการของ ศูนย์การค้า แห่งนี้ คิดบ้างหรือเปล่าว่า พ่อค้าเจ้าของศูนย์การค้านั้น เขาดูถูกลูกค้าเหลือเกิน ว่าเราเป็นคนป่าคน ดอยมาจากไหนก็ไม่รู้ หน้าที่ของเขาจะต้องบริการลูกค้าและให้ความสะดวกแก่ ลูกค้านั้น เขาไม่สนใจ แต่เขาสนใจ อยู่แต่เพียงว่า จะฉวยโอกาสทำเงินทำกำไรใส่ตัวอย่างเดียว บริการเพียงไม่กี่บาท ที่จะต้องลงทุน ให้ลูกค้า อย่างกระดาษชำระ สักม้วนนั้น เขาให้ไม่ได้

แล้วก็สร้างมาตรฐานความโก้หรูให้กับตนเองนั้นเพื่ออะไร มีรีเซฟชั่นสวยๆ โก้ๆ พนักงาน แต่งเครื่องแบบ หรูโก้นั้น เพื่ออะไร ตลอดเวลาโฆษณา เรียกร้องให้ลูกค้าซื้อสินค้า เสียงลั่น ศูนย์การค้านั้น เป็นการหลอกลวงลูกค้า ให้เสียเงินเข้ากระเป๋า แต่อย่างเดียวหรือเปล่า
ขอแถม อีกนิดครับว่า ลูกค้ามีสิทธิที่จะทวงการรับใช้และบริการที่ดีที่ถูกต้องจากพ่อค้านะครับ ใช้คำขวัญใหม่ว่า “อย่าปล่อยให้พวกพ่อค้าฉวยโอกาสลอยนวล”

ถ้าไม่รู้ว่าจะไปร้องเรียนที่ไหน ก็ใช้มาตรการง่ายๆ พร้อมใจกันอย่าเข้าศูนย์ การค้าแห่งนี้ โดยเด็ดขาด เสียเลย ลองดูว่าผู้ถูกเอาเปรียบกับผู้เอาเปรียบ ใครจะชนะ.

ไทยรัฐ ๘ กันยายน ๒๕๔๕

มะเร็งกับการกินเนื้อสัตว์ (2) ผลงานของนายแพทย์ชาลส์ บี.ซิมโมน สถาบันมะเร็งแห่งชาติอเมริกา

กลุ่มนายแพทย์ชาลส์ บี. ซิมโมน ได้ ศึกษาทดลองเรื่องการกินเนื้อสัตว์กับหนูทดลอง และจากการสอบประวัติคนไข้ ไม่ต่ำกว่า 8,000 คน ในชั่วระยะเวลา 20 ปี ได้ผลเกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง พอสรุปได้ดังนี้

การกินอาหาร อาหารเป็นส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง สำหรับมะเร็งทั่วไปนั้น มะเร็งเนื่องมาจากอาหารเป็นผู้หญิงถึง 60% และเป็นผู้ชาย 40%

มะเร็งชนิดต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องอาหารโดยตรงคือ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้เล็ก มะเร็งปาก มะเร็งลำคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งตับ มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งไทรอยด์

ส่วนมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ต่อมลูกหมากและไต ก็มีสาเหตุมาจากอาหารเหมือนกัน แต่นายแพทย์ซิมโมนได้เน้นว่า เนื่องมาจากการบริโภคเนื้อสัตว์และไขมันสัตว์มากเกินไป

อันที่จริงยังมีปัจจัยเสริมซึ่งไม่ใช่ปัจจัยโดยตรง ซึ่งทำให้เกิดมะเร็งได้อีก เช่น การสูบบุหรี่ การที่ถูกต้องสัมผัสกับสารเคมี การอยู่ในสิ่งแวดล้อมเลวๆ การดื่มเหล้า การใช้ฮอร์โมน การถูกรังสี ความเครียด เป็นต้น ปัจจัยเสริมที่กล่าวถึงเหล่านี้ ไม่ใช่ปัจจัยโดยตรงที่ทำให้เกิดมะเร็ง แต่จะต้องผสมกับปัจจัยอื่นๆ หลายอย่าง จึงทำให้เกิดมะเร็งได้

ฉะนั้น ครั้งนี้จะไม่พูดถึงปัจจัยเสริม แต่จะพูดถึงปัจจัยโดยตรง ซึ่งนายแพทย์ ซิมโมนศึกษา มาโดยเฉพาะ คือเรื่องไขมันสัตว์ และเนื้อสัตว์

สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เนื้อสัตว์มีสารก่อมะเร็งปนอยู่ในตัวสัตว์อยู่มากนั้น เนื่องมาจากการ เลี้ยงสัตว์สมัยนี้ทำกันในรูปแบบของอุตสาหกรรม สัตว์ซึ่งอยู่รวมกันเป็นหมื่นๆ ตัวนั้น ต้องกินอาหาร ตามสูตรซึ่งมีสารเคมีปนอยู่ ต้องกินยาปฏิชีวนะ ต้องกินและฉีดฮอร์โมน ต้องกินสารเคมีหลายอย่าง ซึ่งทำให้เนื้อสัตว์มีสีน่ากิน

การเลี้ยงสัตว์และฆ่าสัตว์มาเป็นอาหารนั้น เป็นการถ่ายทอดสารก่อมะเร็งมาสู่มนุษย์ผู้ บริโภคโดยตรง

นอกจากนั้น การนำเนื้อสัตว์มาสู่ตลาดและมาถึงผู้บริโภคก็จะไม่ได้เนื้อสัตว์สดๆ บางแห่งเนื้อสัตว์ ถูกเก็บ หรือแช่แข็งในห้องเย็น และเนื้อสัตว์ส่วนมากจะผ่านกรรมวิธี ในการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้ ให้ได้นานวัน

กรรมวิธีในการถนอมอาหารก็จะมีการตากแห้ง การบรรจุกระป๋อง การบรรจุขวด วิธีถนอมอาหารเหล่านี้ ต้องใช้สารเคมีประเภทที่รักษาอาหารไม่ให้บูดเน่า (PRESER-VATIVE) อย่างเช่น เกลือ ดินประสิว น้ำส้ม น้ำตาล ยากันบูด และไนไตรท์ (NITRITES) เป็นต้น การใช้ สารเคมีเหล่านี้ในปริ-มาณพอสมควรก็พอจะรับได้สำหรับผู้บริโภค แต่ก็ไม่ควรจะให้บ่อยและมากเกิน ปริมาณสมควร

ขออนุญาตนอกเรื่องสักนิดว่า การใช้ยาเคมีบางอย่าง ซึ่งนอกกฎเกณฑ์ โดยสิ้นเชิง อย่างเช่น ใช้ฟอร์มาลิน หรือฟอร์มาลดีไฮด์ (ยาดองศพ) ในอาหารเพื่อไม่ให้บูดเน่า เป็นการกระทำที่ เลวทรามอย่างยิ่ง เป็นการฆ่าผู้บริโภคแบบตายผ่อนส่งได้อย่างแน่นอน

กรรมวิธีอีกอย่างหนึ่งในการปรุงแต่งรสและภาพของอาหารให้ผิดไปจากความจริงก็คือ กรรมวิธีแบบ ADDITIVE คือการใส่สีสันและปรุงรสเปรี้ยวหวานมันเค็มเผ็ด ให้ดุเดือดและสีสันน่าดูผิดไปจาก ความจริง นี่ก็เป็นส่วนสร้างสารก่อมะเร็งได้อีกเหมือนกัน

ขอย้อนกลับมาถึง เรื่องเนื้อสัตว์ และไขมันสัตว์ อีกครั้งหนึ่ง นายแพทย์ซิมโมนชี้ให้เห็นว่า เนื้อสัตว์ที่ จะ ต้องเก็บไว้นานนั้น จะต้องใส่โซเดียม ไนไตรท์ ซึ่งทำให้เนื้อสัตว์อยู่คงทนและมีสีสวยงาม ไนไตรท์ ซึ่งอยู่ในเนื้อสัตว์ เช่น เบคอน หรือไส้กรอกชนิดต่างๆ นี้ ถ้ายังไม่ได้ไปปรุงเป็น อาหาร ก็ยังไม่มีพิษสง อะไรนัก แต่ถ้าถูกความร้อนเมื่อไหร่ จะเกิดปฏิกิริยา ทางเคมี เกิดเป็นสารก่อมะเร็งทันที

นายแพทย์ซิมโมน ได้ยกตัวอย่าง อาหารเช้าจานโปรดของ ชาวอเมริกันคือ หมูเบคอน และไข่ดาว ขนมปังขาว เบคอนนั้น เมื่อเอาไปทอด จะเกิดสารใหม่อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า ไนโตรซามีน (NITROSAMINE) ซึ่งก็คือสารก่อมะเร็ง

เมื่อเนื้อสัตว์ที่ถูกปิ้งหรือทอด จะทำให้ไนไตรท์ ในเนื้อสัตว์แห้งและเข้มข้น พอเข้าลำคอผ่าน กระเพาะ ไปถึงลำไส้เล็ก ก็จะได้รับน้ำย่อยจากถุงน้ำดีและน้ำย่อยจากตับอ่อน จะกลายเป็น สารไนโตรซามีน และจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ไปสะสมอยู่ในตัวเรา เมื่อสะสมมากๆ เข้า ก็เป็นสารก่อมะเร็ง ที่ทำให้เซลล์ดี กลายเป็นเซลล์เนื้อร้าย หรือมะเร็งได้

นายแพทย์ซิมโมนได้ทดลองให้ไนไตรท์ ในหนูทดลอง ปรากฏว่า กว่า 80% เป็นมะเร็งลำไส้ การทดลองในครั้งแรกๆ ยังไม่มีการยอมรับกันว่า เมื่อไนไตรท์ทำให้หนูเป็นมะเร็ง ได้ก็ยังพิสูจน์ ไม่ได้แน่นอนว่า จะทำให้คนเป็นมะเร็ง เหมือนอย่างหนู

แต่จากการศึกษาประวัติคนไข้ และการเก็บสถิติเปรียบเทียบกับคนไข้อื่นๆ ที่ไม่ได้บริโภคไขมันสัตว์ และเนื้อสัตว์ นายแพทย์ซิมโมน และกลุ่มแพทย์ในสถาบันมะเร็ง มีความเห็นว่า การบริโภคไขมัน และเนื้อสัตว์มาก และเป็นเวลานานนั้น มีส่วนทำให้เกิดมะเร็ง ในช่องท้องได้แน่นอน

ในเมืองไทยเรา ศาสตราจารย์นายแพทย์ ม.ร.ว.ธันยโสภาค เกษมสันต์ นายแพทย์ใหญ่ ท่านหนึ่งก็ได้กล่าวรับรองเรื่องการบริโภคเนื้อสัตว์ มากจนเกินไปว่าเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิด มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. ธันยโสภาค เป็นเพื่อนร่วมงานในแผนกการแพทย์ ผสมผสานของ โรงพยาบาล บางปะกอกร่วมกับผม ท่านได้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และได้ค้นคว้า เรื่องโรคมะเร็ง และ วิธีรักษา มะเร็ง ซึ่งแตกต่างไปจากวิธีรักษาในปัจจุบัน และได้ยอมรับว่า การบริโภคที่ผิดๆ โดยเฉพาะ การบริโภคสเต็ก หรือเนื้อสัตว์ล้วนๆ นั้นเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ท่านป่วย เป็นมะเร็ง (โปรดหาอ่าน หนังสือของท่าน “เมื่อหมอเป็นมะเร็ง” เล่ม 1-2)

สำหรับนายแพทย์ซิมโมนนั้น นอกจากจะได้ศึกษาถึงการบริโภคเนื้อสัตว์แล้ว ยังได้ศึกษา ต่อไปอีกว่า การบริโภค อาหารอื่นๆ นั้น ยังมีอาหารอะไรอีกบ้างที่ทำให้เกิดมะเร็ง

นายแพทย์ซิมโมนได้พบว่า บริโภคเนื้อสัตว์ ประเภทปิ้ง ย่าง ร่วมกับการดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ ทำให้เกิด เป็นมะเร็งได้ มากกว่าปกติ

โดยเฉพาะเรื่องไวน์นั้น ปกติการหมักไวน์ จะต้องมีระยะเวลาการหมักเหล้าเป็นเวลา นับเป็นปีๆ แล้วแต่ คุณภาพของไวน์ แต่ก็ยังมีพวกพ่อค้าหัวใส คิดค้นยาเคมีที่จะเร่ง ให้เหล้าไวน์ กลายเป็นไวน์ ที่ดื่มได้ ในเวลาอันรวดเร็ว แทนที่จะต้องรอเป็นปีๆ สารเคมีตัวนี้ คือ DIETHYLPYROCARBONATE : ซึ่งเมื่อใส่ ในเหล้าไวน์ จะสามารถทำให้เหล้าดิบๆ กลายเป็นไวน์ได้ ภายในชั่วเวลาเพียง 2 เดือน แทนที่จะเป็นปีๆ ดังแต่ก่อน และเคมีตัวนี้ ใส่ไปในเหล้าดิบ เพียงนิดเดียว ขนาด 0.1 ส่วน ต่อพันล้านส่วน ก็สามารถจะสร้าง สารก่อมะเร็ง ซึ่งเรียกว่า “ยูรีแทน” ได้

เพราะฉะนั้น หากจะชอบกินเนื้อสัตว์ ปิ้ง ย่าง ซึ่งมีไนโตรซามีนผสมกับไวน์ถูกๆ ซึ่งมี “ยูรีแทน” ก็ลองคิดดูว่า มะเร็งในช่องท้อง จะสุขสันต์หรรษาสักเพียงไหน หากได้มีโอกาส เข้าไปผสมพันธุ์กัน ในช่องท้อง ของเราเอง

ที่อุตส่าห์ไปขุดคุ้ยเรื่อง “เนื้อสัตว์” และเหล้า มาเล่าสู่กันฟังคราวนี้ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ด้วยความรัก และหวังดีจริงๆ ว่า ขณะนี้เรากำลังเห่อฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารจานด่วน “เนื้อ นม ไข่” กันอย่างเหลือเกิน ทั้งลูกเล็กเด็กแดง จนถึงผู้ใหญ่ ก็ฟาสต์ฟู้ดและเนื้อนมไข่กันเป็นแถว คุณๆ ผู้ใหญ่ยังแถมเห่อ เรื่องไวน์กัน เป็นของโก้ ตามกันไปด้วย ระวังเรื่อง เนื้อ นม ไข่ และเหล้าไวน์ ซึ่งมียูรี แทนกันหน่อย ดีไหมครับ.

* * * * * * * * *

ข่าวคอร์สสุขภาพ ชมรมชีวจิต

“เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นสักนิด น่าอภิรมย์สักหน่อย” กับคอร์สสุขภาพการดำเนินชีวิต แนวทางชีวจิต จัดโดยชมรมชีวจิต

ติวเข้มกับอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง วันที่ 19-23 ตุลาคม 2545 ที่โรงแรมโรสกาเด้น เอไพรม์ รีสอร์ท (สวนสามพราน)

รายละเอียดติดต่อ ชมรมชีวจิต โทร. 0-2570-8220 หรือ คุณสิริแก้ว โทร. 0-1625-7875 คุณกุสุมาลย์ โทร. 0-1439-4110.

ไทยรัฐ ๑ กันยายน ๒๕๔๕

มะเร็งกับการกินเนื้อสัตว์

อาทิตย์นี้ขอเสนอข้อคิดและผลของการค้นคว้าของ นายแพทย์คนหนึ่งเกี่ยวกับ เรื่องของอาหารและมะเร็ง

นายแพทย์ชาลส์ บี ซิมโมน เป็นแพทย์ซึ่งรักษาคนไข้มะเร็งโดยตรง คือ เป็นแพทย์ด้าน เคมีบำบัด (CHEMOTHERAPY) ด้านการฉายแสง (RADIATION) และในด้านภูมิชีวิต (CLINICAL IMMUNOLOGY)

เขารักษาคนไข้มะเร็งด้วยวิธีการแพทย์ สมัยใหม่ คือผ่าตัด-เคมีบำบัดและรังสีบำบัด มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี และได้พบว่า การรักษาแนวนั้น ได้ผลแต่เพียง เป็นการชะลอชีวิต คนป่วยเท่านั้น ไม่สามารถ จะรักษามะเร็ง ได้โดยเด็ดขาด

จากการเป็นแพทย์ประจำสถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกา (NCI) นายแพทย์ซิมโมน ได้ย้ายมาเป็น ศาสตราจารย์ สอนและค้นคว้า เรื่องมะเร็ง ที่มหาวิทยาลัยโทมัส เจฟเฟอร์สัน ที่ฟิลาเดลเฟีย ตั้งแต่ปี 1989 และแทบจะกล่าวได้ว่า เขาได้ทิ้งความเชี่ยวชาญ ด้านเป็นแพทย์เคมีบำบัด และรังสีบำบัด ซึ่งได้ทำงาน มาแล้วเกือบ 20 ปีโดยสิ้นเชิง เขาได้หันมาค้นคว้า และรักษามะเร็ง ด้วยวิธีผสมผสาน และได้ หันมาเน้น ค้นคว้าในด้าน อาหารกับมะเร็ง และนับตั้งแต่ปี 1989 มาจนถึงบัดนี้ เป็นเวลากว่า 13 ปีแล้ว เขาได้กลายเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษามะเร็ง ด้วยวิธีผสมผสาน และที่เชี่ยวชาญ เป็นพิเศษ คือ ได้ค้นคว้า แบบเรื่องสารก่อมะเร็ง จากการกินอาหารผิดๆ เป็นส่วนใหญ่

งานชิ้นสำคัญที่สุดของนายแพทย์ ซิมโมน ก็คือ ได้รับเชิญ เป็นแพทย์ประจำตัว ของ อดีตประธานาธิบดีอเมริกา คือ โรแนลด์ เรแกน มาแล้ว ในการรักษามะเร็งลำไส้ของ อดีตประธานาธิบดีผู้นี้

จุดที่น่าสนใจอย่างที่สุด ของนายแพทย์ผู้นี้ก็คือ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ การรักษามะเร็ง ด้วยเคมีบำบัด และ รังสีบำบัดมาก่อน แต่บัดนี้เขาได้เปลี่ยนชีวิต และอาชีพความชำนาญ ของเขาอย่างสิ้นเชิง เขากลายเป็น แพทย์เชี่ยวชาญ เรื่องอาหารกับมะเร็ง และขณะนี้ ได้ตั้งศูนย์รักษา และ ป้องกันมะเร็ง ของตนเอง ขึ้นสำเร็จแล้วที่ฟิลาเดลเฟีย เป็นผู้หนึ่ง ซึ่งนำเอาการแพทย์ แบบผสมผสาน ซึ่งแต่ก่อน แพทย์หลายคน เห็นว่า เป็นเรื่องเหลวไหล ให้ขึ้นมาโดดเด่น คู่กับการแพทย์สมัยใหม่ สำเร็จ อย่างงดงาม

งานชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นงานที่ได้รับการรับรองมากในวงการแพทย์ คือการค้นคว้าเรื่อง การบริโภคเนื้อสัตว์ ตามแบบวิธี ของชาวอเมริกัน กับโรคมะเร็ง ซึ่งนายแพทย์ ซิมโมนได้พิสูจน์ ให้เห็นว่า เกี่ยวข้องกัน อย่างแน่ชัด

นายแพทย์ซิมโมนได้ค้นคว้าเรื่องการบริโภคเนื้อสัตว์ และเกิดเป็นมะเร็ง จากคนไข้กว่า 800 คน และได้ชี้ให้เห็นว่า การบริโภคเนื้อสัตว์ แบบคนอเมริกัน มีส่วนเกี่ยวข้อง กับมะเร็งลำไส้ กระเพาะ ตับ ตับอ่อน ต่อมลูกหมาก รังไข่ และมดลูก และยังมี มะเร็งชนิดอื่นๆอีก ซึ่งนายแพทย์ซิมโมน มีความเห็นว่า อาจจะเกี่ยวข้อง กับการบริโภคเนื้อสัตว์ แบบคนอเมริกัน เช่น ปอด เต้านม เลือด และ ต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

ต้องขออธิบายสักนิดหนึ่งครับว่า กินเนื้อสัตว์แบบอเมริกันนั้นเป็นอย่างไร เป็นเวลานาน มาหลาย สิบปีแล้ว เริ่มตั้งแต่ หลังสงครามโลก ครั้งที่สอง เป็นต้นมา ที่ความนิยม การบริโภคเนื้อสัตว์ ของชาวอเมริกัน เพิ่มขึ้น สูงสุดในโลก

ชาวอเมริกันเริ่ม นิยมบริโภค เนื้อสัตว์แบบปิ้ง-ย่าง เช่น การกินสเต็กชิ้นโตๆ และในภายหลัง จากสเต็ก หรือ เนื้อวัวปิ้ง-ย่าง ก็ได้กลายมาเป็น อาหารฟาสต์ฟู้ด หรือจานด่วน ซึ่งกลายมาเป็น อาหาร ยอดนิยม ของ คนไทยด้วยขณะนี้

ตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคม เป็นระยะเวลา ที่เริ่มฤดูร้อน ในอเมริกา และเป็นฤดู ซึ่งชาวอเมริกัน ลาพักร้อน ประจำปี และท่องเที่ยวกัน ทั่วประเทศ มากที่สุด

ตามบ้านพักในวันหยุด ของชาวอเมริกัน ขณะนี้จะเห็นแทบทุกครอบครัว ตั้งเตาปิ้ง บาร์บีคิว กันทั่ว ทุกบ้านเรือน เขาจะมีปาร์ตี้บาร์บีคิว กันเป็นประจำ ตลอดฤดูร้อน

วิธีทำบาร์บีคิวก็คือ จะนำเนื้อวัวชิ้นโตๆ ซึ่งหมักไว้ข้ามคืนมาปิ้งเตาถ่านร่วมกับ เนื้อวัวบด ไส้กรอก และ หมูเค็ม ชนิดต่างๆและที่คู่กับการปิ้ง บาร์บีคิว เนื้อสัตว์ ซึ่งจะขาดไม่ได้ก็คือ เขาจะปิ้งมันฝรั่ง เป็นหัวๆ เพื่อกินกับ สเต็กบาร์บีคิว นั้นด้วย

ตกลงอาหารหลักสำหรับหน้าร้อนของชาว อเมริกันก็คือ สเต็กกับมันฝรั่งย่าง และก็ที่ค่อนข้าง จะแน่นอน ก็คงเป็นเหล้า และเบียร์ สำหรับผู้ชาย และน้ำอัดลม ชนิดต่างๆ สำหรับผู้หญิง และเด็กๆ

แต่ก็ไม่แน่อีกนั่นแหละ ผู้หญิงอเมริกันเดี๋ยวนี้ชอบกินเหล้าและเบียร์ชนแก้วกัน อย่างเมามัน ร่วมกับผู้ชาย มากเหมือนกัน นายแพทย์ซิมโมนได้ชี้ให้เห็นว่า เนื้อสัตว์ต่างๆ เมื่อเอามาปิ้ง หรือย่าง ก็จะเกิด สารชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ไนโตร-ซามีน (NITROSA-MINE) และไนโตรซามีนนี้ เป็นสาร ก่อมะเร็ง หรือที่เรียกกัน ภาษาแพทย์ว่า CARCINOGENS

กินเนื้อสัตว์โดยเฉพาะพวกเนื้อวัวและอาหารฟาสต์ฟู้ด มากเกินไปจะเกิดสาร ไนโตรซามีน สะสมในร่างกาย และทำให้เป็นมะเร็งได้ นี่คือพูดกัน แบบภาษาชาวบ้าน

อีกนิดเถอะครับ ขอพูดแบบวิชาการอีกหน่อย ไนโตรซามีน เกิดจากไนไตรท์ (NITRITES)

ไนไตรท์ นี่คือสารกลุ่มเกลือ ซึ่งเขาต้องใส่แช่ในเนื้อสัตว์ เพื่อที่จะรักษาเนื้อในคงทน ไม่บูดเน่า ยิ่งเป็น เนื้อบด อย่างเช่น ไส้กรอกแล้ว ต้องใส่โซเดียมไนไตรท์ อย่างขาดไม่ได้ เพื่อป้องกัน เนื้อสัตว์เป็นพิษ และ ก็เชื่อกันว่า จะทำให้เนื้อ มีรสดีขึ้นด้วย

เมื่อสารไนไตรท์ตกถึงท้องเรา ก็จะกลายเป็นไนโตรซามีน และเมื่อไนโตรซามีน สะสมอยู่ในร่างกาย มากขึ้น ผสมกับการที่ปล่อยปละ ละเลย ไม่ดูแลตัวเองให้ดีๆ สุขภาพไม่แข็งแรง ทางออก ที่ค่อนข้างแน่นอน สำหรับ คนเหล่านี้ก็คือ มะเร็งในช่องท้อง เริ่มขึ้นได้เลย

ตามสถิติซึ่งนายแพทย์ซิมโมนและคณะแพทย์ผู้ช่วยได้ศึกษามา มีตัวเลขน่าสนใจมาก ซึ่งตัวเลข ชี้ให้เห็นชัดแน่นอนว่า กินเนื้อสัตว์ อย่างไม่บันยะบันยัง เป็นเหตุให้เกิดมะเร็ง

เรื่องตัวเลขและเหตุผลที่แน่นอนจากนายแพทย์ซิมโมน ขออนุญาตเล่าอาทิตย์หน้า อาทิตย์นี้ ขอสรุปสั้นๆ แบบชาวบ้าน ตรงนี้ก่อนว่า ที่มะเร็งในช่องท้อง ของคนไทย เป็นกันมากขึ้นนั้น อาจจะเกี่ยวข้อง กับเรื่องของ การกินผิดๆ เพราะเราไปเห่อ เรื่องอาหารขยะ หรือ อาหาร จานด่วนกัน อย่างมากมาย จึงเป็นมะเร็ง กันมากมาย แม้แต่กระทั่งเด็ก อายุยังน้อยอยู่ ไม่น่าจะเป็นมะเร็ง แต่ก็เป็น กันไปแล้ว.

* * * * * * * * *

ข่าวคอร์สสุขภาพ ชมรมชีวจิต

“เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นสักนิด น่าอภิรมย์ สักหน่อย” กับคอร์สสุขภาพการดำเนินชีวิตแนวทางชีวจิต จัดโดยชมรมชีวจิต ติวเข้มกับอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง วันที่ 19-23 ตุลาคม 2545 ที่โรงแรม โรสกาเด้นเอไพรม์ รีสอร์ท (สวนสามพราน)

รายละเอียดติดต่อ ชมรมชีวจิต โทร. 0-2570-8220 หรือคุณสิริแก้ว โทร. 0-1625-7875 คุณกุสุมาลย์ โทร. 0-1439-4110.

ไทยรัฐ ๒๕ ส.ค. ๔๕ ชีวจิต

หนุ่มตื่นเช้า-นอนดึก-กินไม่เป็นเวลา ทำอย่างไรดี? (2)

ขออนุญาตคุยกับคุณศาสตรินต่อจากฉบับที่แล้ว ผมกำลังนึกว่าเรื่องของ คุณศาสตริน น่าจะเป็น เรื่องที่น่าสนใจ ของกลุ่มคนหนุ่มคนสาวของเรา และคุณศาสตริน จะเป็น ตัวอย่างของ คนหนุ่ม ซึ่งเอาจริงเอาจัง ต่อชีวิตและ ต่อการทำงานเป็นอย่างยิ่ง เป็นตัวอย่าง ซึ่งหาไม่ได้ง่ายนัก ของคนหนุ่มสาวสมัยนี้

ในฉบับที่แล้ว คุณศาสตรินพูดถึงชีวิตคนทำงานหนักของคุณศาสตรินว่า 1. ตื่นเช้า 2. นอนดึก 3. กินอาหาร ไม่เป็นเวลา 4. ขาดการออกกำลังกาย

ได้อธิบายไปอาทิตย์ที่แล้วถึงชีวิตประจำวัน แบบชีวจิตว่า ต้องให้ครบถ้วน-ถูกต้อง- และมีความพอดีกัน คือ เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องทำงาน พักผ่อน และออกกำลังกาย

ห้าอย่างนี้ในชีวิตประจำวัน ควรจะทำให้ ครบ และทำให้พอดีด้วย

เรื่องทำให้ครบนั้นอธิบายแล้ว แต่ทำให้พอดีด้วย อาจจะเป็นเรื่องยาก บางคนกินมาก และกินผิด บางคน นอนน้อยเกินไป และขาดการออกกำลังกาย อย่างกรณี ของคุณศาสตริน เป็นต้น

ฉะนั้น ครั้งนี้จะตอบปัญหาของคุณศาสตริน โดยตรงก่อน

เรื่องตื่นเช้า-นอนดึก คงจะเป็นปัญหาเรื่องนอนไม่พอ เรื่องการนอนนี้ เราสั่งสอนกันมานาน แล้วว่า อย่างน้อย ต้องนอนให้ได้ วันละ 8 ชั่วโมง

แต่ปัญหาเรื่องการนอนที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นก็คือ วิธีนอน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรานอน วันละกี่ชั่วโมง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คุณนอนหลับสนิท หรือเปล่า

หลักของพวกเราชาวชีวจิตอยู่ที่ว่า เราต้องนอนหลับสนิทและหลับลึก หลับสนิท และหลับลึกคือ หัวใจของการนอน ถ้าคุณทำได้ นอนเพียง 5 ชั่วโมง หรือ 6 ชั่วโมง ก็พอเพียงแล้ว หรือยิ่งมีเวลานอนถึง 7-8 ชั่วโมง ก็ยิ่งดีใหญ่ หลับสนิทและหลับลึก และได้นอนถึง 8 ชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้นมา จะแข็งแรง และสดชื่น เหมือนเกิดใหม่เลยทีเดียว

แต่เชื่อไหมเล่าครับ ในกลุ่มชาว “ชีวจิต” ซึ่งเราฝึกกันมาเป็นร้อยๆกลุ่มนั้น เมื่อฝึกให้หลับสนิท และ หลับลึกได้แล้ว ถึงเวลาตื่น อยากจะนอนต่ออีกสักหนึ่ง หรือสองชั่วโมง จะนอนต่อไม่ได้

ทำไมหรือ? นั่นก็เพราะเรานอนเต็มอิ่มแล้ว พอเราลืมตาตื่นขึ้นมา เราก็ตาสว่าง ร่างกายก็ฟิต รู้สึก กระปรี้กระเปร่า ลืมตาแล้วอยากลุกออกมาทำงาน หรือเคลื่อนไหว นอนอยู่เฉยๆต่อไปไม่ได้

ทั้งนี้ เพราะก่อนจะนอน เราฝึกวิธี RELAXA-TION หรือวิธีทำให้ร่างกาย ผ่อนคลาย หลังจากนั้น เราก็ฝึกวิธี ทำสมาธิ เราสามารถจะควบคุมร่างกาย และจิตใจให้สงบ และผ่อนคลาย สบายกายได้ จึงเหมือนกับว่า เราสั่งร่างกายให้หย่อนคลาย และสั่งให้หลับเมื่อไหร่ ตื่นเมื่อไหร่ก็ได้

สมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนศึกษาเรื่อง EXPERIMENTAL PSYCHOLOGY เรามีการ ทดลอง กับผู้เข้าโปรแกรม การรักษาหลายคน มีการถ่ายภาพยนตร์ ของแต่ละคน เก็บไว้ (50 กว่าปีมาแล้ว สมัยโน้น ยังไม่มีเครื่องถ่าย VDO)

ปรากฏว่าแต่ละคนที่บอกได้ว่าเขาต้องนอน 8 ชั่วโมงก็มี 10 ชั่วโมงก็มีนั้น แท้ที่จริง เขานอน ไม่หลับสนิทเลย ภาพที่เราถ่ายไว้ ปรากฏว่า บางคนนอนพลิกซ้าย พลิกขวา อยู่ตลอดคืน คืนละ กว่า 30 ครั้งก็มี

บางคนที่น้ำหนักมาก (อ้วน) การหายใจของเขาจะติดขัดอยู่ตลอดเวลา หายใจครืดคราด ในท้อง จะมีแก๊ส หรือลมมาก

นั่นเป็นเพราะเรื่องอาหาร และวิธีกินอาหารที่ผิดๆของเขามีส่วนอยู่ มาก ท่านเหล่านี้ จะยิ่งนอน ไม่หลับสนิท ยิ่งขึ้น นอนถึง 10 ชั่วโมง ก็ปรากฏยังมีอาการเพลีย และง่วงเหงา หาวนอนติดอยู่ มากเหลือเกิน

กลุ่มหลังที่กล่าวถึงนี้ จะเห็นได้ว่าปัจจัยหรือองค์ประกอบเกี่ยวกับการกินนั้น มีอิทธิพล ต่อการนอนอยู่มาก

การนอนที่ผิดปกติ นอนกระสับกระส่าย หายใจครืดคราด หรือหายใจไม่สะดวกนั้น เกี่ยวกับเรื่อง ของอาหาร และวิธีกินแทบทั้งสิ้น

การกินจึงเป็นพื้นฐาน เกี่ยวข้องกับการนอน และระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบหายใจ ระบบประสาท ระบบเลือด (คนเป็นเบาหวาน หรือความโน้มเอียง ออกไปทางเบาหวาน น้ำตาล ในเลือดจะสูง เวลานอนจะกระสับกระส่ายมาก นอนไม่หลับสนิท ตื่นขึ้นจึงไม่มีแรง)

โดยเหตุนี้ คุณนอนเป็นอย่างไร นอนดีหรือไม่ดี ต้องดูที่อาหารการกิน ของคุณด้วย

ทีนี้มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย ตามที่คุณศาสตรินถามมา ตอบสั้นๆ ไว้ก่อนว่า จะขาดเรื่อง การออกกำลังกาย ไม่ได้เป็นอันขาด

ถ้าคุณกินถูกต้องแล้ว นอนถูกต้องแล้วมาผสมกับการออกกำลังกายที่พอเหมาะพอดี กับสภาพ ร่างกาย ของคุณด้วยแล้ว คุณศาสตรินเอ๋ย ทั้งกายและใจของคุณ ก็จะสดชื่นแจ่มใส แจ๋วแหวว เหมือนกับ-เหมือนกับอะไรดีหนอ ก็คงเหมือนกับรถเก่าที่วิ่งไม่ค่อยจะไหว แต่เราเอาเข้าอู่ ยกเครื่อง ยกเคราใหม่ และจากฝีมือช่างเก่งๆ ดีๆ เสียด้วย รถของคุณก็จะวิ่งแจ๋ว รถใหม่ สู้ไม่ได้ ทีเดียวเจียวแหละ

ทีนี้ออกกำลังกายนี่จะออกอย่างไรเล่าครับ ตอบง่ายๆอีกนั่นแหละว่า 1. ต้องออกกำลัง ให้พอเหมาะพอดี กับสภาพร่างกาย และเวลาของคุณ 2. คุณจะออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา อย่างไหนก็ได้ ที่คุณชอบและคุณเอนจอย และเมื่อออกกำลังกายแล้วต้องให้ถึง PEAK เพื่อให้ GROWTH HORMONE : ซึ่งเป็นยาวิเศษในตัวคุณหลั่งออกมาด้วย 3. ถ้าไม่รู้ว่า จะออกกำลังกาย วิธีไหน ก็ลอง ใช้ท่ารำตะบอง และกดจุด ชุดชีวจิตนั่นแหละ ดีที่สุด เพราะไม่ต้องเสียสตางค์ และ สะดวก จะพกติดตัวไปที่ไหน ก็ง่าย รำเมื่อไหร่ตามสะดวก และตามโอกาส ได้ตลอดเวลา

ตกลงคำตอบที่คุณศาสตรินถามมาก็ตอบให้ อย่างชัดเจนแล้วนะครับ คำถามข้อที่หนึ่ง และสองคือ ตื่นเช้า และนอนดึกนั้น คือปัญหาเรื่องการนอน ได้อธิบายโดยละเอียดแล้วฉบับนี้ ปัญหาที่สาม เรื่องกินไม่เป็นเวลานั้น ก็คือ ปัญหาเรื่องการกินโดยเฉพาะ ซึ่งยังไม่สามารถ อธิบายโดยละเอียดได้ เพราะเป็นเรื่องยาว หน้ากระดาษมีไม่พอ แต่อย่างน้อย ก็ได้เน้นให้เห็นแล้ว ในฉบับที่แล้วว่า 1. ต้องกินอาหาร ให้ถูกสูตรชีวจิต และกินอาหาร ให้ได้ส่วน (คาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง 50% ผัก 25% โปรตีนจากพืช 15% + กับปลาอาทิตย์ละ 1+2 ครั้ง และ เบ็ดเตล็ด 10%)

ส่วนเรื่องออกกำลังกายนั้น ได้ตอบไว้ แล้วในฉบับนี้ ซึ่งก็คงจะครบคำถาม 4 ข้อที่ถามมา

อย่างไรก็ตาม คุณศาสตรินอาจจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วย เพราะการปฏิบัติตัว ซึ่งค่อนข้าง จะบกพร่อง 4 ประการที่ถามมานั้น ถ้าปฏิบัติบกพร่องมานาน ก็คงจะมีปัญหา เรื่องสุขภาพอื่นๆ เกิดขึ้นด้วย เช่น อาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ความจำเสื่อม ปวดตามเนื้อตามตัวเหล่านี้เป็นต้น เรื่องเหล่านี้ เราไว้คุยกันต่อก็แล้วกัน แต่คุณศาสตริน คงจะต้องติดต่อถามมา ให้ละเอียดว่า อาการอื่นๆ มีอะไรบ้าง จึงจะตอบให้หายข้องใจได้

อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำว่า เรื่องที่ถามมานั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ และชีวิต ขอให้หาทาง และหาเวลาแก้ไข ให้ได้เสียแต่เดี๋ยวนี้

อย่าประมาทเป็นอันขาด อย่าคิดว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย ยังเดินได้ กินได้ ทำงานได้อยู่ จะไปร้อนใจทำไม

ขอให้นึกไว้ เดี๋ยวนี้ที่ยังทำอะไรได้อยู่นั้น เพราะยังมีทุนเก่าอยู่ อายุยังน้อย ร่างกาย ยังทนไหว ก็เลยทำไปเรื่อยๆ

แล้วอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้าเล่า แน่ใจหรือเปล่าว่า ร่างกายจะทนได้ และทุนเก่านั้น ก็จะไม่มีวัน หมดไป

ท่านที่จดหมายจะมาคุยด้วย กรุณาส่งถึงผมโดยตรงที่ 36/31 หมู่ 13 ซอยยนต์ย้อย โชคชัย 4 ลาดพร้าว กทม. 10230 โทรศัพท์ 0-2570-8220 หรือ FAX ไปที่ 0-2570-8273.

ไทยรัฐ ๑๘ ส.ค. ๔๕

หนุ่มสาวตื่นเช้า-นอนดึก- กินไม่เป็นเวลา ขาดการออกกำลังกายจะทำอย่างไรดี?

สัปดาห์นี้ขออนุญาตตอบจดหมายสั้นๆ ของ คุณศาสตริน ก่อนดังต่อไปนี้

“กระผมได้ติดตามผลงานของอาจารย์มาเป็นเวลานานในคอลัมน์ “ชีวจิต” ทำให้มีความรู้ ในเรื่องของ โภชนาการและการดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี

สิ่งที่ผมใคร่ขอความกรุณาอาจารย์ ให้ช่วยแนะนำวิธีการดำเนินชีวิต ในปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วย ความเร่งรีบ กิจกรรมในแต่ละวันของคนวัยทำงานนั้น คือ 1. ตื่นเช้า 2. นอนดึก 3. กินอาหาร ไม่เป็นเวลา 4. ขาดการออกกำลังกาย

ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ทำให้การดำเนิน ชีวิตประจำวันของคนทำงาน เปลี่ยนแปลงไปมาก ตามเหตุผล ที่ผมได้เรียนข้างต้นแล้ว ขอความกรุณาท่านช่วยลงในคอลัมน์ของท่านให้แนะนำ วิธีการ แก้ไขปัญหา หรือชี้แนะแนวทางด้วยเถิด

ผมมั่นใจว่ายังมีคนที่อยู่ในวัยทำงานอีกมากมีกิจวัตรเช่นผม ขอความกรุณาท่าน ช่วยตอบ คำถามผม ผ่านคอลัมน์ “ชีวจิต” ในหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง

คุณศาสตรินครับ

ผมชอบใจจดหมายคุณศาสตรินตรงที่ว่า “มั่นใจว่ายังมีคนที่อยู่ในวัยทำงานอีกมาก มีกิจวัตร เช่นผม”

ผมเชื่อว่าคุณศาสตรินเป็นคนหนุ่มที่ค่อนข้างจะซีเรียสกับชีวิตการทำงาน และ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนหนุ่ม ทันสมัย ที่คิดถึงเรื่องสุขภาพ ของตัวเองพร้อมกันไปด้วย เชื่อไหมเล่าครับ คุณศาสตริน เป็นหนุ่มคนแรก ที่จดหมายมาถามผม เรื่องชีวิตของคน ทำงานแบบนี้ ส่วนมาก จดหมายที่ถามมา จะเป็นจดหมาย เกี่ยวกับเรื่องการเจ็บป่วย แทบทั้งสิ้น

ผมเคยเขียนและเคยบรรยายไว้หลายหนแล้วว่า พื้นฐานที่สำคัญที่สุด ของการสร้างสุขภาพที่ดี ของทุกคน ขึ้นอยู่กับ การจัดชีวิตประจำวัน ให้พอดี และได้สัดส่วนกัน

ผมแบ่งเรื่อง “ชีวิตประจำวัน” ออกเป็น 5 อย่าง คือ 1. กิน 2. นอน 3. ทำงาน 4. พักผ่อน 5. ออกกำลังกาย ทั้ง 5 อย่างนี้เราจะต้องทำให้ครบ และทำให้พอดีๆ ได้ส่วนกัน

ดังที่ได้บอกแล้วว่า พื้นฐานของการสร้างสุขภาพที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับ ชีวิตประจำวัน ฉะนั้น เมื่อจะฟื้นฟู สุขภาพ ของเราให้แข็งแรง สมบูรณ์สดใส ทั้งกายและใจ เราก็ต้องฟื้นฟู ชีวิตประจำวันของเรา ให้ถูก ต้องเสียก่อน

ทุกวันนี้ชีวิตประจำวัน 5 อย่างที่เอ่ยถึงเราทำผิดหมด เรากินผิด นอนผิด ทำงานผิด พักผ่อนผิด และ ออกกำลังกายผิดๆ

ลองมาดูว่าพื้น ฐานของความคิดเกี่ยวแก่กิจกรรม 5 อย่างนี้ ผิดอย่างไร

การกิน เราเชื่อกันมานานว่าอาหารดีๆ นั้นต้องเป็นอาหารแพงๆ และต้องอร่อย แต่อาหารแพง อร่อยนั้น ไม่ใช่อาหารดีมีประโยชน์ ตรงกันข้าม จะเป็นอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไป ใส่รสชาติจัดๆ มากเกินไป มีสารพิษมากเกินไป อาหารเหล่านี้ เมื่อกินเข้าไป จะสร้างท็อกซิน หรือ พิษในตัวเรา ยิ่งกินมาก ก็สะสมในตัวมาก จนในที่สุด เราก็ป่วย อายุสั้น โดยไม่จำเป็นเลย

วิธีแก้ เราจึงแก้ด้วยการแนะนำให้กินอาหารธรรมชาติหรือใกล้ธรรมชาติมากที่สุด เราได้จัดสูตร อาหารง่ายๆ และมีตัวอย่าง อาหารหลายชุด (ได้ขอให้พี่เลี้ยงของชมรม จัดส่งหนังสือมาให้แล้ว)

การนอน นี่ก็อีกเหมือนกัน เราเชื่อกันว่าการนอนจะต้องนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย หนุ่มสาวบางคน ทำงานดึก หรือบางทีเที่ยวดึกๆ มากไปหน่อย ก็เชื่อกันว่า ต้องนอนให้คุ้ม เลยนอนกันข้ามวัน ข้ามคืนไปเลยก็มี

นั่นคือการนอนผิด การนอนที่ถูกเราเน้นตรง ที่หัดนอนให้ หลับลึกและหลับสนิท ถ้าทำได้นอนเพียง 6 ชั่วโมงก็พอ แล้ว และยังแถมได้ GROWTH HORMONE ซึ่งเป็นยาวิเศษ หลั่งออกมา เวลาเราหลับด้วย

การทำงาน ที่เห็นกันส่วนมาก โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ ทำ งานกันอย่างชนิด ไม่มีความสุข ยิ่งเป็นงาน ที่ไม่ใช่ของตัว เอง แต่เป็นงานบริษัท หรือราชการ มักจะมีแต่ ความไม่พอ ใจ เกลียดงาน เบื่องาน และเครียด

เรามีวิธีหัด ที่จะรู้จักหาแง่มุม ที่น่าสนใจของงาน ทำงานอย่างสนุกสนาน มีใจรัก และหา ความก้าวหน้า ในการงานอยู่เรื่อยๆ

ทำอะไรก็ตามต้องเอนจอย-สนุกสนานกับการทำงาน

การพักผ่อน มักจะเข้าใจว่า ถ้าจะพักผ่อนต้องลางานสองอาทิตย์ไปเที่ยวเขา-ทะเล หรือ ไปต่างประเทศ หรือไม่ ก็ไปดูหนัง ดูละคร ฟังเพลง จึงจะเป็นการพักผ่อน

แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็น เราหัดให้ตัวเราผ่อนคลาย (RELAXATION) และพักผ่อน ทั้งกายทั้งใจ ได้ด้วยสมาธิแบบง่ายๆ แต่คุณต้องหัดผ่อนคลาย ให้ได้เสียก่อน

การออกกำลังกาย ต้องออกทุกคนครับ ไม่ว่าจะเด็กหรือหนุ่มหรือแก่ (คำว่าแก่นี่พวกชีวจิต เขาว่า เป็นคำหยาบนะครับ) ต้องออกกำลังกายทุกคน

หลักง่ายๆ มีอยู่ว่า จะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาแบบไหนได้ทั้งนั้น แต่คุณต้อง 1. สนุกสนาน หรือ เอนจอย 2. ออกกำลังกายให้ถึง PEAK เพื่อที่ยาวิเศษ GROWTH HORMONE จะได้หลั่งออกมา

คุณศาสตรินครับ ทั้งหมดนี้เป็นหลักใหญ่ กว้างๆ ซึ่งแน่นอนละจะต้องลง รายละเอียด สำหรับ คุณศาสตริน โดยเฉพาะ อีกต่างหาก แต่คงจะยาก เพราะหน้ากระดาษจำกัด ผมเขียนเป็นหนังสือ เล่มใหญ่ไว้หลายเล่ม ถ้าคุณมีเวลา ลองหาโอกาสอ่านดูบ้างเถิด แล้วจะเข้าใจ เรื่องการปรับปรุงตัวเอง ได้เป็นอย่างดี

แต่ขอแถมเรื่องเฉพาะสำหรับคนหนุ่มอย่างคุณศาสตริน เพื่อเป็นกำลังใจไว้หน่อยหนึ่งว่า ขอให้เริ่ม ตั้งโปรแกรม การปรับปรุงตัวเอง ไว้แต่เดี๋ยวนี้ เพราะรู้สึกว่า คุณศาสตริน จะเป็นคนหนุ่ม ที่เอาจริง เอาจังต่อชีวิต และคงจะทุ่มเท เวลาทั้งหมด ให้กับงาน จนลืมสุขภาพของตัวเอง

สมัยนี้หาคนหนุ่มอย่างคุณศาสตรินคงจะยากมากๆ แต่ผมไม่อยากจะให้ คุณแก่เร็ว จึงอยาก จะขอให้คุณ รีบปรับตัวเสียแต่เดี๋ยวนี้ ควรจะปรับเรื่อง ชีวิตประจำวันทั้ง 5 อย่างให้ได้

ขั้นแรกขอให้ปรับเรื่องการกินก่อน อย่าแก้ตัวให้ตัวเองว่า หาอาหาร ตามสูตรชีวจิต ลำบาก และ ไม่มีเวลา ถ้าคุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ ก็ต้องตั้งใจให้แน่วแน่ แล้วจะพบว่า เวลาที่จะให้แก่ตัวเองนั้น มีมากมาย

ยกตัวอย่าง เรื่องข้าวซ้อมมือ ในบ้านของคุณอาจจะไม่มีใครกิน คุณก็กินของคุณคนเดียวก็ได้ หาหม้อ หุงข้าวไฟฟ้าใบเล็กๆ สักหนึ่งใบ กลับถึงบ้าน ก็เอาข้าวซ้อมมือ แช่น้ำไว้สักชั่วโมง แล้วเอาใส่หม้อ เสียบปลั๊กไว้สักครึ่งชั่วโมง ก็กินได้แล้ว กับข้าวก็ลองทำเองง่ายๆ ตามสูตรชีวจิต อาหารกลางวัน ลองทำง่ายๆ โดยเอาขนมปังโฮล-วีท ทำแซนด์วิช ไปกินที่ทำงาน ก็สะดวกดี

ไส้แซนด์วิชก็ทำไว้ล่วงหน้า ไส้ถั่ว ไส้เห็ด ไส้ปลา ทำใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้ก่อน ถึงเวลาจะไปทำงาน ปิ้งขนมปัง เสียหน่อย แล้วเอาไส้แต่ละชนิด ทาขนมปัง หาผักต่างๆ ถั่วกินเล่นต่างๆ เป็นเครื่องแนม ห่อไปด้วย เท่านี้ก็จะได้อาหารกลางวัน ทำง่ายๆ ไม่ต้องเสียเวลา มากมายเลย

นี่เป็นเพียงตัวอย่างย่อยๆ ซึ่งคุณศาสตริน น่าจะทำได้ แต่ก็ต้องขอโทษ ที่คงไม่แก้ปัญหา ทั้งหมดของคุณได้ เพราะต้องอธิบาย ยาวกว่านี้มาก

อยากจะให้คุณศาสตริน ไปร่วมออกกำลังกายกับชมรมของเรา ซึ่งมีหลายแห่ง สวนรถไฟ (หลังสวน จตุจักร เช้าวันอาทิตย์ สันติไชยปราการ บางลำพู เช้าวันเสาร์ สวนลุม เช้าวันอาทิตย์)

ถ้าคุณไปจะได้พบเพื่อนฝูงมากมาย และเรายังมีพี่เลี้ยงตอบปัญหาต่างๆ ให้คุณด้วย ไม่ต้อง เสียเงินครับ ฟรีหมดทุกอย่าง

หรือมิฉะนั้น ก็ไปร่วมคอร์สสุขภาพ ไปฟังคำบรรยาย ซึ่งเราจะประกาศ ในคอลัมน์นี้ เป็นครั้งเป็นคราว.

ไทยรัฐ ๑๑ ส.ค. ๔๕

โลกนี้เค็มเหลือเกิน

พื้นที่ของโลกทั้งหมดเป็นน้ำเสีย 72% หรือเกือบจะ 3/4 ของโลกเป็นน้ำ

และน้ำเกือบทั้งหมดเป็นน้ำทะเล ถ้าเอาน้ำทะเลทั้งหมดมาต้มให้ระเหยกลายเป็นไอ ก็จะได้เกลือ ปริมาณ มากมายนักหนา สามารถจะท่วมพื้นดิน ทั้งหมดของโลก ให้สูงเทียมฟ้า (น้ำทะเล 1 กก. จะมีเกลือ 35 กรัม)

โลกเรานี้เค็มเหลือประมาณ เท่านั้นยังไม่พอ คนเรายังเค็มตามโลกเข้าไปด้วย อาหารการกิน ทุกอย่าง ของคนสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้เหมือนกับกินเกลืออย่างเดียว เกือบจะไม่รู้รส ของอาหารแท้ๆ เอาเสียเลย

อาหารกระป๋องแทบทุกอย่างต้องใส่เกลือ ผักกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง ซุป เครื่องแกง อาหารแช่แข็ง แม้แต่กระทั่ง ไอศกรีมยังต้องใส่เกลือ เนยแข็ง อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง ขนมปังกรอบ ขนมปัง อาหาร อบทอด อาหารกินเล่นทุกอย่าง

เป็นไปได้อย่างไร แม้แต่ของหวานอย่างไอศกรีมยังต้องใส่เกลือ คำตอบง่ายมาก ของหวาน ใส่เกลือลงไปแล้ว ทำให้รสหวานนั้น กลมกล่อมยิ่งขึ้น

อาหารเด็กอ่อนก็เหมือนกัน ต้องการรสหวาน และเมื่อจะให้นมหรืออาหารเด็กอ่อน มีรสอร่อยขึ้น ก็ต้องใส่เกลือ ลงไปด้วยเช่นกัน

เด็กสมัยใหม่ของเรา ไม่ค่อยได้มีโอกาสกินนมแม่ แต่เขาจะถูกฝึกให้กินเค็ม ตั้งแต่เกิด

สมมติว่าเด็กหรือหนุ่มสาวสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้ เขากินแต่อาหารสมัยใหม่หรือฟาสต์ฟู้ด ลองมาดูกันว่า วันหนึ่ง เขากินเค็มกันอย่างไร

ว่ากันตั้งแต่อาหารมื้อเช้าก่อน มื้อเช้าประกอบไปด้วย ไข่ดาว 1 ฟอง เบคอน 3 ชิ้น ขนมปังปิ้ง 2 แผ่น ไส้กรอกทอด 2 แท่ง

อาหารกลางวัน แซนด์วิชทูน่า 2 คู่ สลัดผักหนึ่งจาน

อาหารเย็น ซุปไก่ 1 ถ้วย พิซซ่าขนาดเล็กหนึ่งชิ้น ถั่วแดงอบราดซอส 1 ถ้วย ไส้กรอกเยอรมัน 1 แท่งใหญ่ ถั่วฝักยาวกระป๋องอบเนย 1 ถ้วย

ถ้ารายการอาหารแบบคนสมัยใหม่อย่างนี้ ศาสตราจารย์เคอร์มิท แทนทัม แห่งวิทยาลัยแพทย์ มิลตัน เฮอร์เชย์ เพนซิลวาเนีย ได้ลองแยกแยะดู จะได้เกลือเค็ม ดังต่อไปนี้

ไข่ดาวใส่เกลือ-พริก-ไทย เกลือ 1,000 มก. เบคอน 3 ชิ้น เกลือ 1,200 มก. ไส้กรอก 2 แท่ง เกลือ 900 มก. แซนด์วิชทูน่า 2 คู่ เกลือ 860 มก. ซุปไก่ 1 ถ้วย เกลือ 1,050 มก. พิซซ่า 1 ชิ้น เกลือ 650 มก. ถั่วแดงอบราดซอส เกลือ 900 มก. ไส้กรอกเยอรมัน เกลือ 1,000 มก. ถั่วฝักยาว เกลือ 925 มก.

รวมแล้วเป็นเกลือทั้งหมด 8,485 มก. หรือ 8.5 กรัม ซึ่งจะเกินไปจากที่กรรมการอาหาร และยา ของสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดไว้ถึงกว่า 2 เท่าตัว ปริมาณเกลือต่อวันนี้ ยังไม่ได้นับถึง อาหาร กินเล่น ประเภทกรอบๆ เช่น ถั่ว มันฝรั่งด้วย ซึ่งถ้ารวมอาหารเหล่านี้เข้าไป ปริมาณ เกลือต่อวัน ก็จะเป็นพิษต่อร่างกายแน่นอน

ตัวอย่างและตัวเลขปริมาณเกลือที่กล่าวมานี้ เป็นตัวเลข จริงๆ ซึ่งสำรวจมาแล้วจากอาหารประจำวัน คนอเมริกัน ผม ได้เอามาเปรียบโดย อนุโลมเข้ากับ อาหารฟาสต์ฟู้ด ของคนไทย ซึ่งขณะนี้ กำลังมีอิทธิพล ต่อชีวิตคนไทย สมัยใหม่ มากเหลือเกิน

ตัวเลขที่น่าสนใจที่สุดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งศาสตราจารย์แทนทัม ได้รวบรวมไว้ก็คือ น้ำอัดลม และน้ำหวานต่างๆ นั้น มีเกลือ ผสมอยู่ด้วยทั้งสิ้น เริ่มต้นด้วย เบียร์หนึ่งขวด มี เกลือถึง 25 มก. น้ำมะนาว (หวาน) มี เกลือ 50 มก. น้ำส้ม 1 กล่อง มี เกลือ 35 มก. น้ำสับปะรด 1 กล่อง มี เกลือ 8 มก. เหล่านี้ เป็นต้น

ส่วนนมเนยเหลว เนยแข็งนั้น ไม่ต้องสงสัย ต้องใช้เกลือผสม เพื่อไม่ให้เสียเร็ว อย่างหนึ่ง และเพื่อให้ รสอร่อยขึ้น อย่างเช่น เนยแข็ง พามีซาน 1 ชิ้น 28 กรัม มีเกลืออยู่ถึง 528 มก. (โอ้โฮ)

แล้วพวกชอบกินพิซซ่าอยู่ทุกวันเป็นไง หายใจออกมา สงสัยมีกลิ่นเกลือ คลุ้งไปหมด

ศาสตราจารย์แทนทัมได้แอบแวะไปที่ร้านแฮมเบอร์เกอร์ดังๆ หลายร้าน และนี่คือ รายงาน ของแทนทัม

แฮมเบอร์เกอร์ เนื้อ และเนยแข็ง 1 ก้อน มีเกลือ 1,220 มก. แฮมและเนยแข็ง 1,350 มก. เนื้อย่าง ซุปเปอร์ 1,420 มก. แซนด์วิชสวิสส์คิง 1,585 มก. ไก่งวงเดอลักซ์ 1,220 มก.

ตามสถิติในอเมริกาเมื่อ 20 ปีมาแล้ว(ปี 1981) มีประชาชนประมาณ 30% เป็นโรคความดัน โลหิตสูง ในปัจจุบัน อัตราความดันโลหิตสูง ของคนอเมริกัน คงจะมากกว่านี้ อีกสองเท่าเป็นอย่างน้อย

เพราะปัจจุบันคนกินอาหารฟาสต์ฟู้ดกันมากขึ้น ที่น่าแปลกก็คือ เมื่อ 20 ปีมาแล้ว เมื่อตรวจสุขภาพ ของคนเหล่านี้ พบว่าเป็นความดันโลหิตสูง เมื่อถามว่า ทราบไหมว่า ความดันโลหิตสูง ของคนเหล่านี้ เกิดจากอะไร คำตอบที่น่าอัศจรรย์ก็คือ 90% ของคนเหล่านี้ ตอบว่าไม่รู้ แสดงว่า เมื่อ 20 ปีก่อน ประชากร ชาวอเมริกัน ไม่มีความรู้ ในเรื่องอาหารการกินเอาเสียเลย

เมื่อมาดูเมืองไทยเราเพิ่งจะเริ่มเห่ออาหารฝรั่ง และเริ่มจะเห่ออาหาร ฟาสต์ฟู้ด ฉะนั้น โรคต่างๆ อันเกิดจากกินอาหารผิดๆ คนไทยไม่ค่อยรู้ และไม่สนใจอีกเช่นกัน

แต่ขอให้ทราบเถิดว่า นอกจากความดันโลหิตจะสูงแล้ว ยังโยงไปถึงโรคไต และโรค หัวใจด้วย นอกจาก เป็นสาเหตุโดยตรง ยังจะโยงไปถึงโรคมะเร็งได้อีก มะเร็งตับ มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะ มะเร็งลำไส้ใหญ่ และ มะเร็งต่อมลูกหมากนั้น เกลือเป็น ส่วนประกอบ ที่ทำให้เกิดเป็น มะเร็งเหล่านี้ได้

ฉะนั้น ตอนนี้ก็ขอชักชวนให้เพื่อนๆ ชีวจิตทุกคนได้ลดการติดเค็มลงบ้างเสียก่อน เรื่องรสชาติ ของอาหาร เมื่อติดอย่างใดอย่างหนึ่งจนเป็นนิสัยแล้ว ยากเหลือเกินที่จะแก้นิสัย เหล่านั้นได้ ถึงคุณจะติด การกิน เค็มมากเพียงใดก็ตาม เพียงแต่ลองแข็งใจ ลดเค็มได้บ้าง เล็กน้อยก่อน ก็ยังดี เมื่อเคยชิน กับการลดแล้ว จึงค่อยๆ ลดมากขึ้น จนลดลงมาเหลือกินเค็ม (เกลือ) เพียงวันละ ไม่เกิน 3 หรือ 5 มก. ได้เป็นดีที่สุด วิธีหัดง่ายๆ อย่างหนึ่งก็คือ

1. อาหารทุกอย่างที่มีคนยกมาตั้งตรงหน้าคุณ อย่าเติมอะไรเลย กินตามรสที่เขาปรุงมาให้เท่านั้น

2. เมื่อเคยชินกับอาหารทุกอย่างไม่เติมรสอะไรเลย แล้วจึงค่อยๆ ลดความเข้มข้น ของอาหาร แต่ละชนิดต่อไป จนมีรสจืด เป็นตัวนำ

3. หัดชื่นชมกับรสธรรมชาติให้มากขึ้น เช่น ผักหรือแตงกวา กินสดๆ จืดๆ จะมีรสกรอบ -หวานอร่อย ตามธรรมชาติ.

ไทยรัฐ ๔ ส.ค. ๔๕ ชีวจิต