วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ตัวร้ายอยู่ในตัวดี (2)

ขอคุยเรื่องของ ลี.ฮาร์ดิ้ง ต่อจากอาทิตย์ที่แล้วอีกหน่อยนะครับ

ที่ผมว่าเรื่องของ ลี.ฮาร์ดิ้ง โด่งดังไปทั่วโลกนั้น ไม่ใช่เพราะเขาป่วยจากการกินเนื้อบด ซึ่งมีเชื้ออี.โคไล เข้าไป แต่เป็นเพราะบริษัทที่ทำเนื้อบดออกไปจำหน่าย และ ลี. ฮาร์ดิ้ง ซื้อไปกินนั้น ต้องเรียกเนื้อที่ออกไปจำหน่ายในตลาดคืน และต้องเอาเนื้อนั้นไปทำลาย

เนื้อที่บริษัทต้องเอาไปทำลายนั้นหนักประมาณ 35 ล้านปอนด์ ถ้าคิดราคาต้นทุนเนื้อบด ประมาณราคาปอนด์ละ 2 เหรียญ ก็หมาย ความว่าบริษัทต้องขาดทุนไปถึง 70 ล้านเหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 3,150 ล้านบาท

เป็นความเสียหายจากการที่ต้องเอาเนื้อบดที่ติดเชื้อ อี.โคไล ไปทำลาย และเป็นความเสียหายที่มีราคาแพงที่สุดในโลก

ลี.ฮาร์ดิ้งโด่งดังไปทั่วโลก ก็เพราะความเสียหายอันนี้

มีข้อที่น่าสนใจมากหลายอย่างจากกรณีของ ลี.ฮาร์ดิ้ง

ที่ผมคิดว่าน่าสนใจและประทับใจมากที่สุด ก็คือการทำงานของทางการสาธารณสุขอเมริกา คือศูนย์ควบคุม และป้องกันโรคร้าย (CENTERS FOR DISEASE CONTROL AND PREVENTION หรือเรียกย่อๆว่า CDC)

CDC ทำงานอย่างเข้มงวดกวดขัน และเอาจริงเอาจัง โดยไม่เห็นแก่หน้าใคร และไม่เห็น แก่อามิสสินจ้างใดๆ ทั้งสิ้น เห็นอยู่อย่างเดียว คือเห็นแก่ชีวิตและสุขภาพที่ดีของประชาชนเท่านั้น เรื่องนี้น่าชมเชยและน่าสรรเสริญจริงๆ ครับ

เมื่อเจ้าหน้าที่ของ CDC ติดต่อกับ ลี.ฮาร์ดิ้ง และแจ้งให้เขาทราบว่าได้พบเชื้อ อี.โคไล ในอุจจาระของ ลี.ฮาร์ดิ้ง นั้น เจ้าหน้าที่ได้ถามเขาว่า ในระยะห้าวันที่ผ่านมา เขาไปกินอะไรมา

ลี.ฮาร์ดิ้งตอบว่า ได้ไปกินทาโคส์ ไส้ไก่มา เจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเชื้อ อี.โคไล ไม่มีในเนื้อไก่ แต่จะมีในเนื้อวัว โดยเฉพาะเนื้อบด

ลี.ฮาร์ดิ้งได้บอกว่า เขาได้ซื้อเนื้อบดแช่แข็งมาจากบริษัทของเขาเอง คือซุปเปอร์มาร์เกต- เซฟเวย์ โดยซื้อมาในราคาถูก เพราะบริษัทของเขาลดราคาเนื้อให้กับพนักงานของเซฟเวย์ เขาซื้อเนื้อบดแช่แข็งมาหนึ่งกล่อง และได้ทำแฮมเบอร์เกอร์กินไปแล้วหนึ่งชิ้น เจ้าหน้าที่ถามว่า เขายังมีแฮมเบอร์เกอร์แช่แข็งเหลืออยู่อีกหรือเปล่า ฮาร์ดิ้งไปค้นในตู้เย็น พบแฮม-เบอร์เกอร์ยังเหลืออยู่ และได้มอบให้เจ้า-หน้าที่ไปทั้งหมด

อีก 17 วันต่อมา เจ้าหน้าที่ก็ได้แจ้งมาที่ ลี.ฮาร์ดิ้ง ว่าได้พบเชื้อ อี.โคไล .0157.H.7 ในเนื้อบดแฮมเบอร์เกอร์ ของเขาแน่นอนแล้ว และยังได้สืบถามต่อไปอีกว่า เนื้อบดนั้นมาจากบริษัทผลิตเนื้อที่ไหน

เจ้าหน้าที่สืบต่อไปได้พบว่า เนื้อบดนั้นทำมาจากบริษัทผลิตเนื้อบดที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา คือบริษัทฮัดสัน ฟูดส์ ในโคลัมบัส เนบราสกา

ที่น่าชื่นชมที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความร่วมมือเต็มอกเต็มใจของบริษัทฮัดสัน ฟูดส์นี้ เมื่อมีข้อสงสัยว่าเนื้อบดทั้งหมด ซึ่งเป็นลอตเดียวกับเนื้อบด ซึ่งลี.ฮาร์ดิ้งกินเข้าไป และอาจจะมีเชื้อ อี.โคไลอยู่ในเนื้อนั้น บริษัทฮัดสัน ฟูดส์ ก็รีบอาสาเรียกเนื้อทั้งหมดทั่วประเทศคืนโรงงาน และยอมขาด ทุนเงินหลายพันล้านบาท เพื่อเห็นแก่ชีวิตและสุขภาพของประชาชน

ตกลงเราก็จะเห็นว่าผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดก็คือประชาชน ประชาชนอยู่ในระหว่างกลาง การทำงานอันซื่อสัตย์ ของเจ้าหน้าที่ด้านหนึ่ง และความรับผิดชอบต่อชีวิตประชาชนของ บริษัทอีกด้านหนึ่ง

อดใจหายไม่ได้ครับ เมื่อนึกถึงสภาพอย่างนี้ ถ้าเกิดในเมืองไทย จะมีสภาพเป็นอย่างไร ถ้ามีบริษัทอาหารเมืองไทย อยู่ในสภาพเดียวกับ ฮัดสัน ฟูดส์ เขาจะยอมขาดทุนเงินเป็นพันๆ ล้าน เพื่อเห็นแก่ชีวิตของประชาชนหรือไม่

และก็แบบที่เขาว่าๆกันแหละครับ เรื่องของคอรัปชันมันอยู่ในสายเลือดของพวกเขาเสียแล้ว เป็นไปได้ไหมครับว่า แทนที่จะยอมขาดทุน ก็คงจะมีการวิ่งเต้น เอาเงินยัดเจ้าหน้าที่เป็นการใหญ่ เพื่อปิดเรื่องต่างๆให้มันเงียบไปเลย

เป็นไปได้ไหม ที่ว่าเจ้าหน้าที่ของเราก็จะหลับหูหลับตาไม่รู้ไม่ชี้ และก็คงไม่รู้ไม่ชี้อีกเหมือนกันว่าเงินเป็นร้อยๆล้าน มันเข้ามาอยู่ ในมือของตัวเองได้อย่างไร ไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียจริงๆ

ขอเล่าเรื่องจริงที่ประสบมาเอง สมัยที่ผมไปเรียนหนังสืออยู่ที่อเมริกา นั่นเป็นเวลากว่า 50 ปีมาแล้วนะครับ เวลาปิดเทอมหน้าร้อน เราก็จะไปหางานทำพิเศษตามโรงงานต่างๆ ผมได้งานที่โรงงานกระ-ป๋องบรรจุถั่วและผลไม้

ที่โรงงานจะมีห้องทดลองล้อมด้วยกระจกหน้าห้องใหญ่ มีเจ้าหน้าที่จากทางการอาหารหลายคน อยู่ในห้องนั้น เมื่อเอาถั่วและผลไม้บรรจุกระป๋องด้วยเครื่องจักรแล้ว สายพานจะนำกระป๋องไปบรรจุใน หม้อต้มยักษ์ หม้อนั้นต้มกระป๋องจนเดือด แล้วจะมีเจ้าหน้าที่ของโรงงานนำกระป๋องจากหม้อต้ม ไปส่งให้เจ้าหน้าที่ทางการ อาหารเปิดกระป๋องตรวจดูว่ามีเชื้อโรค หรือแบคทีเรียใดๆ หลงเหลือในกระป๋องหรือเปล่า ถ้าปรากฏว่าสะอาดไม่มีเชื้อใดๆ กระป๋องถั่วก็จะนำไปบรรจุ กล่องเก็บไว้ในห้องเย็นต่อไปได้

แต่ถ้าปรากฏว่ามีเชื้อโรคใดๆตกค้างในกระป๋องถั่ว อาหารทั้งหมดในหม้อยักษ์ ใหญ่หลายพัน หลายหมื่นกระป๋องนั้น จะถูกนำไปทำลายทันที ไม่มีการโต้แย้ง หรือต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น

ที่ผมแปลกใจมากที่สุดก็คือ การวางตัวของเจ้าหน้าที่ของทางการ เขาจะทำตัวเหมือนตำรวจกับผู้ร้าย เจ้าหน้าที่เป็นตำรวจ และฝ่ายโรงงานเป็นผู้ร้าย

เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในห้องกระจกกลางโรงงาน สามารถจะมองเห็นการทำงานในโรงงานได้ทั่วทุกมุม เจ้าหน้าที่จะไม่มีการพูดคุยทักทายกับคนในโรงงาน เวลาจะพัก หรือจะกินอาหาร ก็อยู่แต่ในห้องทำงาน ไม่เคยออกมานอกห้อง เสร็จงานแล้วก็เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว ขับรถกลับบ้าน ไม่พูดคุยกับใครทั้งสิ้น

ทั้งนี้ ดูจะเป็นกฎตายตัวระหว่างเจ้าหน้าที่ของทางการกับฝ่ายเจ้าของโรงงานว่า จะไม่มีการสังสรรค์ผูกมิตรกัน และการที่ต่างคนต่างอยู่เช่นนี้ ก็ทำให้ต่างคนต่างทำงาน ตามหน้าที่ได้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ เห็นแก่หน้าใคร

ผมขออภัยด้วยครับ ที่ดูเหมือนจะคุยนอกเรื่องไปหน่อย แต่ผมเห็นว่าในเรื่องของอาหาร ซึ่งจำหน่ายแก่ประชาชนนั้น จำเป็นจะต้องเห็นแก่ชีวิตและสุขภาพที่ดีของประชาชนเสียก่อน

สภาพของอาหารการกินของคนไทย เดี๋ยวนี้ ประชาชนต้องเป็นผู้รับอย่างเดียว ไม่สามารถเป็นผู้สั่ง หรือเรียกร้องอย่างใดได้ ไม่มีทางเลือกเลยหรืออย่างไร

ขออภัยอีกครั้งครับ รับรองว่าจะต้องเขียนเรื่องโรคที่เกิดจากการบริโภค และวิธีแก้ไขและป้องกันต่อไปให้ละเอียดอย่างแน่นอนครับ.

Copy right(c)2000 by Vacharaphol Co.,Ltd.
Viphavadirangsit Rd. Bangkok 10900 Thailand Tel.(662) 272-1030 Fax. (662) 272-1324

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น