วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บางครั้งก็เส้นผมบังภูเขา

ตั้งแต่ผมกลับจากอเมริกาเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา นึกว่าจะได้หยุดพักการเดินทางบ้าง แต่กลับตรงกันข้ามครับ ผมกลับต้องเดินทางทุกวันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ มีเรื่องที่จะมาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังหลายเรื่อง เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ

ตอนนี้กำลังใกล้ปีใหม่เข้าไปทุกทีแล้ว คนไทยกำลังเริ่มเตรียมซื้อข้าวของเป็นการใหญ่ โดย เฉพาะเรื่องอาหารการกินเตรียมไว้ฉลองงานปีใหม่ก็คึกคักกันมากตั้งแต่บัดนี้ ผมขอคุยเรื่องอาหารที่ค้างคามาแล้วสองเรื่อง เป็นเรื่องที่ผมเคยตั้งข้อสังเกตเรื่องความสกปรก และอันตราย ของความมักง่ายของผู้ประกอบการอาหารของคนไทยด้วย

ผมต้องเดินทางไปเรื่องการจัดคอร์สสุขภาพที่เมืองกาญจนบุรีบ่อยๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วระหว่างขับรถกลับกรุงเทพฯ ผ่านนครปฐมและพุทธมณฑล ก็เจอเรื่องเก่าที่เขียนเอาไว้เมื่อปีที่แล้ว คือเรื่องรถบรรทุกหมู

รถบรรทุกหมูที่วิ่งอยู่ข้างหน้าผมเป็นรถกระบะเปิดท้าย ไม่มีหลังคาท้ายรถ จะเห็นหมูสดๆ วางซ้อนๆ กันระเกะระกะเต็มกระบะท้ายรถ เมื่อครั้งก่อนๆ ผมเดินทางแถวนี้เมื่อไหร่ ก็จะเห็นรถบรรทุกหมูประเภทนี้ทุกครั้ง และครั้งก่อนๆ ร้ายกว่าครั้งนี้ ก็เป็นหน้าฝน ฝนตกพรำๆตลอดเวลา นํ้าฝนขังอยู่นองที่กระบะรถ ไหลลงใต้กระบะเหมือนนํ้าประปา เป็นนํ้าฝนผสมกับเลือดและเนื้อหมูที่บรรทุก ครั้งสุดท้ายนี้ไม่มีฝน แต่ก็มีแมลงวันเกาะอยู่เต็มเนื้อหมูที่บรรทุกมานั้น

วิธีแก้แมลงวันตอมหมูที่พวกขนรถบรรทุกเหล่านี้แอบทำเป็นบางคันก็คือ ใช้ยาฆ่าแมลงหรือ ยาสเปรย์พ่นทั่วหมูเป็นซีกๆ ที่วางซ้อนอยู่ข้างบน บางคนเอาฟอร์มาลินผสมนํ้าราดหมูสดๆ เหล่านั้น แต่ฟอร์มาลินคงจะกันแมลงวันไม่ได้ แมลงวันจึงเกาะอยู่เต็มระหว่างทางที่รถผ่านมา

ตรงจุดนี้ขอหยุดไว้ก่อน และตั้งคำถามคุยกันระหว่างที่ผู้อ่านและผมเองซึ่งเป็นผู้บริโภค โดยตรงของอาหารสกปรกเหล่านี้ ขอตั้งคำถามระหว่างพวกเราผู้บริโภคด้วยกันว่า ปล่อยให้พวกพ่อค้ามักง่ายเหล่านี้ทำมาหากิน ด้วยการฆ่าผู้บริโภคทางอ้อมอยู่ทุกวันๆ อย่างนี้ได้อย่างไร

เราจะเห็นประกาศคำชักชวนของทางราชการอยู่เสมอ ให้ผู้ประกอบการเกี่ยวกับอาหารเหล่านี้ ช่วยกันรักษาความสะอาด และบางรายของการโฆษณาถึงกับวิงวอน ให้ผู้ประกอบการ สงสารผู้บริโภค อย่ามักง่าย อย่าใส่สารพิษ ให้พยายามรักษาความสะอาด เพื่อเห็นแก่ชีวิตและสุขภาพของพี่น้องชาวไทย ด้วยกัน

ป่วยการครับ ในเรื่องอ้อนวอน “เสืออย่าเพ่อฆ่ากวางเลย” เสือมัน ก็ต้องฆ่ากวางวันยังคํ่า ทั้งวิ่งไล่ฆ่าโดยตรง และแอบดักฆ่า ไม่ว่าเทวดาหน้าไหนมาอ้อนวอน ไม่มีทางสำเร็จ

ทีนี้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ต่างๆเล่าครับไปอยู่ ที่ไหนกันหมด ผมไม่มีความรู้ ว่าการฆ่าสัตว์มาขายกันกลางตลาด จะแจ้งอย่างนั้น ต้องผ่านกรรมวิธีและการตรวจตราของ เจ้าหน้าที่แผนกใดบ้าง แต่ทราบแน่นอนว่า การฆ่าสัตว์เพื่อ นำเนื้อมาขายผู้บริโภคนั้น ต้องไปฆ่าที่โรงฆ่าสัตว์ โรงฆ่าสัตว์เหล่านี้ก่อนจะก่อตั้งเป็นโรงฆ่าสัตว์ขึ้นมา ต้องผ่านการตรวจตราและการอนุมัติของราชการ หลายกรมกอง ต้องผ่านมาตรการความสะอาดความปลอดภัย ของคนงานที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ รวมทั้งมาตรการเกี่ยวกับการตรวจโรค ตรวจสัตว์ต่างๆ อย่าง “เฉียบขาดและแน่นอน” ว่าสัตว์ที่นำมาฆ่านั้นสะอาดและปลอดภัยสำหรับผู้บริโภคด้วย

สัตว์ต่างๆเมื่อจะฆ่าต้องผ่านโรงฆ่าสัตว์เหล่านี้ ถ้าไม่ผ่านก็เป็น “เนื้อสัตว์เถื่อน” ผิดกฎหมาย และผู้ฝ่าฝืนต้องถูกจับกุมตัวไปลงโทษ

แต่เนื้อหมูบนรถกระบะสามสี่คันที่วิ่งตัดหน้ารถผมไปนั้น เป็นเนื้อสัตว์ถูกต้อง ตามกฎหมายแน่นอน เพราะถูกฆ่าใน โรงฆ่าสัตว์ มีใบอนุญาตมาแล้ว แต่มาตรการ ในการขนส่งอาหาร มาตรการความสะอาดและปลอดภัย ของผู้บริโภคเล่าครับ มีใครรับผิดชอบ

ผมไม่ทราบว่าเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขด้วยหรือเปล่า และหน้าที่ของฝ่ายมหาดไทย เช่น เทศบาล ที่ควบคุมโรงฆ่าสัตว์ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมการจราจรและขนส่ง เกี่ยวข้องหรือเปล่าครับ ถ้าเกี่ยวท่านไปอยู่เสียที่ไหน?

จะมีใครที่จะกรุณาแจ้งให้ผมทราบบ้างไหมครับว่า “ใครเป็นผู้รับผิดชอบ” หรือใครควรจะรับผิดชอบ

ก่อนจะมาถึงเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งเกี่ยวกับการบริโภคอาหารสกปรก ขอเล่าถึงเนื้อสัตว์อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องเก่าค้างคามานาน

ระหว่างเดินทางจากกรุงเทพฯไปสกลนคร ซึ่งทุกครั้งผมจะเลือกเส้นทางเข้าสกลนคร ผ่านทาง ภูพาน และทุกครั้งอีกเหมือนกันผมจะเห็นรถบรรทุกหมาเต็มคันรถผ่านไปหลายคัน

รถเหล่านี้เป็นรถกระบะแบ่งเป็นสองชั้น มีลูกกรงเหล็กตาข่ายล้อมกรอบ จะเห็นหมาใหญ่หมาน้อยอัดแน่นอยู่ในรถกระบะเหล่านั้น ยิ่งถ้าเป็นตอนกลางคืน ถ้าขับรถตามหลังรถกระบะเหล่านี้ จะเห็นแววตาหมาใหญ่น้อยเหล่านี้เป็นแสงเรืองสีเขียว หลายร้อยคู่มองมาที่รถของเรา

หมาทุกตัวท่าทางน่าสงสารครับ ดูหน้าตาท่าทางของมันแล้วจะรู้สึกเหี่ยวแห้งทันที มันคงจะรู้ว่าจะถูกนำไปฆ่าเป็นอาหาร

รถเหล่านี้มีเป็นหลายคันแถวภูพาน ผมทราบมาว่าเส้นทางสายอื่นที่เข้ามาสู่สกลนครนั้น ก็มีรถเหล่านี้มากเช่นกัน รวมแล้วรถที่ตระเวนไปซื้อหมาตามแถวหมู่บ้านและจังหวัดใกล้เคียงนั้น วันหนึ่งๆ คงจะหลายสิบคัน และหมาวันละหลายร้อยตัว

เนื้อหมาเหล่านี้เดิมทีเป็นที่นิยมกันในหมู่ชาวญวน แต่เดี๋ยวนี้ระบาดไปในกลุ่มคนไทยและชาวจีน แถวอีสานดูเหมือนจะมากกว่าชาวญวนเสียอีก นัยว่าไปทำเป็นเนื้อแดดเดียว หรือทำลาบอร่อยนักหนา ว่ากันว่าเนื้อหมามีกลิ่นสาบ ก็มีคนหัวดีคิดวิธีแก้กลิ่นสาบได้ เวลาเขาฆ่าวัวฆ่าควายเขาจะเก็บ “ขี้อ่อน” ของวัวควายที่เรียกกันว่า “เพี้ย” ไว้ เพี้ยมีรสขม เขาก็จะเอาเพี้ยผสมน้ำคลุกกับเนื้อหมา ก็ไม่มีกลิ่นสาบเลย

ยังมีอีกหลายวิธีที่แก้กลิ่นสาบของหมาได้ ผมขี้เกียจเอามาจาระไน เพราะไม่อยากจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องเนื้อหมา

แต่สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็คือ คนไทยเรานิยมกินของแปลกๆกันเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคอเหล้า กลัวว่าอีกไม่ช้าจะนิยมกินเนื้อหมากันไปทั่วเมืองหรือทั่วประเทศ

คำถามของผมไม่เกี่ยวกับความนิยมหรือค่านิยมในการกินเนื้อหมา ผมห่วงก็แต่ว่าความสะอาด และปลอดภัยในการฆ่าหมาและนำเนื้อหมามาบริโภคนั้นมีเพียงพอหรือเปล่า

หมาเหล่านั้น พวกพ่อค้าหมาตระเวนไปซื้อตามหมู่บ้าน แล้วก็นำไปฆ่ากันเอง ก็แน่นอนว่าต้องถือว่าเป็น “เนื้อเถื่อน” ความสะอาดและปลอดภัยนั้น อย่าไปเอ่ยถึงเลย หมาทุกตัวอยู่ในสภาพหมา กลางถนน ไม่เคยถูกอาบน้ำหรือดูแลความสะอาดเลย หมาบางตัวเป็นขี้เรื้อนอยู่แล้วด้วยซ้ำ

ผมมีเรื่องที่จะเขียนถึงโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากความสกปรกของอาหารอีกมากพอสมควร จริงๆแล้วไม่เพียงแต่เนื้อหมูหรือเนื้อหมาที่เอ่ยถึงมานี้หรอกครับ แต่เนื้อสัตว์และอาหารทุกอย่างทุกชนิดเกี่ยวกับสุขภาพของเราทุกคนด้วย

และไม่ต้องห่วงว่าผมจะเขียนเรื่องเนื้อหมูหรือเนื้อหมาอร่อยๆ สำหรับตัวผมเอง เพราะแท้ที่จริงนั้น ผมไม่กินหมูหรือหมาอยู่แล้ว.

# # # # # # # #

รำตะบองและสนทนากับอาจารย์สาทิส

เชิญสมาชิกและท่านที่สนใจรำตะบองลาปีเก่ารับปีใหม่ และพบกับอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง ที่สวนสนามกอล์ฟรถไฟ หลังสวนจตุจักร เริ่มเวลา 6 โมงเช้า วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม

กรุณานำตะบอง-ผ้าปูนั่ง และข้าวหม้อ แกงหม้อมารับประทานอาหารร่วมกันด้วย.

ไทยรัฐ ๙ ธ.ค. ๔๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น