วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แก้หวานแล้วก็ต้องแก้เค็ม (2)

ขอสรุปเรื่องเกลือไว้สั้นๆ ก่อนจะเขียนเรื่องรายละเอียดของเกลือต่อไป ข้อสรุปตอนนี้ มีอยู่ว่า “กินเกลือ หรือกินเค็มมากๆ เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการ ความดันโลหิตสูง และ เป็นสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่ง ของการเป็นโรคไต และโรคหัวใจ”

ที่ผมสรุปตอนนี้ไว้ก่อน ก็เพราะมีการศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับอาหารเค็ม หรืออาหาร ที่มีเกลือ เป็นตัวสำคัญนั้น ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ เกิดโรคมะเร็งได้ด้วย โดยเฉพาะ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่

นอกไปจากมะเร็งของลำไส้ใหญ่แล้ว ยังมีหลักฐานจากการค้นคว้าอีกด้วยว่า มะเร็งตับ ถุงน้ำดี หลอดอาหาร และกระเพาะนั้น เกลือหรืออาหารที่เค็มๆ ก็มีส่วนทำให้เป็นมะเร็งเหล่านี้ ได้อีกเช่นกัน

ทั้งนี้ เป็นผลของการค้นคว้าของกลุ่มนายแพทย์ เอฟ เอ็ม แซ็คส์ และชาลส์ ซิม โมนส์ และได้รายงาน ไว้ในวารสารการแพทย์ ของสมาคม แพทย์อเมริกัน ฉบับที่ 246 ปี 1981

อันที่จริงสาเหตุของการเป็นมะเร็งนั้น มีการค้นคว้ามานานแล้วว่า อาหารหลายชนิด มีส่วน เกี่ยวข้องอยู่ด้วย แต่คราวนี้ได้มีการยืนยันแน่นอนว่า เกลือและอาหารเค็มๆ นั้น ทำให้เป็นมะเร็ง ได้อีกเหมือนกัน

ตกลงเกลือและอาหารเค็มนั้น มีส่วนสำคัญและโดยตรงกับการป่วยด้วยความดันโลหิตสูง โรคไต และ โรคหัวใจได้ อาการป่วยของโรคเหล่านี้ ได้รับการยืนยัน จากวงการแพทย์ มานานกว่า สามสิบปีแล้ว

แต่สาเหตุที่เกลือทำให้เกิดเป็นมะเร็งด้วยนั้น เพิ่งจะมารู้กัน เมื่อไม่กี่ปีมานี้

ปัญหาที่น่าคิดก็คือ ถ้ากินเกลือหรือกินเค็มมากๆ แล้ว จะเป็นโรคหัวใจก่อน หรือ มะเร็งก่อน หรือว่า จะเป็นพร้อมๆ กันทั้งสองโรคเลย

คำตอบน่าจะเป็นว่า คงจะเริ่มต้นด้วยการป่วยเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง โรคไต และ โรคหัวใจก่อน

มีการทดลองของนายแพทย์ อาร์บี เชคเกล และ ไอ.เจอร์ แมน ซึ่งเป็นแพทย์กลุ่มเดียวกับ เอฟ เอ็ม แซ็คส์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เกลือนั้นทำให้เกิดอาการของความดันโลหิตสูง ได้รวดเร็วเหลือเกิน

แพทย์ทั้งสองท่านได้ทดสอบการกินอาหารของชาวนอร์เวย์ โดยให้กลุ่มชาวนอร์เวย์ ที่เป็น กลุ่มนิยม มังสวิรัติ ลองกินเนื้อสัตว์ล้วนๆ เป็นเวลาสองอาทิตย์

เนื้อที่ให้กินเป็นการทดลองนี้ มีทั้งเนื้อแบบ สเต็กและเนื้อเค็มชนิดต่างๆ เช่น เบคอน ไส้กรอก เหล่านี้ เป็นต้น

เมื่อกินเนื้อครบสองอาทิตย์ก็เจาะเลือดไปตรวจ ปรากฏว่า

คอเลสเทอรอลของผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมทดลองนี้ ขึ้นสูงกว่าเดิมถึง 19%คอเลสเทอรอล สูงขึ้นทันที ภายในเวลาสองอาทิตย์นี้ ต้องนับว่า ขึ้นเร็วอย่างผิดปกติ และ การขึ้นถึง 19 % นี้ก็ต้องนับว่า เป็นปริมาณที่สูงมาก เช่นกัน

ขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งว่า ที่กินเนื้อทำให้คอ-เลสเทอรอลสูง เพราะเกี่ยวกับเกลือนั้น ก็เพราะเนื้อ สัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัวนั้น มีทั้งโปรตีน และไขมัน และ ก็ต้องมีแร่ ธาตุกลุ่มเกลือปนอยู่ ด้วย นอกไปจากนั้น นอกจากสเต็กแล้ว ผู้ทดลองก็ยังกิน เนื้อเค็ม ประ-เภท เบคอน ไส้กรอก ซึ่งมีเกลือปน อยู่ปริมาณมากๆ ด้วย

กินเค็มอย่างไรจึงเรียกว่าเค็มมาก การจะนับว่าเค็ม มากเค็มน้อยนั้น เราต้องวัดดูว่าสัดส่วนของเกลือที่ กินเข้าไปมีส่วนเท่ากับน้ำที่ดื่มเข้าไปมากน้อยเพียงใดด้วย

ถ้าคุณกินน้ำวันหนึ่งๆ สักสองลิตร (ก็ราวๆ 8 แก้ว) ต่อวัน และคุณกินเกลือวันหนึ่ง ไม่เกินหนึ่งกรัม ก็แสดงว่า คุณกินเค็ม ในปริมาณที่พอดีๆ แล้ว

แต่รับรองครับว่าคนไทยเราสมัยนี้ กินเค็มมากเกินปริมาณที่วางไว้นี้ อย่างน้อย ก็ถึงสิบเท่า

อย่าลืมนะครับว่า เค็มในที่นี้ไม่ได้หมายความ ถึงเกลืออย่างเดียว แต่หมายถึง ซอส น้ำปลา ซีอิ๊ว และ ยังรวมถึง อาหารของไทย แบบพื้นบ้าน เช่น กะปิ ปลาร้า ปลาเจ่า เครื่องดอง ของเค็มต่างๆ

แล้วยังแถมอาหารกินเล่น ถั่วกรอบ มันกรอบๆ และแม้แต่อาหารหวานต่างๆ ก็ยังต้องมีเค็ม ปนอยู่ด้วย ไม่มีเว้น

คนไทยเรากินอาหารเค็มมากๆ มาตั้งแต่ เล็กแล้วครับ ยิ่งสมัยนี้นิยมอาหาร ฟาสต์ฟู้ด หรือ อาหารจานด่วน กันมากเหลือเกิน พวกเด็กๆ สมัยใหม่ของเรา กินเค็มกันมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วครับ

ฉะนั้น ความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคหัวใจ จึงน่าจะตั้งต้น ในคนไทยเรา มาตั้งแต่ เล็กๆ แล้ว

เมื่อมีอาการหรือความโน้มเอียงตั้งแต่เล็กๆ และพฤติกรรมหรือนิสัยการกินของเรา ไปติดอยู่ กับรสชาติ ของอาหาร ซึ่งต้องมีรสจัด หวานจัด เค็มจัด อย่างนี้ด้วยแล้ว บั้นปลายของชีวิต ก็คงจะหนักหนา สาหัสด้วยโรคไต โรคหัวใจ โรคอาไทรทิส (กระดูก-ข้อต่ออักเสบ) รวมไปถึง โรคของสมอง เช่น เส้นโลหิต ในสมองแตก หรือ อุดตัน เป็นต้น

ถ้าหากหลุดจากโรคเหล่านี้ไปได้ ก็อย่านึกว่าจะปลอดภัยนะครับ เพราะยังมีมะเร็ง รออยู่

การป้องกันนั้นพูดง่ายแต่ทำยาก นั่นก็คือ ลดเค็มโดยเด็ดขาด เกลือหรือเค็ม ปริมาณไม่เกิน หนึ่งกรัมต่อวันนั้น สำหรับคนที่ติดเค็มอยู่แล้ว ยากนักหนา ที่จะปฏิบัติได้ เพราะจะเหมือนกับ กินอาหารทุกอย่าง แบบจืดสนิท ตลอดเวลา

ลองแก้ง่ายๆ ด้วยวิธีกินอาหารทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าคุณโดยไม่เติมอะไรเลย จะดีไหมครับ ถ้าคุณแก้นิสัย ก่อนจะกินอาหาร ต้องคว้าขวดน้ำปลาไว้ก่อนได้ ไม่ช้าคุณก็จะค่อยๆ ลดการติดเค็มได้

อาทิตย์นี้ขอแถมข่าวคราวเรื่องการแพทย์ ทางเลือกและการแพทย์แบบ ผสมผสาน ซึ่งกำลังเป็นเรื่องฮิต อยู่ขณะนี้ อีกนิดหนึ่งครับ

ทางกระทรวงสาธารณสุขกำลังมีโครงการที่จะตั้งกรมใหม่ขึ้นมา เพื่อรองรับเรื่องการแพทย์ ทางเลือก และการแพทย์ ผสมผสาน พอดีกับนโยบาย ใหม่ของรัฐบาล เรื่องการปฏิรูป กระทรวง ทบวง กรม กำลังเข้าสู่ การพิจารณา ของรัฐสภาพอดี

ผมได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เมื่ออาทิตย์ ที่แล้ว เกี่ยวกับการพิจารณา ข้อมูลการแพทย์ทางเลือก

การอภิปรายและแสดงความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ทางเลือก มีข้อคิด ที่น่าสนใจ มากครับ แต่โดยเหตุ ที่จะเป็นการผิดมารยาท เป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากผม จะเอาเรื่อง ของการประชุม มาพูดเปิดเผย ในที่นี้ เพราะฉะนั้น ผมจะไม่พูด ถึงการประชุม แต่อยากจะเน้น ความเห็นส่วนตัว ของผม เกี่ยวกับการแพทย์ ทางเลือกไว้ดังนี้

1. การแพทย์ทางเลือกหลายๆ แนวทาง ซึ่งผู้รู้ (จริงๆ) ได้รวบรวมแนวทางแขนงต่างๆ ของการแพทย์ ทางเลือกไว้แล้ว จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับแพทย์และประชาชน เพราะแพทย์มีทางเลือก ในการให้การรักษา มากขึ้น และประชาชน ก็มีทางเลือก ที่จะเลือกการแพทย์ ที่เหมาะกับ ความต้องการ ของตนเอง มากขึ้นด้วย

2. ไม่ควรเอาเรื่องชาตินิยมเข้ามาเป็นข้อต่อรองในการที่จะโน้มน้าวว่า กรมใหม่นี้ ควรจะชื่อ ว่าอย่างไร และเป็นของใคร แต่ควรจะพิจารณาว่า การแพทย์ทางเลือก จะทำประโยชน์ ให้กับประชาชน ได้มากที่สุดอย่างไร และแบบแผนต่างๆ ของการแพทย์ทางเลือกนั้น ควรจะเป็นเช่นไร มากกว่า.

ไทยรัฐ ๒๘ ก.ค. ๔๕ ชีวจิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น