วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปากเหม็นตัวเหม็น อาจถึงตายได้ (12)

ผมเขียนเรื่อง “ปากเหม็น-ตัวเหม็น” ในระหว่างเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ได้กะไว้ล่วงหน้าว่า จะให้ยาวสักกี่ตอน นึกถึงตอนไหนได้ก่อนก็เขียนต่อกันไปเรื่อยๆ กลับมาถึงเมืองไทยแล้ว จึงได้รู้ว่าได้เขียนตอนก่อนๆ ยาวพอสมควร และปรากฏว่ามี จ.ม. ถามเรื่องต่างๆ เกี่ยวกับ “ปากเหม็นตัวเหม็น” นี้มากมาย ผมจึงคิดว่า จะรวบรวมคำถามใน จ.ม. รีบตอบ แล้วก็น่าจะจบตอน “ปากเหม็น” นี้เสียที

ตอนที่เขียนถึงเรื่องต่อมทอนซิล และได้ขอให้ท่านผู้อ่านที่เคยได้รับคำแนะนำจากผมเกี่ยวกับ การปฏิบัติตัวแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับต่อมทอนซิล มีผู้ตอบมาหลายรายเหมือนกัน ในจำนวนนี้มีผู้ที่ผมคุ้นเคยอยู่เก่าและเห็นว่าท่านผู้นี้ก็คลุกคลีอยู่กับเรื่องโรคภัยอยู่แล้ว ก็เลยนำ จ.ม. ของท่านมาลงก่อนและให้เป็นการเบิกโรงคุยกับท่านผู้อ่านไปในตัวด้วย

ท่านผู้นี้คือ คุณจรูญเดช โตสะอาด เดิมทำงานอยู่หน่วยควบคุมมาลาเรีย อ.อุ้มผาง จังหวัดตาก และต่อมาได้ย้ายไปอยู่หน่วยควบคุมโรคติดต่อนำโดยแมลง ที่อำเภอท่าใหม่ จันทบุรี

บางตอนใน จ.ม. ของคุณจรูญ เขียนมาว่า “เมื่อตอนที่ผมทำงานอยู่ที่หน่วยมาลาเรีย อ.อุ้มผาง ผมได้รับหนังสือที่อาจารย์ส่งมาให้ 3 เล่ม (16 ต.ค. 40) กราบขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งครับ ผมได้นำเอาหนังสือดังกล่าวเผยแพร่กับบุคคลใกล้ชิดทั่วไปจนเดี๋ยวนี้เหลือเพียง 1 เล่ม คือ มะเร็งแห่งชีวิต คนอ่านคงจะชอบ เลยเก็บเอาไว้ครับ ผมเองก็จำไม่ได้ว่าใครคนไหนยืมไป ผมอ่าน นสพ.ไม่ค่อยบ่อย ฟังแต่วิทยุประเทศไทยมาตั้งแต่เปิดรายการจนจบ คือไม่ต้องมาเสียเวลาอ่าน พอดีผมได้อ่านไทยรัฐ ฉบับวันที่ 16 ก.ย. 44 อาจารย์ขอให้คนไข้ที่อาจารย์รักษาช่วยเขียนสนับสนุนเรื่องต่อมทอนซิล---”

คุณจรูญเดชเล่าต่อไปว่า เคยเป็นต่อมทอนซิลอักเสบบวมแดง จนกลืนอาหารไม่ได้ และเป็นอย่างนี้บ่อยๆ และเมื่อไปหาหมอ ท่านก็แนะนำให้ผ่าตัด คุณจรูญเดช บอกว่า “ด้วยความกลัวการผ่าตัด จึงดันทุรังไม่ยอมตัด และไม่ยอมไปหาหมออีกเลย”

ตอนที่ย้ายไปทำงานที่อุ้มผาง คุณจรูญเดช บอกว่าเป็นหลายโรค ไอ จาม (ซึ่งก็รวมทั้งต่อมทอนซิลอักเสบด้วย เกาต์ เบาหวาน)

แต่ตอนอยู่ที่อุ้มผาง ไอ จาม หายไปเลย “เพราะอากาศที่นี่ดีมาก มีฝนตกตลอด 7 เดือน ไม่เห็นพระอาทิตย์เลย ฤดูหนาวสุด 1-2 Cํ แต่อากาศไม่แห้งมีสายหมอก เดินออกไปกลางแจ้ง เหมือนเปียกฝนเลยครับ ผมตัดสินใจปรับอาหารใหม่ กินข้าว ซ้อมมือ เป็นข้าวไร่ของกะเหรี่ยง กินพืชผักตามลำห้วย ลำธาร เลิกกินเนื้อสัตว์ใหญ่ กินแต่กุ้ง ปู ปลา เล็กๆ ที่ชาวบ้านหา มาขายถูกๆ กินพืชผักธรรมชาติตามฤดูกาล เห็ดทุกชนิด หน่อไม้บ้าง แต่ไม่บ่อย ผลไม้ตามฤดู ส้มโอ สีชมพู ออกเปรี้ยวๆ ของชาวบ้าน มะละกอ กะทกรกชาวบ้านขึ้นเองตามต้นไม้ ลูกสีส้มเท่ากับส้มเขียวหวานนำมา คั้นกับผ้าขาวบาง แล้วดื่มกินเลย เช้าหนึ่งแก้ว เย็นหนึ่งแก้ว แต่โดยเฉพาะ กล้วยนํ้าว้าสุกกินเป็น ประจำตอนเย็น จนถึงปัจจุบัน งดกินข้าวเย็นจนถึงปัจจุบัน เดินไปทำงานขึ้นดอยลงดอยวันละ 8 กม. ไปกลับตลอด 5 ปี ที่อยู่อุ้มผาง ผมเคยเดินตากฝน หลายครั้ง แต่ไม่เคยเป็นหวัดเลยครับ จนถึงปัจจุบันโรคทุกอย่างหายไปหมดเลย”

ก่อนจะสรุปเรื่อง จ.ม. ของคุณจรูญเดช ผมขอแสดงความรู้สึกส่วนตัวตอนนี้เสียก่อนว่า ผมอิจฉาชีวิตของ คุณจรูญเดชเหลือเกิน คุณจรูญเดชทราบไหมครับว่า ชีวิต 5 ปี ของคุณจรูญเดชที่อุ้มผางนั้น เป็นชีวิตที่ตรงกับบัญญัติข้อที่ 1 ของชีวจิตที่ว่า “ต้องใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ และสอดคล้องกับธรรมชาติ” ทุกอย่าง

อันที่จริงตอนที่รู้จักกับคุณจรูญเดชใหม่ๆ นั้น ผมได้แนะนำให้คุณจรูญเดชลองใช้วิตามินและแร่ธาตุ เป็นยาเสริมหรืออาหารเสริมด้วย แต่ตอนนั้นผมไม่ทราบว่าคุณจรูญเดชใช้ชีวิตที่อุ้มผางแบบไหน และอย่างไร ตอนนี้เมื่อได้อ่านเรื่องราวการปฏิบัติตัวตามแนวธรรมชาติของคุณจรูญเดช และที่บอกมาว่า ปัจจุบันโรคทุกอย่างหายไปหมดเลย นั้น ผมเข้าใจได้ทันทีว่า เรื่องวิตามินและอาหารเสริมที่ผมเคย แนะนำไปนั้น คุณจรูญเดชไม่จำเป็นต้องใช้เลย เพียงแต่การปฏิบัติตัวตามวิธีธรรมชาติอย่าง ที่ทำที่อุ้มผางนั้นก็เพียงพอแล้ว

ขอสรุปว่า การรักษาและดูแลตัวเองของคุณ จรูญเดชนั้นได้ผลดีเพราะอะไรบ้าง

1. เพราะดินฟ้าอากาศบริสุทธิ์ (ดิน นํ้า อากาศ บรรยากาศบริสุทธิ์ และเป็นไปตามธรรมชาติทุกอย่าง)

2. อาหารถูกต้องและเป็นอาหารบริสุทธิ์ ปราศจากสารพิษและปุ๋ยวิทยาศาสตร์เจือปน ถูกต้องตามสูตรชีวจิต 100% (ข้อนี้ผมประทับใจมากๆ จะขอพูดเป็นหัวข้อโดยละเอียดคราวหน้า)

3. ออกกำลังกายตามธรรมชาติ ขึ้นดอยลงดอยวันละ 8 กม. ไปกลับทุกวัน

4. สุขภาพจิตดีมาก ไม่มีความเครียด ความกังวลใดๆ ทั้งสิ้น

ทั้งสี่ข้อนี้แหละครับ คือยาวิเศษประจำตัว ซึ่งถ้าใครมีครบทุกประการก็ต้องถือว่า เป็นคนมีบุญมหาศาล การที่ได้อยู่ในสภาพอย่างนี้ถึง 5 ปี นั้น มีคุณค่ามหาศาล มหาเศรษฐีร้อยล้านพันล้าน ก็ยังโชคดีไม่ถึงหนึ่งในร้อยของคุณ

ขอพูดถึงหัวข้อการปฏิบัติตัวของคุณจรูญเดช หัวข้อที่ 1, 3, 4, ก่อน ส่วนหัวข้อที่ 2 ขอพูดยาวนิดหนึ่ง ในคราวหน้า

ในเรื่องของดินฟ้าอากาศบริสุทธิ์นั้น เมืองไทยเรานับวันแต่จะหายากขึ้นทุกที ผมไม่ทราบว่าอุ้มผางขณะนี้ จะต่างกว่าที่คุณจรูญเดชอยู่ที่นั่นเมื่อแปดปีก่อนมากน้อยเพียงไร แต่หลักง่ายๆ นั้นมีอยู่ว่า “ถ้าดินดีน้ำก็ต้องดีตามไปด้วย”

ที่ดินบริสุทธิ์เดี๋ยวนี้หายาก ยิ่งมีการจับจองและบุกรุกป่ามากขึ้นทุกที ที่ดินบริสุทธิ์ก็ต้องหายไป มีการทำไร่ทำนาที่ไหน ก็ต้องใช้ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช และปุ๋ยวิทยาศาสตร์สมัยก่อนใช้ ดี.ดี.ที. กันอย่างมหาศาล สมัยนี้อาจจะเบาบางลงบ้าง แต่พวกยาฆ่าแมลงและปราบศัตรูพืชรุ่นใหม่ ก็ยังเป็นสารพิษอยู่ดี น้ำบาดาลและบ่อน้ำบริสุทธิ์หลายพันหลายหมื่นแห่งทั่วประเทศล้วน แต่มีสารพิษปะปนอยู่ทั้งสิ้น ดินเสีย น้ำก็เสีย สุขภาพก็เลวลง การเจ็บป่วยโดยไม่จำเป็นมีมากขึ้น อายุก็สั้นลง ตายไปโดยไม่จำเป็น

คุณจรูญเดชโชคดีที่ดินและน้ำที่อุ้มผางยังดีอยู่ในสมัยนั้น และอากาศก็ดีบริสุทธิ์ด้วย ที่บอกว่า “อากาศไม่แห้ง เดินออกไปกลางแจ้งเหมือนเปียกฝนเลยครับ” นั้น คุณจรูญเดชสังเกตหรือเปล่าว่า ทั้งๆที่ดู เหมือนจะมีความชื้นอยู่บ้างนั้น เวลาเราหายใจเข้าไป จะรู้สึกอิ่มและมีแรง นั่นคือสุขภาพดีหรือภูมิชีวิตดีอยู่แล้ว

แต่ก็ต้องประกอบกับองค์ประกอบอื่นๆ ด้วยนะครับ ดินดี น้ำดี อากาศดี อาหารดี ชีวิตประจำวันดี จิตใจก็ต้องดีด้วย

สมมติว่าเป็นคนกรุงเทพฯ ไปเดินอยู่กลางสายหมอกอย่างนั้น มีหวังที่จะป่วยโดยทันที ไม่ต้องอะไรหรอก เป็นโรคภูมิแพ้ง่ายๆ ซึ่งหมายถึงภูมิชีวิตต่ำอยู่แล้ว โดนอากาศหนาวและชื้นบ้างเล็กน้อย เกิดป่วยถึงขนาดเป็นนิวมอเนียเลยก็มี ผมเคยเจอมาแล้ว สมาชิกที่มาเข้าคอร์สสปาตันของเราหน้าหนาว ไม่ยอมบอกล่วงหน้าว่าเจ็บป่วยเป็นอะไรบ้าง มาเจออากาศหนาวและต้องตื่นแต่ตีสี่ ซึ่งเป็นรายการแบบที่เราเรียกว่า “รายการโหด” ร่างกายทนไม่ไหวก็ป่วย และป่วยจนเป็นนิวมอเนีย ต้องพยาบาลกันแทบแย่

แต่คุณจรูญเดชไม่เป็นอย่างนั้น เพราะภูมิชีวิตดีและเคยชินกับชีวิตแบบไม่ฟุ้งเฟ้ออย่างนั้นอยู่แล้ว ประกอบกับการออกกำลังกายแบบธรรมชาติคือ เดินขึ้นเขาลงเขาวันละ 8 กม. ซึ่งเป็นการออกกำลังที่ดีมากอย่างเหลือเกิน ต้องถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ว่าออกกำลังกายเพราะ “ต้อง” ออกกำลัง และไม่ใช่เป็นการออกกำลังกายตามแฟชั่นสมัยนิยม แต่เป็นการออกกำลังกายตามความเป็นไป ของชีวิตประจำวันและวิถีชีวิตซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติ

มีอีกนิดหนึ่งนะครับ ตาม จ.ม.ของคุณจรูญเดช ซึ่งผมเห็นว่าเป็นสิ่งเปรียบเทียบซึ่งดีมากอย่างเหลือเกิน คุณจรูญเดชบอกว่า ขณะนี้ย้ายไปอยู่ท่าใหม่ จันทบุรี อากาศไม่ดีเหมือนอยู่อุ้มผาง และบางครั้งชีวิตประจำวันก็จำต้องเปลี่ยนไป อย่างเช่น เมื่อญาติผู้ใหญ่มาพักอยู่ด้วย คุณจรูญเดชต้องเป็นคนดูแล ญาติชอบอาหารแบบสังคมสมัยนี้ ชอบกินเบียร์ และอาหารโปรดคือ เครื่องในสัตว์ เนื้อวัว และไก่ ปรากฏว่า ญาติป่วยหลายโรค และอยู่ได้เพราะยา ไม่ได้แก้ไขด้วยการปฏิบัติตัว และแก้ในเรื่องชีวิตประจำวันอย่างคุณจรูญเดช

ในระหว่างที่คอยดูแลญาติอยู่นี้ คุณจรูญเดชจำเป็นต้องกินอาหารตามแบบของญาติ เมื่อไป ตรวจสุขภาพประจำปี เจาะเลือด เอกซเรย์ ตรวจอุจจาระ ปัสสาวะ ทุกอย่างปกติ ยกเว้นป่วยเป็นเกาต์ ยูริคแอซิค ขึ้นถึง 7.8

แต่คุณจรูญเดชก็ไม่ต้องไปหาหมอ แล้วทำอย่างไรทราบไหมครับ นี่แหละตอนนี้ที่ผมชอบมาก คุณจรูญเดชบอกว่า แก้ที่การกินอาหาร คือ ปลูกผักกินเองทั้งหมด ผักปรัง ผักบุ้งจีน บวบ ฟักทอง ถั่วฝักยาว พริก และผักอื่นๆ ที่ซื้อมีแต่ปลาทะเลของชาวบ้าน

คุณจรูญเดชบอกว่าทำตามอย่างยาย คือปลูกผักกินเอง คุณยายตายเมื่ออายุ 102 ปี คุณพ่อปัจจุบันอายุ 95 ปี ไม่มีโรคประจำตัว แข็งแรงทุกอย่าง

คุณจรูญเดช ลงท้าย จ.ม.ว่า “ผมขอสนับสนุนข้อเขียนของอาจารย์ครับ”

ขอคุยต่อเรื่องรักษาสุขภาพแบบธรรมชาติครับ.

Copy right(c)2000 by Vacharaphol Co.,Ltd.
Viphavadirangsit Rd. Bangkok 10900 Thailand Tel.(662) 272-1030 Fax. (662) 272-1324

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น