วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กินมาก-กินดี ก็เป็นโรคขาดอาหารได้

พอดีผมกำลังเขียนเรื่องเกี่ยวกับผมร่วงในชีวจิต และเย็นวันนั้นผมก็ไปออกรายการโทรทัศน์ช่อง 9 (เมืองไทยรายวัน)

มีคำถามทางโทรศัพท์ส่งเข้ามาถามเรื่องเกี่ยวกับการกินอาหาร และผมประหลาดใจหรือว่า ที่จริงออกจะตกใจด้วยซํ้า เมื่อผมบอกกับท่านผู้ชมบางท่านหลังออกรายการแล้วว่า “คุณคงจะเป็น โรคขาดอาหาร” และเมื่อท่านเหล่านั้น ฟังคำตอบของผม ท่านก็จะค้านทันทีว่า “ขาดอาหารได้อย่างไร ผม (หรือหนู) กินอาหารครบ 3 มื้อทุกวัน”

เมื่อผมอธิบายว่า การกินอาหารครบ 3 มื้อนั้น ไม่ได้แสดงว่า คุณมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ “การที่ร่างกาย ไม่แข็งแรง ในลักษณะอย่างที่เรากำลังพูดกัน อยู่นั้นนั่นแหละ คือ โรคขาดอาหาร ที่ผมหมายถึง” ท่านเหล่านั้น ก็ยังทำหน้าที่ไม่เชื่อ หรือไม่เข้าใจอยู่ดี

ตรงนี้แหละครับที่ผมประหลาดใจมาก เพราะผมเข้าใจมาตลอดเวลาว่า เราได้ศึกษาเรื่อง โภชนาการ หรือวิทยาศาสตร์ ทางอาหารกันมา ตั้งแต่ต้น หรือตั้งแต่อยู่ในโรงเรียน ชั้นประถม มาแล้วด้วยซํ้า แล้วทำไม พอผมเอ่ยถึงเรื่อง โรคขาดอาหาร ท่านเหล่านั้นถึงไม่เข้าใจ

เมื่อได้ซักถามกันต่อมาโดยละเอียดยิ่งขึ้น ผมจึงได้เข้าใจว่า หลายท่านเลยทีเดียว ท่านไม่เข้าใจ เรื่องการขาดอาหาร หรือเรื่องการกินอาหาร โดยถูกต้องเอาเสียเลย

ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจกันซักนิดนะครับ ว่าโรคขาดอาหารนั้นเป็นอย่างไร

ผมขอสรุปง่ายๆตรงนี้ไว้ก่อนว่า โรคขาดอาหารมีอยู่สองชนิด อดอยากยากจนไม่มี จะกิน ก็เป็นโรค ขาดอาหาร และกินดีเกินไป กินของแพงๆเกินไป ก็เป็นโรคขาดอาหาร เช่นกัน

ขอพูดถึงโรคขาดอาหารเพราะความอดอยากเสียก่อน เมื่อสมัยหลังสงครามโลก ครั้งที่สอง สงบใหม่ๆ โรคที่คร่าชีวิต ประชาชนมากที่สุด-- มากเสียยิ่งกว่า การไปรบกัน ในสงครามเสียอีก --นั่นก็คือ โรคอันเนื่องมาจาก ความอดอยาก

ที่ประเทศกานา แอฟริกาตะวันตก มีโรคประหลาดชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้คนตาย โดยเฉพาะเด็ก ในวัยเยาว์ โรคนี้มีชื่อภาษาพื้นเมืองว่า ควาชิโอคอร์ (KWASHIORKOR) ซึ่งหมายความว่า “โรคผีเข้า และ คร่าชีวิตลูกคนแรก เมื่อลูกคนที่สองเกิด”

โรคนี้ชาวกานาเชื่อว่าเป็นโรคผีสิง เพราะปรากฏ พอภรรยาในครอบครัว มีลูกคนที่สอง ลูกคนแรก ก็มักจะตาย สภาพของการตายของเด็ก ลูก คนแรกก็คือ หน้าบวม ตัวบวม และผิวหนัง ทั่วตัว แตกเป็นแผ่นๆ แต่พอใกล้จะเสียชีวิต เด็กจะมีลักษณะผอมแห้ง ผมร่วง ท้องป่อง และจะมีอาการ โรคจากระบบย่อย และระบบหายใจ และเสียชีวิตในที่สุด

ชาวพื้นเมืองกานา เชื่อว่าการที่ลูกคนแรกตายนั้น เพราะผีเข้าสิง และมาเอาชีวิตของเด็กไป โรคระบาด เช่นนี้ซาลงพักหนึ่ง ระหว่างเกิดสงครามโลก ครั้งที่สอง และเริ่มฟื้น เป็นโรคระบาด มากยิ่งขึ้น ปลายสงครามโลก และระบาดไปเกือบทั่วประเทศ ตอนสงครามโลก ครั้งที่ 2 สงบใหม่ๆ

มีความแตกต่างของโรคควาชิโอคอร์นี้ ระหว่างก่อนสงครามโลก และ หลังสงครามโลก ครั้งที่สอง

ก่อนสงครามโลกนั้น มีแต่ลูกคนแรกเท่านั้นที่จะตาย แต่หลังสงครามแล้ว ไม่ว่าจะลูกคนแรก หรือ ลูกคนไหน ก็ตายทั้งนั้น เจ้าผีสิงไม่ได้มาจำกัดว่า จะเอาชีวิตลูกคนแรก ไปเท่านั้น แต่ ตอนหลังนี้ เจอะเด็กคนไหน เจ้าผีสิงนั้น ก็จะเอาชีวิตเด็กทุกคนไปหมด

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหประชาชาติเกิดขึ้นแล้ว เรื่องของการแก้ไข ความยากจน ความอดอยาก เป็นปัญหาแรก และปัญหาใหญ่ที่สุด ของสหประชาชาติครั้งนั้น

เจ้าหน้าที่ถูกส่งเข้าไปสำรวจในกานา และได้พบว่าการที่เด็กตายมากๆ นั้น ไม่ใช่เพราะผีสิง แต่เพราะ ความอดอยาก ขาดอาหารต่างหาก

เจ้าหน้าที่ยังได้พบอีกว่า การขาดอาหารสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ของประเทศ กานานั้น ไม่ได้เกิด เพราะความอดอยากโดยตรง แต่เกิดขึ้นเพราะ ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

เมื่อคุณแม่ชาวกานาคลอดลูกคนที่สอง เป็นประเพณีว่า จะต้องกันลูกคนที่หนึ่ง ออกไปห่างๆ น้อง ไม่ให้เข้ามาใกล้ เพราะกลัวว่าผี ประจำตัวลูกคนที่หนึ่ง จะเข้ามาครอบครอง น้องคนที่สอง

ด้วยเหตุนี้เอง ลูกคนแรก แม้จะยังเล็กอยู่ แม่ก็ไม่ยอมให้เข้าใกล้ และไม่ยอมให้ดื่มนมแม่ต่อไปด้วย

ลูกคนแรกก็เลยอดอยาก และเป็นโรคขาดอาหาร สารอาหารที่สำคัญยิ่ง และเด็กลูกคนแรก ไม่ได้รับเลย ก็คือ ขาดโปรตีน เด็กตายเพราะขาดโปรตีน

หลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น เด็กขาดอาหาร ไม่ใช่เพราะความเชื่อ เรื่องผีสิงเสียแล้ว แต่เพราะ ความอดอยาก ขาดอาหารจริงๆ การอดอาหารคราวนี้ ไม่เลือกว่าเป็นเฉพาะเด็ก ลูกคนแรกเท่านั้น แต่ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่ ซึ่งอดอยาก ก็ตายลงด้วย โรคขาดอาหาร เหมือนกันหมด

และที่ทำให้มีอาการหนัก จนกระทั่งถึงตายนั้นก็ เพราะขาดโปรตีน อีกเหมือนกัน

เจ้าหน้าที่สหประชาชาติได้ค้นพบอีกต่อไปว่า โรคควาชิโอคอร์นี้ ไม่ได้เกิดแต่ ในกานาและ แอฟริกาเท่านั้น แต่ยังเกิดในอเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง เอเชีย อีกด้วย ถ้าจะสรุปสั้นๆ ก็ในประเทศ ที่ยากจนที่สุด นั่นแหละ

โรคนี้จะเกิดขึ้นกับเด็กๆ ก่อน โดยเฉพาะกับเด็กอายุประมาณ 2 ขวบ จะสังเกตได้ว่า เด็กจะเริ่มหยุด เจริญเติบโต หรือโตช้า ถ้ามีชีวิตอยู่ถึงอายุ 4 ขวบ จะมองดูเหมือนเด็กอายุ 2 ขวบเท่านั้น ระยะนี้ เด็กจะผมร่วง ผิวหนังซีดเซียว และมีลักษณะ ขึ้นสะเก็ด เป็นแผ่นๆ และแตกออก เป็นแผลทั่วตัว ร่างกายจะผอมลง แต่พุงจะโต ไม่ยอมยุบ แขนบวม ขาบวม

ขั้นสุดท้ายนี้เด็กซึ่งต้องการแอมิโน แอซิค (โปรตีนจะต้องแตกตัวเป็น แอมิโน แอซิค เสียก่อน ร่างกายจึงจะ ดูดซึมไปใช้ได้) ไปเป็นกล้ามเนื้อ และไปเลี้ยงหัวใจ ปอด และ สมอง ก็จะขาดสารอาหาร สำคัญเหล่านี้

และตอนนี้จะติดเชื้อได้ง่าย ส่วนมากเป็นเชื้อโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคบิด โรคท้องเดิน ท้องร่วง เหล่านี้เป็นต้น และถ้ามีอาการโรคเหล่านี้ ร่างกายก็จะเสีย สารอาหารอย่างอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกลือแร่ และถึงแก่ชีวิต ในที่สุด

นั่นคือโรคขาดอาหารที่ทำให้ถึงตาย และสารอาหารสำคัญที่ขาด และทำให้ตายได้ ก็คือ ขาดโปรตีน

นั่นเพราะความอดอยาก ไม่มีจะกิน แต่เชื่อไหมละครับ เรื่องอดอยากไม่มีจะกิน ไม่ค่อยมีแล้ว สมัยนี้เรากินดี อยู่ดีเกินไปด้วยซํ้า เรากินแต่ของดีๆของแพงๆ อาหารชามละหมื่น หลายๆ หมื่น ยังมีเลย

อาหารดีๆ แพงๆ นี้แหละ ทำให้เป็นโรคขาดอาหารได้ เชื่อไหมละครับ

กรุณารอไว้คุยกันใหม่อาทิตย์หน้าครับ.

ไทยรัฐ ๑ เม.ย. ๔๕ ชีวจิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น