คุณพินิจ นิติมงคลวาส จาก อ.บำเหน็จณรงค์ ชัยภูมิ ส่งแฟกซ์มาถามผมเรื่องการออก กำลังกายว่า จะเป็นตอนเช้า หรือตอนเย็นถึงจะดี คุณพินิจได้อ้างถึงบทความในหนังสือพิมพ์ ชิ้นหนึ่งว่า ได้มีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยบรูเนล ประเทศอังกฤษ ได้พบว่า นักกีฬาที่ได้ ฝึกซ้อมออกกำลังตอนเช้าจะมีระดับฮอร์โมนคอร์ติโซลสูงผิดปกติ และได้สรุป (เข้าใจว่าคนแปลบทความคงจะสรุปเอง ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเป็นผู้สรุป) ว่าการออกกำลัง ตอนเช้านั้นจะทำให้ขี้โรค ฉะนั้นนักกีฬาควรจะหลีก-เลี่ยงการฝึกซ้อมตอนเช้า เพราะ “แทนที่จะแข็งแรง กลับอ่อนแอ”
คุณพินิจจึงถามว่า แล้วผมจะว่าอย่างไร
เอาละครับ เมื่อถามมาจากที่ไกลๆ อย่างชัยภูมิเช่นนี้ ก็ต้องถือโอกาสสนองพระเดชพระคุณให้ได้ ขอตอบเป็นข้อๆ เลยนะครับ
1. เป็นลักษณะประจำตัวของผมอย่างหนึ่ง เมื่อจะพูดถึงเรื่องอะไร โดยเฉพาะเรื่องวิชาการ ต้องรู้ให้ได้เสียก่อนว่า ใครเป็นคนพูด เชื่อได้หรือไม่ อย่างไร
มหาวิทยาลัยบรูเนลที่ถูกอ้างถึงนั้นเป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ซึ่งอาชีพสำคัญส่วนหนึ่งก็คือรับจ้างทำ การค้นคว้าหรือรีเสิร์ชให้กับบริษัทและกลุ่มเอกชนต่างๆ แต่การทำรีเสิร์ชเรื่อง คอร์ติโซลนี้ บรูเนลไม่ได้บอกเบื้องหลังว่า ทำให้ใครหรือเพื่ออะไร อาจจะเป็นกลุ่มสถานที่ออกกำลังกาย แบบศูนย์ฟิตเนส หรือสปา ซึ่งกำลังเห่อกันอยู่ขณะนี้ก็เป็นได้
ก่อนอื่นต้องเข้าใจเสียก่อนว่า ฮอร์โมนคอร์ติโซลคืออะไร ฮอร์โมนตัวนี้จะเกิดมาจากต่อ มอดรีนัลหรือต่อมหมวกไต จะเกิดขึ้นได้ด้วยสาเหตุสองประการ คือ จากทางใจอย่างหนึ่ง และทางกายอีกอย่างหนึ่ง
ทางใจนั้นเกิดจากการตื่นเต้น ตกใจ หรือจากความกลัว ถ้าหากเราจะต้องสู้กับอะไรสักอย่างหนึ่ง จะเป็นด้วย การจะต้องรุกราน หรือจะเพื่อป้องกันตัวเราเอง ต่อมหมวกไตจะขับฮอร์โมน ตัวนี้ออกมา เพื่อให้เรามีพละกำลัง ที่จะวิ่งหนี หรือต่อสู้
ในด้านทางกาย ถ้าหากเรากำลังจะออกแรง อย่างเช่น กำลังเล่นกีฬา หรือต่อสู้กับอะไร สักอย่าง ร่างกาย ก็จะขับฮอร์โมน ตัวนี้ออกมา เพื่อให้เรามีแรง ที่จะต่อสู้ หรือรับน้ำหนักสู้ กับการออกแรงนั้นได้
ถ้าพูดถึงนิสัยประจำตัวของฮอร์โมนตัวนี้ จะทำให้ผู้ที่มีฮอร์โมนตัวนี้มากๆ จะมีความก้าวร้าว โกรธเกรี้ยว ประจำตัว จะแสดงอาการก้าวร้าว เหมือนกับอยากจะฆ่าใคร อยู่เป็นประจำ
ลองดูพวกนักกีฬา เช่น นักมวย นักฟุตบอลอเมริกัน ดูซิครับ เวลาเขาเล่นกีฬา ไม่เหมือนกับ เขากำลัง “เล่น” อยู่เลย แต่เหมือนกับ เขากำลังจะ “ฆ่า” คนมากกว่า
นอกไปจากนั้นนักกีฬาเอกมีมากมาย ความจริงนักกีฬาเหล่านี้มีความสามารถพอๆ กัน แต่ถ้านักกีฬาคนไหน มีฮอร์โมนคอร์ติโซลมากๆ เขาจะเอาชนะนักกีฬาคนอื่นๆ ได้ ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้ อาจจะเป็น คนเก่งพอๆ กัน แต่ถ้าขาดฮอร์โมนคอร์ติโซล คือขาดความก้าวร้าว -โกรธเกรี้ยวเสียแล้ว ก็มีโอกาสจะแพ้ คู่ต่อสู้อยู่มาก
ฉะนั้นการที่ออกกำลัง หรือฝึกซ้อมแล้วมีคอร์ติโซลมากหรือน้อยนั้นไม่ได้อยู่ที่ฝึกตอนเช้า หรือตอนเย็น หรอกครับ แต่อยู่ที่เขามีความก้าวร้าวมาก ออกแรงมาก และอยากจะเอาชนะ มากหรือเปล่าต่างหาก
เรื่องฮอร์โมนคอร์ติโซลนี้เป็นเรื่องที่จะพูดกันยาว ยาวมากจริงๆ ซึ่งหน้ากระดาษของเรามีไม่พอ จึงขอพูดถึงสั้นๆ เพียงแค่นี้ก่อน ขอสรุปอีกครั้งหนึ่งว่า คอร์ติโซล จะหลั่งมากหรือหลั่งน้อยนั้น ไม่เกี่ยวกับ การออกกำลังตอนเช้า หรือตอนเย็นเลยทีเดียว
2. ตอนนี้ก็มาถึงคำตอบที่ว่า แล้วจะออกกำลังตอนเช้า หรือตอนเย็นดีเล่า คำตอบของเรา ตามหลัก ของชีวจิต และการแพทย์ แบบผสมผสาน ขอตอบแบบฟันธง เลยแหละครับว่า ออกกำลังตอนเช้า ดีกว่าตอนเย็นแน่
แต่ก็อีกนั่นแหละ ชีวิตของคนสมัยนี้ แสนจะรีบร้อน และค่อนข้างเครียด หาเวลาเฉพาะเจาะจง ที่จะทำอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นประจำแสนจะลำบาก เพราะฉะนั้น ถ้าชีวิตของคุณ ตกที่นั่งลำบากอย่างนี้ ก็เลือกเวลาให้พอดีๆเถิดครับ จะเป็นตอนเย็นก็ได้ ถ้าตอนเช้าไม่สะดวก ข้อสำคัญ คุณต้อง ออกกำลังกาย ให้สม่ำเสมอก็แล้วกัน
3. ขอแถมต่ออีกนิดว่า ทำไมจึงสนับสนุนให้ออกกำลังตอนเช้า ขอตอบเป็นข้อๆว่า
3.1 มันเป็นธรรมชาติดี หลักข้อแรกของชีวจิตมีอยู่ว่า “ต้องใช้ชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ” ชีวิตตามธรรมชาติ ของคน และสัตว์ เริ่มต้นตั้งแต่เช้ามืด
สมัยก่อนนี้เราไม่รู้จักคำว่า “ออกกำลังกาย” หรือ “พลศึกษา” เรารู้ว่าชีวิตต้องมีการทำงาน การทำงาน ก็เป็นไปตามธรรมชาติ ตื่นเช้าเราก็แบกจอบแบกเสียม ไปทำไร่ไถนา นั่นคือการไปทำงาน และ ขณะทำงาน ก็เท่ากับ เราต้องออกกำลังกาย พร้อมกันไปด้วย ทำงานก็คือ การออกกำลังกาย และ ออกกำลังกาย ก็คือการทำงาน
เดี๋ยวนี้ชีวิตของเราเปลี่ยนไป เราต้องจำเจอยู่ในออฟฟิศ หรือสำนักงานตลอดวัน ไม่มีเวลาจะออกแรง หรือออกกำลังกายกันเลย จึงกลายเป็นว่าต้องหาเวลาออกกำลังกายตามเวลา ที่สะดวกของตนเอง เราขอแนะนำว่า ควรออกกำลังกายตอนเช้า ถ้าเช้าไม่ได้ก็หาเวลาอื่นๆ ที่สะดวกก็แล้วกัน ข้อสำคัญ ขอให้ออกกำลังกายให้ได้ถึง “พีค” (PEAK) นั่นคือเหงื่อออกพลั่กๆ หัวใจเต้นแรง วัดชีพจรได้ถึง 100 หรือ 120 ครั้งต่อนาที
เมื่อได้ถึงพีคแล้ว ร่างกายของคุณจะหลั่งโกร้ธฮอร์โมน (GROWTH HORMONE) ออกมา นั่นคือ ฮอร์โมนในตัวคุณ เป็นยาวิเศษ ทำให้สดใส สดชื่น ดูเป็นหนุ่มเป็นสาวกว่าอายุจริงๆ สุขภาพของคุณ ก็ดีเลิศด้วย
3.2 ออกกำลังตอนเช้า ธรรมชาติทุกอย่างสดชื่นสวยงามและสะอาด ไม่มีมลพิษ ไม่มีฝุ่นละออง สมัยก่อนๆ เมื่อฝึกโยคะ หรือชีกง ไท้เก๊ก ครูบาอาจารย์เขาก็จะสอนกันตอนเช้า ไม่เคยได้ยินว่ามี ใครสอนให้เล่นโยคะ หรือรำมวยจีนตอนเย็นๆ ฉะนั้นถ้าออกกำลังกาย ถ้าเลือกได้ ก็ออกกำลัง ตอนเช้านั่นแหละ ดีที่สุด
ถ้าเผื่อออกกำลังกายตอนเช้ามีโทษจริง (ตามที่คนแปลบทความนี้ว่าไว้) ป่านนี้ คนออกกำลังกาย ทั่วโลก (ทั่วโลกจริงๆ ยืนยันได้) ซึ่งออกกำลังตอนเช้าทั้งนั้น ป่านนี้มิตายหมดแล้วหรือ.
* * * * * * * * * *
ไปเที่ยวออกกำลังกายตอนเช้า
ขอชักชวนเพื่อนๆ ชีวจิตและที่กำลังสนใจชีวจิตทั้งหลาย ไปเที่ยวกันดีไหมครับ เช้าวันอาทิตย์ที่ 22 กันยายนนี้ เราจะไปเที่ยวกัน-ออกกำลังกายกัน-รำตะบองกัน ที่ บริเวณริมเขื่อน หน้าตลาด เทศบาล อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. เช้า เป็นต้นไป
ไปพบกับอาจารย์สาทิสด้วย จะมีการบรรยายและตอบถามปัญหาสุขภาพ และสังสรรค์สนทนา อย่างกันเอง หลังจากการออกกำลังกายแล้ว
ไม่ต้องเสียเงินครับ ใครที่ใจดีหน่อยก็ช่วยกันหิ้วข้าวหม้อ-แกงหม้อไปแบ่งกันกินนะครับ จะได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกมากมายเลย
รายละเอียดเพิ่มเติม โทร. คุณระพี 0-1856-5940 คุณธีระ 0-1889-1891.
ไทยรัฐ ๑๕ กันยายน ๒๕๔๕
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552
อย่านึกว่าเป็นเรื่องเล็กๆ กระดาษหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่มีไว้เช็ดก้น
ผมไปโคราชเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ไปถึงในเมืองเมื่อเกือบจะบ่าย หาร้านอาหารแบบไทยๆ ก็ไม่มีเวลาจะไปหา จึงนึกว่าเอาที่ง่ายๆ และสะดวก น่าจะเป็นที่ศูนย์การค้า
มีศูนย์การค้าใหญ่เยื้องๆ กับอนุสาวรีย์ ย่าโม อย่าให้ออกชื่อเลยครับว่าเป็นศูนย์ การค้าอะไร แต่ถ้ายืนหันหน้าเข้าย่าโม ศูนย์การค้านี้จะอยู่ตรงหัวมุมถนนทางขวามือ ข้างคูเมืองหัวมุมถนน นั่นแหละ
มีร้านอาหารสุกียากี้อยู่ชั้นล่างสุด แต่ก่อนจะเข้าร้านอาหารผมเดินขึ้นชั้นสองเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำก่อน เจอเรื่องช็อกครั้งแรกในห้องน้ำนั่นเอง
ในห้องส้วมทุกห้องเขาไม่ใช้กระดาษชำระ แต่ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมปึกใหญ่ เสียบไว้ช่องกระดาษชำระทุกห้อง
เข้าใจว่าคงไม่มีใครสะดุดใจเรื่องใช้ กระดาษหนังสือพิมพ์เป็นกระดาษชำระ เพราะในถังขยะก็มี กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ใช้เป็นกระดาษชำระแล้วอยู่เต็มถัง
ไม่มีใครคิดหรือสะดุดใจก็แล้วไปเถิดครับ ผมเองอยากจะฝากข้อคิดไว้ สองอย่าง อย่างหนึ่งก็เรื่อง ความสะอาดและความปลอดภัยจากการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์
สมัยเก่าๆ ขนาดปู่ย่าตายายของเรา ผมคิดว่าการชำระอุจจาระของเราค่อนข้างจะทุลักทุเล ของเก่าที่ คนรุ่นก่อนของเราใช้ก็คือใช้ไม้ สมัยเด็กๆ ผมจำได้ว่าเวลาชาวบ้านจะทำบุญ เขามักจะเหลาไม้ซี่เล็กๆ เป็นมัดๆ เอาไปถวายพระด้วย โดยเฉพาะพระวัดกรรมฐาน
แต่เท่าที่ทราบเมื่อเขาใช้ไม้กวาดอุจจาระออกไปแล้ว เขาก็จะตามด้วยการล้างน้ำ ห้องส้วมของ ชาวบ้าน มักจะมีตุ่มน้ำเล็กๆ และมีกระป๋องน้ำวางไว้ด้วย เมื่อใช้ไม้ชำระแล้วก็ล้าง ด้วยน้ำต่อ ก็คงจะพอใช้ได้ ส่วนเรื่องมือที่สกปรกจะล้างด้วยสบู่ต่อนั้น สมัยก่อนยังไม่เคยมี
ต่อมาที่บ้านผู้มีอันจะกินหน่อย ก็มักจะใช้กระดาษฟางตัดเป็นแผ่นเล็กๆ แล้วก็มักจะมีน้ำล้างก้น ตามมาด้วย และคงจะเรียนรู้เรื่องอนามัยกันมาบ้างแล้ว เพราะผมจำได้ รุ่นคุณพ่อคุณแม่ผม ท่านมีสบู่ไว้ล้าง มือหลังจากชำระล้างแล้ว
ครั้นเมื่อมาประมาณ 80 ปีมานี่เอง ก็ถึงสมัยของส้วมซึม ทั้งๆ ที่ความสะดวกและความสะอาด ปลอดภัย มีมากขึ้น แต่การใช้กระดาษฟางและน้ำล้างมือ ก็ยังไม่แพร่หลายกันมากเท่าไหร่ แต่กลับมีการใช้ กระดาษหนังสือ พิมพ์กันอย่างแพร่หลายขึ้นมาแทนที่
สมัยนั้นแหละครับ คนเป็นโรคเกี่ยวกับ ลำไส้ และระบบขับถ่ายมากมาย ยิ่งใช้ กระดาษหนังสือพิมพ์ มาก ความสกปรก ก็ยิ่งมาก ในห้องส้วมสมัยก่อนตาม ร้านอาหารเป็นต้น กระดาษหนังสือพิมพ์ ที่ใช้ชำระแล้ว จะโยนเกลื่อนเต็มห้องส้วม แมลง สาบตัวโตๆ ยั้วเยี้ย แถมยังมีหนูวิ่งพล่านอีกด้วย
เชื่อไหมเล่าครับ ส้วมสกปรก อาหารการกินก็สกปรกตามไปด้วย ผมจำได้ว่า ร้านอาหารอร่อยๆ แถวเยาวราช-ราชวงศ์นี่แหละ อย่างร้านโจ๊กหมู ไก่-กระเพาะ-เครื่องใน พ่อครัวนุ่งกางเกงในขาก๊วย ตัวเดียว เสื้อไม่ใส่ เหงื่อพลั่กๆเต็มตัว เวลาเข้าห้องน้ำจะปัสสาวะ หรืออุจจาระไม่เคยล้างมือ และก็มักจะเชี่ยว-ชาญเรื่องการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เป็นกระดาษชำระอย่างแน่นอน
โรคสมัยนั้นขึ้นชื่อลือชาคือ ริดสีดวงทวาร โรคลำไส้ และโรคกระเพาะ ผมเรียนรู้มาตั้งแต่สมัย รุ่นหนุ่มสาวแล้วว่า เรื่องของการกินและการขับถ่ายนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ถ่ายสกปรก กินก็ต้องสกปรกตามไปด้วย
เข้าใจว่ามีการรณรงค์ให้เลิกใช้หนังสือ พิมพ์ คุณประยูร จรรยาวงศ์ นักการ์ตูน และต้องถือว่าท่านเป็น ศิลปินเอก ซึ่งได้รับรางวัลแมกไซไซมาแล้ว สมัยท่านอยู่ “สยามรัฐ” ร่วมกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็เคยเขียนการ์ตูนบรรยายถึงอันตรายของการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ เป็นกระดาษชำระ เมื่อครั้งหลัง มาอยู่ “ไทยรัฐ” แล้ว ผมจำได้ว่าท่านก็เคยรณรงค์เรื่องให้เลิกใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ อีกเหมือนกัน
ตัวกระดาษหนังสือพิมพ์สมัยที่ยังเป็นกระดาษเฉยๆ ยังไม่ได้เอามาพิมพ์ก็ไม่เหมาะ กับการเอามา เป็นกระดาษ ชำระอยู่แล้ว กระดาษก่อนจะขาว เขาต้องฟอกด้วยกรดกำมะถัน เมื่อฟอกแล้ว เอามาทำ เป็นกระดาษพิมพ์ หมึกพิมพ์ดำและหมึกสีต่างๆ ที่เอามาพิมพ์ก็มีสารอันตราย หลายอย่าง ต่ออวัยวะบางๆ ของคน (อย่างเช่น ทวารหนัก) มีทั้งสารปรอท ไซยาไนด์ และสารหนู รวมอยู่ใน หมึกพิมพ์ เมื่อเอามาเช็ดก้น นอกจากกระดาษจะแข็ง ทำให้รูก้น เป็นแผลแล้ว สารอันตรายต่างๆ ก็ทำให้เป็นริดสีดวง และยังลามเข้าไป ถึงข้างในลำไส้ใหญ่ อย่างสะดวกสบาย ยิ่งขึ้นด้วย
นั่นเป็นแง่คิดข้อแรกจากอันตรายที่เกิดขึ้น แง่คิดข้อที่สองก็คือ ลูกค้าที่ไปใช้บริการของ ศูนย์การค้า แห่งนี้ คิดบ้างหรือเปล่าว่า พ่อค้าเจ้าของศูนย์การค้านั้น เขาดูถูกลูกค้าเหลือเกิน ว่าเราเป็นคนป่าคน ดอยมาจากไหนก็ไม่รู้ หน้าที่ของเขาจะต้องบริการลูกค้าและให้ความสะดวกแก่ ลูกค้านั้น เขาไม่สนใจ แต่เขาสนใจ อยู่แต่เพียงว่า จะฉวยโอกาสทำเงินทำกำไรใส่ตัวอย่างเดียว บริการเพียงไม่กี่บาท ที่จะต้องลงทุน ให้ลูกค้า อย่างกระดาษชำระ สักม้วนนั้น เขาให้ไม่ได้
แล้วก็สร้างมาตรฐานความโก้หรูให้กับตนเองนั้นเพื่ออะไร มีรีเซฟชั่นสวยๆ โก้ๆ พนักงาน แต่งเครื่องแบบ หรูโก้นั้น เพื่ออะไร ตลอดเวลาโฆษณา เรียกร้องให้ลูกค้าซื้อสินค้า เสียงลั่น ศูนย์การค้านั้น เป็นการหลอกลวงลูกค้า ให้เสียเงินเข้ากระเป๋า แต่อย่างเดียวหรือเปล่า
ขอแถม อีกนิดครับว่า ลูกค้ามีสิทธิที่จะทวงการรับใช้และบริการที่ดีที่ถูกต้องจากพ่อค้านะครับ ใช้คำขวัญใหม่ว่า “อย่าปล่อยให้พวกพ่อค้าฉวยโอกาสลอยนวล”
ถ้าไม่รู้ว่าจะไปร้องเรียนที่ไหน ก็ใช้มาตรการง่ายๆ พร้อมใจกันอย่าเข้าศูนย์ การค้าแห่งนี้ โดยเด็ดขาด เสียเลย ลองดูว่าผู้ถูกเอาเปรียบกับผู้เอาเปรียบ ใครจะชนะ.
ไทยรัฐ ๘ กันยายน ๒๕๔๕
มีศูนย์การค้าใหญ่เยื้องๆ กับอนุสาวรีย์ ย่าโม อย่าให้ออกชื่อเลยครับว่าเป็นศูนย์ การค้าอะไร แต่ถ้ายืนหันหน้าเข้าย่าโม ศูนย์การค้านี้จะอยู่ตรงหัวมุมถนนทางขวามือ ข้างคูเมืองหัวมุมถนน นั่นแหละ
มีร้านอาหารสุกียากี้อยู่ชั้นล่างสุด แต่ก่อนจะเข้าร้านอาหารผมเดินขึ้นชั้นสองเพื่อจะไปเข้าห้องน้ำก่อน เจอเรื่องช็อกครั้งแรกในห้องน้ำนั่นเอง
ในห้องส้วมทุกห้องเขาไม่ใช้กระดาษชำระ แต่ใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ตัดเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมปึกใหญ่ เสียบไว้ช่องกระดาษชำระทุกห้อง
เข้าใจว่าคงไม่มีใครสะดุดใจเรื่องใช้ กระดาษหนังสือพิมพ์เป็นกระดาษชำระ เพราะในถังขยะก็มี กระดาษหนังสือพิมพ์ที่ใช้เป็นกระดาษชำระแล้วอยู่เต็มถัง
ไม่มีใครคิดหรือสะดุดใจก็แล้วไปเถิดครับ ผมเองอยากจะฝากข้อคิดไว้ สองอย่าง อย่างหนึ่งก็เรื่อง ความสะอาดและความปลอดภัยจากการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์
สมัยเก่าๆ ขนาดปู่ย่าตายายของเรา ผมคิดว่าการชำระอุจจาระของเราค่อนข้างจะทุลักทุเล ของเก่าที่ คนรุ่นก่อนของเราใช้ก็คือใช้ไม้ สมัยเด็กๆ ผมจำได้ว่าเวลาชาวบ้านจะทำบุญ เขามักจะเหลาไม้ซี่เล็กๆ เป็นมัดๆ เอาไปถวายพระด้วย โดยเฉพาะพระวัดกรรมฐาน
แต่เท่าที่ทราบเมื่อเขาใช้ไม้กวาดอุจจาระออกไปแล้ว เขาก็จะตามด้วยการล้างน้ำ ห้องส้วมของ ชาวบ้าน มักจะมีตุ่มน้ำเล็กๆ และมีกระป๋องน้ำวางไว้ด้วย เมื่อใช้ไม้ชำระแล้วก็ล้าง ด้วยน้ำต่อ ก็คงจะพอใช้ได้ ส่วนเรื่องมือที่สกปรกจะล้างด้วยสบู่ต่อนั้น สมัยก่อนยังไม่เคยมี
ต่อมาที่บ้านผู้มีอันจะกินหน่อย ก็มักจะใช้กระดาษฟางตัดเป็นแผ่นเล็กๆ แล้วก็มักจะมีน้ำล้างก้น ตามมาด้วย และคงจะเรียนรู้เรื่องอนามัยกันมาบ้างแล้ว เพราะผมจำได้ รุ่นคุณพ่อคุณแม่ผม ท่านมีสบู่ไว้ล้าง มือหลังจากชำระล้างแล้ว
ครั้นเมื่อมาประมาณ 80 ปีมานี่เอง ก็ถึงสมัยของส้วมซึม ทั้งๆ ที่ความสะดวกและความสะอาด ปลอดภัย มีมากขึ้น แต่การใช้กระดาษฟางและน้ำล้างมือ ก็ยังไม่แพร่หลายกันมากเท่าไหร่ แต่กลับมีการใช้ กระดาษหนังสือ พิมพ์กันอย่างแพร่หลายขึ้นมาแทนที่
สมัยนั้นแหละครับ คนเป็นโรคเกี่ยวกับ ลำไส้ และระบบขับถ่ายมากมาย ยิ่งใช้ กระดาษหนังสือพิมพ์ มาก ความสกปรก ก็ยิ่งมาก ในห้องส้วมสมัยก่อนตาม ร้านอาหารเป็นต้น กระดาษหนังสือพิมพ์ ที่ใช้ชำระแล้ว จะโยนเกลื่อนเต็มห้องส้วม แมลง สาบตัวโตๆ ยั้วเยี้ย แถมยังมีหนูวิ่งพล่านอีกด้วย
เชื่อไหมเล่าครับ ส้วมสกปรก อาหารการกินก็สกปรกตามไปด้วย ผมจำได้ว่า ร้านอาหารอร่อยๆ แถวเยาวราช-ราชวงศ์นี่แหละ อย่างร้านโจ๊กหมู ไก่-กระเพาะ-เครื่องใน พ่อครัวนุ่งกางเกงในขาก๊วย ตัวเดียว เสื้อไม่ใส่ เหงื่อพลั่กๆเต็มตัว เวลาเข้าห้องน้ำจะปัสสาวะ หรืออุจจาระไม่เคยล้างมือ และก็มักจะเชี่ยว-ชาญเรื่องการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์เป็นกระดาษชำระอย่างแน่นอน
โรคสมัยนั้นขึ้นชื่อลือชาคือ ริดสีดวงทวาร โรคลำไส้ และโรคกระเพาะ ผมเรียนรู้มาตั้งแต่สมัย รุ่นหนุ่มสาวแล้วว่า เรื่องของการกินและการขับถ่ายนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ถ่ายสกปรก กินก็ต้องสกปรกตามไปด้วย
เข้าใจว่ามีการรณรงค์ให้เลิกใช้หนังสือ พิมพ์ คุณประยูร จรรยาวงศ์ นักการ์ตูน และต้องถือว่าท่านเป็น ศิลปินเอก ซึ่งได้รับรางวัลแมกไซไซมาแล้ว สมัยท่านอยู่ “สยามรัฐ” ร่วมกับท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็เคยเขียนการ์ตูนบรรยายถึงอันตรายของการใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ เป็นกระดาษชำระ เมื่อครั้งหลัง มาอยู่ “ไทยรัฐ” แล้ว ผมจำได้ว่าท่านก็เคยรณรงค์เรื่องให้เลิกใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ อีกเหมือนกัน
ตัวกระดาษหนังสือพิมพ์สมัยที่ยังเป็นกระดาษเฉยๆ ยังไม่ได้เอามาพิมพ์ก็ไม่เหมาะ กับการเอามา เป็นกระดาษ ชำระอยู่แล้ว กระดาษก่อนจะขาว เขาต้องฟอกด้วยกรดกำมะถัน เมื่อฟอกแล้ว เอามาทำ เป็นกระดาษพิมพ์ หมึกพิมพ์ดำและหมึกสีต่างๆ ที่เอามาพิมพ์ก็มีสารอันตราย หลายอย่าง ต่ออวัยวะบางๆ ของคน (อย่างเช่น ทวารหนัก) มีทั้งสารปรอท ไซยาไนด์ และสารหนู รวมอยู่ใน หมึกพิมพ์ เมื่อเอามาเช็ดก้น นอกจากกระดาษจะแข็ง ทำให้รูก้น เป็นแผลแล้ว สารอันตรายต่างๆ ก็ทำให้เป็นริดสีดวง และยังลามเข้าไป ถึงข้างในลำไส้ใหญ่ อย่างสะดวกสบาย ยิ่งขึ้นด้วย
นั่นเป็นแง่คิดข้อแรกจากอันตรายที่เกิดขึ้น แง่คิดข้อที่สองก็คือ ลูกค้าที่ไปใช้บริการของ ศูนย์การค้า แห่งนี้ คิดบ้างหรือเปล่าว่า พ่อค้าเจ้าของศูนย์การค้านั้น เขาดูถูกลูกค้าเหลือเกิน ว่าเราเป็นคนป่าคน ดอยมาจากไหนก็ไม่รู้ หน้าที่ของเขาจะต้องบริการลูกค้าและให้ความสะดวกแก่ ลูกค้านั้น เขาไม่สนใจ แต่เขาสนใจ อยู่แต่เพียงว่า จะฉวยโอกาสทำเงินทำกำไรใส่ตัวอย่างเดียว บริการเพียงไม่กี่บาท ที่จะต้องลงทุน ให้ลูกค้า อย่างกระดาษชำระ สักม้วนนั้น เขาให้ไม่ได้
แล้วก็สร้างมาตรฐานความโก้หรูให้กับตนเองนั้นเพื่ออะไร มีรีเซฟชั่นสวยๆ โก้ๆ พนักงาน แต่งเครื่องแบบ หรูโก้นั้น เพื่ออะไร ตลอดเวลาโฆษณา เรียกร้องให้ลูกค้าซื้อสินค้า เสียงลั่น ศูนย์การค้านั้น เป็นการหลอกลวงลูกค้า ให้เสียเงินเข้ากระเป๋า แต่อย่างเดียวหรือเปล่า
ขอแถม อีกนิดครับว่า ลูกค้ามีสิทธิที่จะทวงการรับใช้และบริการที่ดีที่ถูกต้องจากพ่อค้านะครับ ใช้คำขวัญใหม่ว่า “อย่าปล่อยให้พวกพ่อค้าฉวยโอกาสลอยนวล”
ถ้าไม่รู้ว่าจะไปร้องเรียนที่ไหน ก็ใช้มาตรการง่ายๆ พร้อมใจกันอย่าเข้าศูนย์ การค้าแห่งนี้ โดยเด็ดขาด เสียเลย ลองดูว่าผู้ถูกเอาเปรียบกับผู้เอาเปรียบ ใครจะชนะ.
ไทยรัฐ ๘ กันยายน ๒๕๔๕
มะเร็งกับการกินเนื้อสัตว์ (2) ผลงานของนายแพทย์ชาลส์ บี.ซิมโมน สถาบันมะเร็งแห่งชาติอเมริกา
กลุ่มนายแพทย์ชาลส์ บี. ซิมโมน ได้ ศึกษาทดลองเรื่องการกินเนื้อสัตว์กับหนูทดลอง และจากการสอบประวัติคนไข้ ไม่ต่ำกว่า 8,000 คน ในชั่วระยะเวลา 20 ปี ได้ผลเกี่ยวกับสารก่อมะเร็ง พอสรุปได้ดังนี้
การกินอาหาร อาหารเป็นส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง สำหรับมะเร็งทั่วไปนั้น มะเร็งเนื่องมาจากอาหารเป็นผู้หญิงถึง 60% และเป็นผู้ชาย 40%
มะเร็งชนิดต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องอาหารโดยตรงคือ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้เล็ก มะเร็งปาก มะเร็งลำคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งตับ มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งไทรอยด์
ส่วนมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ต่อมลูกหมากและไต ก็มีสาเหตุมาจากอาหารเหมือนกัน แต่นายแพทย์ซิมโมนได้เน้นว่า เนื่องมาจากการบริโภคเนื้อสัตว์และไขมันสัตว์มากเกินไป
อันที่จริงยังมีปัจจัยเสริมซึ่งไม่ใช่ปัจจัยโดยตรง ซึ่งทำให้เกิดมะเร็งได้อีก เช่น การสูบบุหรี่ การที่ถูกต้องสัมผัสกับสารเคมี การอยู่ในสิ่งแวดล้อมเลวๆ การดื่มเหล้า การใช้ฮอร์โมน การถูกรังสี ความเครียด เป็นต้น ปัจจัยเสริมที่กล่าวถึงเหล่านี้ ไม่ใช่ปัจจัยโดยตรงที่ทำให้เกิดมะเร็ง แต่จะต้องผสมกับปัจจัยอื่นๆ หลายอย่าง จึงทำให้เกิดมะเร็งได้
ฉะนั้น ครั้งนี้จะไม่พูดถึงปัจจัยเสริม แต่จะพูดถึงปัจจัยโดยตรง ซึ่งนายแพทย์ ซิมโมนศึกษา มาโดยเฉพาะ คือเรื่องไขมันสัตว์ และเนื้อสัตว์
สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เนื้อสัตว์มีสารก่อมะเร็งปนอยู่ในตัวสัตว์อยู่มากนั้น เนื่องมาจากการ เลี้ยงสัตว์สมัยนี้ทำกันในรูปแบบของอุตสาหกรรม สัตว์ซึ่งอยู่รวมกันเป็นหมื่นๆ ตัวนั้น ต้องกินอาหาร ตามสูตรซึ่งมีสารเคมีปนอยู่ ต้องกินยาปฏิชีวนะ ต้องกินและฉีดฮอร์โมน ต้องกินสารเคมีหลายอย่าง ซึ่งทำให้เนื้อสัตว์มีสีน่ากิน
การเลี้ยงสัตว์และฆ่าสัตว์มาเป็นอาหารนั้น เป็นการถ่ายทอดสารก่อมะเร็งมาสู่มนุษย์ผู้ บริโภคโดยตรง
นอกจากนั้น การนำเนื้อสัตว์มาสู่ตลาดและมาถึงผู้บริโภคก็จะไม่ได้เนื้อสัตว์สดๆ บางแห่งเนื้อสัตว์ ถูกเก็บ หรือแช่แข็งในห้องเย็น และเนื้อสัตว์ส่วนมากจะผ่านกรรมวิธี ในการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้ ให้ได้นานวัน
กรรมวิธีในการถนอมอาหารก็จะมีการตากแห้ง การบรรจุกระป๋อง การบรรจุขวด วิธีถนอมอาหารเหล่านี้ ต้องใช้สารเคมีประเภทที่รักษาอาหารไม่ให้บูดเน่า (PRESER-VATIVE) อย่างเช่น เกลือ ดินประสิว น้ำส้ม น้ำตาล ยากันบูด และไนไตรท์ (NITRITES) เป็นต้น การใช้ สารเคมีเหล่านี้ในปริ-มาณพอสมควรก็พอจะรับได้สำหรับผู้บริโภค แต่ก็ไม่ควรจะให้บ่อยและมากเกิน ปริมาณสมควร
ขออนุญาตนอกเรื่องสักนิดว่า การใช้ยาเคมีบางอย่าง ซึ่งนอกกฎเกณฑ์ โดยสิ้นเชิง อย่างเช่น ใช้ฟอร์มาลิน หรือฟอร์มาลดีไฮด์ (ยาดองศพ) ในอาหารเพื่อไม่ให้บูดเน่า เป็นการกระทำที่ เลวทรามอย่างยิ่ง เป็นการฆ่าผู้บริโภคแบบตายผ่อนส่งได้อย่างแน่นอน
กรรมวิธีอีกอย่างหนึ่งในการปรุงแต่งรสและภาพของอาหารให้ผิดไปจากความจริงก็คือ กรรมวิธีแบบ ADDITIVE คือการใส่สีสันและปรุงรสเปรี้ยวหวานมันเค็มเผ็ด ให้ดุเดือดและสีสันน่าดูผิดไปจาก ความจริง นี่ก็เป็นส่วนสร้างสารก่อมะเร็งได้อีกเหมือนกัน
ขอย้อนกลับมาถึง เรื่องเนื้อสัตว์ และไขมันสัตว์ อีกครั้งหนึ่ง นายแพทย์ซิมโมนชี้ให้เห็นว่า เนื้อสัตว์ที่ จะ ต้องเก็บไว้นานนั้น จะต้องใส่โซเดียม ไนไตรท์ ซึ่งทำให้เนื้อสัตว์อยู่คงทนและมีสีสวยงาม ไนไตรท์ ซึ่งอยู่ในเนื้อสัตว์ เช่น เบคอน หรือไส้กรอกชนิดต่างๆ นี้ ถ้ายังไม่ได้ไปปรุงเป็น อาหาร ก็ยังไม่มีพิษสง อะไรนัก แต่ถ้าถูกความร้อนเมื่อไหร่ จะเกิดปฏิกิริยา ทางเคมี เกิดเป็นสารก่อมะเร็งทันที
นายแพทย์ซิมโมน ได้ยกตัวอย่าง อาหารเช้าจานโปรดของ ชาวอเมริกันคือ หมูเบคอน และไข่ดาว ขนมปังขาว เบคอนนั้น เมื่อเอาไปทอด จะเกิดสารใหม่อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า ไนโตรซามีน (NITROSAMINE) ซึ่งก็คือสารก่อมะเร็ง
เมื่อเนื้อสัตว์ที่ถูกปิ้งหรือทอด จะทำให้ไนไตรท์ ในเนื้อสัตว์แห้งและเข้มข้น พอเข้าลำคอผ่าน กระเพาะ ไปถึงลำไส้เล็ก ก็จะได้รับน้ำย่อยจากถุงน้ำดีและน้ำย่อยจากตับอ่อน จะกลายเป็น สารไนโตรซามีน และจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ไปสะสมอยู่ในตัวเรา เมื่อสะสมมากๆ เข้า ก็เป็นสารก่อมะเร็ง ที่ทำให้เซลล์ดี กลายเป็นเซลล์เนื้อร้าย หรือมะเร็งได้
นายแพทย์ซิมโมนได้ทดลองให้ไนไตรท์ ในหนูทดลอง ปรากฏว่า กว่า 80% เป็นมะเร็งลำไส้ การทดลองในครั้งแรกๆ ยังไม่มีการยอมรับกันว่า เมื่อไนไตรท์ทำให้หนูเป็นมะเร็ง ได้ก็ยังพิสูจน์ ไม่ได้แน่นอนว่า จะทำให้คนเป็นมะเร็ง เหมือนอย่างหนู
แต่จากการศึกษาประวัติคนไข้ และการเก็บสถิติเปรียบเทียบกับคนไข้อื่นๆ ที่ไม่ได้บริโภคไขมันสัตว์ และเนื้อสัตว์ นายแพทย์ซิมโมน และกลุ่มแพทย์ในสถาบันมะเร็ง มีความเห็นว่า การบริโภคไขมัน และเนื้อสัตว์มาก และเป็นเวลานานนั้น มีส่วนทำให้เกิดมะเร็ง ในช่องท้องได้แน่นอน
ในเมืองไทยเรา ศาสตราจารย์นายแพทย์ ม.ร.ว.ธันยโสภาค เกษมสันต์ นายแพทย์ใหญ่ ท่านหนึ่งก็ได้กล่าวรับรองเรื่องการบริโภคเนื้อสัตว์ มากจนเกินไปว่าเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิด มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. ธันยโสภาค เป็นเพื่อนร่วมงานในแผนกการแพทย์ ผสมผสานของ โรงพยาบาล บางปะกอกร่วมกับผม ท่านได้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และได้ค้นคว้า เรื่องโรคมะเร็ง และ วิธีรักษา มะเร็ง ซึ่งแตกต่างไปจากวิธีรักษาในปัจจุบัน และได้ยอมรับว่า การบริโภคที่ผิดๆ โดยเฉพาะ การบริโภคสเต็ก หรือเนื้อสัตว์ล้วนๆ นั้นเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ท่านป่วย เป็นมะเร็ง (โปรดหาอ่าน หนังสือของท่าน “เมื่อหมอเป็นมะเร็ง” เล่ม 1-2)
สำหรับนายแพทย์ซิมโมนนั้น นอกจากจะได้ศึกษาถึงการบริโภคเนื้อสัตว์แล้ว ยังได้ศึกษา ต่อไปอีกว่า การบริโภค อาหารอื่นๆ นั้น ยังมีอาหารอะไรอีกบ้างที่ทำให้เกิดมะเร็ง
นายแพทย์ซิมโมนได้พบว่า บริโภคเนื้อสัตว์ ประเภทปิ้ง ย่าง ร่วมกับการดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ ทำให้เกิด เป็นมะเร็งได้ มากกว่าปกติ
โดยเฉพาะเรื่องไวน์นั้น ปกติการหมักไวน์ จะต้องมีระยะเวลาการหมักเหล้าเป็นเวลา นับเป็นปีๆ แล้วแต่ คุณภาพของไวน์ แต่ก็ยังมีพวกพ่อค้าหัวใส คิดค้นยาเคมีที่จะเร่ง ให้เหล้าไวน์ กลายเป็นไวน์ ที่ดื่มได้ ในเวลาอันรวดเร็ว แทนที่จะต้องรอเป็นปีๆ สารเคมีตัวนี้ คือ DIETHYLPYROCARBONATE : ซึ่งเมื่อใส่ ในเหล้าไวน์ จะสามารถทำให้เหล้าดิบๆ กลายเป็นไวน์ได้ ภายในชั่วเวลาเพียง 2 เดือน แทนที่จะเป็นปีๆ ดังแต่ก่อน และเคมีตัวนี้ ใส่ไปในเหล้าดิบ เพียงนิดเดียว ขนาด 0.1 ส่วน ต่อพันล้านส่วน ก็สามารถจะสร้าง สารก่อมะเร็ง ซึ่งเรียกว่า “ยูรีแทน” ได้
เพราะฉะนั้น หากจะชอบกินเนื้อสัตว์ ปิ้ง ย่าง ซึ่งมีไนโตรซามีนผสมกับไวน์ถูกๆ ซึ่งมี “ยูรีแทน” ก็ลองคิดดูว่า มะเร็งในช่องท้อง จะสุขสันต์หรรษาสักเพียงไหน หากได้มีโอกาส เข้าไปผสมพันธุ์กัน ในช่องท้อง ของเราเอง
ที่อุตส่าห์ไปขุดคุ้ยเรื่อง “เนื้อสัตว์” และเหล้า มาเล่าสู่กันฟังคราวนี้ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ด้วยความรัก และหวังดีจริงๆ ว่า ขณะนี้เรากำลังเห่อฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารจานด่วน “เนื้อ นม ไข่” กันอย่างเหลือเกิน ทั้งลูกเล็กเด็กแดง จนถึงผู้ใหญ่ ก็ฟาสต์ฟู้ดและเนื้อนมไข่กันเป็นแถว คุณๆ ผู้ใหญ่ยังแถมเห่อ เรื่องไวน์กัน เป็นของโก้ ตามกันไปด้วย ระวังเรื่อง เนื้อ นม ไข่ และเหล้าไวน์ ซึ่งมียูรี แทนกันหน่อย ดีไหมครับ.
* * * * * * * * *
ข่าวคอร์สสุขภาพ ชมรมชีวจิต
“เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นสักนิด น่าอภิรมย์สักหน่อย” กับคอร์สสุขภาพการดำเนินชีวิต แนวทางชีวจิต จัดโดยชมรมชีวจิต
ติวเข้มกับอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง วันที่ 19-23 ตุลาคม 2545 ที่โรงแรมโรสกาเด้น เอไพรม์ รีสอร์ท (สวนสามพราน)
รายละเอียดติดต่อ ชมรมชีวจิต โทร. 0-2570-8220 หรือ คุณสิริแก้ว โทร. 0-1625-7875 คุณกุสุมาลย์ โทร. 0-1439-4110.
ไทยรัฐ ๑ กันยายน ๒๕๔๕
การกินอาหาร อาหารเป็นส่วนสำคัญที่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง สำหรับมะเร็งทั่วไปนั้น มะเร็งเนื่องมาจากอาหารเป็นผู้หญิงถึง 60% และเป็นผู้ชาย 40%
มะเร็งชนิดต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องอาหารโดยตรงคือ มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้เล็ก มะเร็งปาก มะเร็งลำคอ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งตับ มะเร็งรังไข่ มะเร็งมดลูก มะเร็งไทรอยด์
ส่วนมะเร็งเต้านม ลำไส้ใหญ่ ทวารหนัก ต่อมลูกหมากและไต ก็มีสาเหตุมาจากอาหารเหมือนกัน แต่นายแพทย์ซิมโมนได้เน้นว่า เนื่องมาจากการบริโภคเนื้อสัตว์และไขมันสัตว์มากเกินไป
อันที่จริงยังมีปัจจัยเสริมซึ่งไม่ใช่ปัจจัยโดยตรง ซึ่งทำให้เกิดมะเร็งได้อีก เช่น การสูบบุหรี่ การที่ถูกต้องสัมผัสกับสารเคมี การอยู่ในสิ่งแวดล้อมเลวๆ การดื่มเหล้า การใช้ฮอร์โมน การถูกรังสี ความเครียด เป็นต้น ปัจจัยเสริมที่กล่าวถึงเหล่านี้ ไม่ใช่ปัจจัยโดยตรงที่ทำให้เกิดมะเร็ง แต่จะต้องผสมกับปัจจัยอื่นๆ หลายอย่าง จึงทำให้เกิดมะเร็งได้
ฉะนั้น ครั้งนี้จะไม่พูดถึงปัจจัยเสริม แต่จะพูดถึงปัจจัยโดยตรง ซึ่งนายแพทย์ ซิมโมนศึกษา มาโดยเฉพาะ คือเรื่องไขมันสัตว์ และเนื้อสัตว์
สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เนื้อสัตว์มีสารก่อมะเร็งปนอยู่ในตัวสัตว์อยู่มากนั้น เนื่องมาจากการ เลี้ยงสัตว์สมัยนี้ทำกันในรูปแบบของอุตสาหกรรม สัตว์ซึ่งอยู่รวมกันเป็นหมื่นๆ ตัวนั้น ต้องกินอาหาร ตามสูตรซึ่งมีสารเคมีปนอยู่ ต้องกินยาปฏิชีวนะ ต้องกินและฉีดฮอร์โมน ต้องกินสารเคมีหลายอย่าง ซึ่งทำให้เนื้อสัตว์มีสีน่ากิน
การเลี้ยงสัตว์และฆ่าสัตว์มาเป็นอาหารนั้น เป็นการถ่ายทอดสารก่อมะเร็งมาสู่มนุษย์ผู้ บริโภคโดยตรง
นอกจากนั้น การนำเนื้อสัตว์มาสู่ตลาดและมาถึงผู้บริโภคก็จะไม่ได้เนื้อสัตว์สดๆ บางแห่งเนื้อสัตว์ ถูกเก็บ หรือแช่แข็งในห้องเย็น และเนื้อสัตว์ส่วนมากจะผ่านกรรมวิธี ในการถนอมอาหารเพื่อเก็บไว้ ให้ได้นานวัน
กรรมวิธีในการถนอมอาหารก็จะมีการตากแห้ง การบรรจุกระป๋อง การบรรจุขวด วิธีถนอมอาหารเหล่านี้ ต้องใช้สารเคมีประเภทที่รักษาอาหารไม่ให้บูดเน่า (PRESER-VATIVE) อย่างเช่น เกลือ ดินประสิว น้ำส้ม น้ำตาล ยากันบูด และไนไตรท์ (NITRITES) เป็นต้น การใช้ สารเคมีเหล่านี้ในปริ-มาณพอสมควรก็พอจะรับได้สำหรับผู้บริโภค แต่ก็ไม่ควรจะให้บ่อยและมากเกิน ปริมาณสมควร
ขออนุญาตนอกเรื่องสักนิดว่า การใช้ยาเคมีบางอย่าง ซึ่งนอกกฎเกณฑ์ โดยสิ้นเชิง อย่างเช่น ใช้ฟอร์มาลิน หรือฟอร์มาลดีไฮด์ (ยาดองศพ) ในอาหารเพื่อไม่ให้บูดเน่า เป็นการกระทำที่ เลวทรามอย่างยิ่ง เป็นการฆ่าผู้บริโภคแบบตายผ่อนส่งได้อย่างแน่นอน
กรรมวิธีอีกอย่างหนึ่งในการปรุงแต่งรสและภาพของอาหารให้ผิดไปจากความจริงก็คือ กรรมวิธีแบบ ADDITIVE คือการใส่สีสันและปรุงรสเปรี้ยวหวานมันเค็มเผ็ด ให้ดุเดือดและสีสันน่าดูผิดไปจาก ความจริง นี่ก็เป็นส่วนสร้างสารก่อมะเร็งได้อีกเหมือนกัน
ขอย้อนกลับมาถึง เรื่องเนื้อสัตว์ และไขมันสัตว์ อีกครั้งหนึ่ง นายแพทย์ซิมโมนชี้ให้เห็นว่า เนื้อสัตว์ที่ จะ ต้องเก็บไว้นานนั้น จะต้องใส่โซเดียม ไนไตรท์ ซึ่งทำให้เนื้อสัตว์อยู่คงทนและมีสีสวยงาม ไนไตรท์ ซึ่งอยู่ในเนื้อสัตว์ เช่น เบคอน หรือไส้กรอกชนิดต่างๆ นี้ ถ้ายังไม่ได้ไปปรุงเป็น อาหาร ก็ยังไม่มีพิษสง อะไรนัก แต่ถ้าถูกความร้อนเมื่อไหร่ จะเกิดปฏิกิริยา ทางเคมี เกิดเป็นสารก่อมะเร็งทันที
นายแพทย์ซิมโมน ได้ยกตัวอย่าง อาหารเช้าจานโปรดของ ชาวอเมริกันคือ หมูเบคอน และไข่ดาว ขนมปังขาว เบคอนนั้น เมื่อเอาไปทอด จะเกิดสารใหม่อีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า ไนโตรซามีน (NITROSAMINE) ซึ่งก็คือสารก่อมะเร็ง
เมื่อเนื้อสัตว์ที่ถูกปิ้งหรือทอด จะทำให้ไนไตรท์ ในเนื้อสัตว์แห้งและเข้มข้น พอเข้าลำคอผ่าน กระเพาะ ไปถึงลำไส้เล็ก ก็จะได้รับน้ำย่อยจากถุงน้ำดีและน้ำย่อยจากตับอ่อน จะกลายเป็น สารไนโตรซามีน และจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือด ไปสะสมอยู่ในตัวเรา เมื่อสะสมมากๆ เข้า ก็เป็นสารก่อมะเร็ง ที่ทำให้เซลล์ดี กลายเป็นเซลล์เนื้อร้าย หรือมะเร็งได้
นายแพทย์ซิมโมนได้ทดลองให้ไนไตรท์ ในหนูทดลอง ปรากฏว่า กว่า 80% เป็นมะเร็งลำไส้ การทดลองในครั้งแรกๆ ยังไม่มีการยอมรับกันว่า เมื่อไนไตรท์ทำให้หนูเป็นมะเร็ง ได้ก็ยังพิสูจน์ ไม่ได้แน่นอนว่า จะทำให้คนเป็นมะเร็ง เหมือนอย่างหนู
แต่จากการศึกษาประวัติคนไข้ และการเก็บสถิติเปรียบเทียบกับคนไข้อื่นๆ ที่ไม่ได้บริโภคไขมันสัตว์ และเนื้อสัตว์ นายแพทย์ซิมโมน และกลุ่มแพทย์ในสถาบันมะเร็ง มีความเห็นว่า การบริโภคไขมัน และเนื้อสัตว์มาก และเป็นเวลานานนั้น มีส่วนทำให้เกิดมะเร็ง ในช่องท้องได้แน่นอน
ในเมืองไทยเรา ศาสตราจารย์นายแพทย์ ม.ร.ว.ธันยโสภาค เกษมสันต์ นายแพทย์ใหญ่ ท่านหนึ่งก็ได้กล่าวรับรองเรื่องการบริโภคเนื้อสัตว์ มากจนเกินไปว่าเป็นสาเหตุ ที่ทำให้เกิด มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. ธันยโสภาค เป็นเพื่อนร่วมงานในแผนกการแพทย์ ผสมผสานของ โรงพยาบาล บางปะกอกร่วมกับผม ท่านได้ป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และได้ค้นคว้า เรื่องโรคมะเร็ง และ วิธีรักษา มะเร็ง ซึ่งแตกต่างไปจากวิธีรักษาในปัจจุบัน และได้ยอมรับว่า การบริโภคที่ผิดๆ โดยเฉพาะ การบริโภคสเต็ก หรือเนื้อสัตว์ล้วนๆ นั้นเป็นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ท่านป่วย เป็นมะเร็ง (โปรดหาอ่าน หนังสือของท่าน “เมื่อหมอเป็นมะเร็ง” เล่ม 1-2)
สำหรับนายแพทย์ซิมโมนนั้น นอกจากจะได้ศึกษาถึงการบริโภคเนื้อสัตว์แล้ว ยังได้ศึกษา ต่อไปอีกว่า การบริโภค อาหารอื่นๆ นั้น ยังมีอาหารอะไรอีกบ้างที่ทำให้เกิดมะเร็ง
นายแพทย์ซิมโมนได้พบว่า บริโภคเนื้อสัตว์ ประเภทปิ้ง ย่าง ร่วมกับการดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ ทำให้เกิด เป็นมะเร็งได้ มากกว่าปกติ
โดยเฉพาะเรื่องไวน์นั้น ปกติการหมักไวน์ จะต้องมีระยะเวลาการหมักเหล้าเป็นเวลา นับเป็นปีๆ แล้วแต่ คุณภาพของไวน์ แต่ก็ยังมีพวกพ่อค้าหัวใส คิดค้นยาเคมีที่จะเร่ง ให้เหล้าไวน์ กลายเป็นไวน์ ที่ดื่มได้ ในเวลาอันรวดเร็ว แทนที่จะต้องรอเป็นปีๆ สารเคมีตัวนี้ คือ DIETHYLPYROCARBONATE : ซึ่งเมื่อใส่ ในเหล้าไวน์ จะสามารถทำให้เหล้าดิบๆ กลายเป็นไวน์ได้ ภายในชั่วเวลาเพียง 2 เดือน แทนที่จะเป็นปีๆ ดังแต่ก่อน และเคมีตัวนี้ ใส่ไปในเหล้าดิบ เพียงนิดเดียว ขนาด 0.1 ส่วน ต่อพันล้านส่วน ก็สามารถจะสร้าง สารก่อมะเร็ง ซึ่งเรียกว่า “ยูรีแทน” ได้
เพราะฉะนั้น หากจะชอบกินเนื้อสัตว์ ปิ้ง ย่าง ซึ่งมีไนโตรซามีนผสมกับไวน์ถูกๆ ซึ่งมี “ยูรีแทน” ก็ลองคิดดูว่า มะเร็งในช่องท้อง จะสุขสันต์หรรษาสักเพียงไหน หากได้มีโอกาส เข้าไปผสมพันธุ์กัน ในช่องท้อง ของเราเอง
ที่อุตส่าห์ไปขุดคุ้ยเรื่อง “เนื้อสัตว์” และเหล้า มาเล่าสู่กันฟังคราวนี้ ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ด้วยความรัก และหวังดีจริงๆ ว่า ขณะนี้เรากำลังเห่อฟาสต์ฟู้ด หรืออาหารจานด่วน “เนื้อ นม ไข่” กันอย่างเหลือเกิน ทั้งลูกเล็กเด็กแดง จนถึงผู้ใหญ่ ก็ฟาสต์ฟู้ดและเนื้อนมไข่กันเป็นแถว คุณๆ ผู้ใหญ่ยังแถมเห่อ เรื่องไวน์กัน เป็นของโก้ ตามกันไปด้วย ระวังเรื่อง เนื้อ นม ไข่ และเหล้าไวน์ ซึ่งมียูรี แทนกันหน่อย ดีไหมครับ.
* * * * * * * * *
ข่าวคอร์สสุขภาพ ชมรมชีวจิต
“เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นสักนิด น่าอภิรมย์สักหน่อย” กับคอร์สสุขภาพการดำเนินชีวิต แนวทางชีวจิต จัดโดยชมรมชีวจิต
ติวเข้มกับอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง วันที่ 19-23 ตุลาคม 2545 ที่โรงแรมโรสกาเด้น เอไพรม์ รีสอร์ท (สวนสามพราน)
รายละเอียดติดต่อ ชมรมชีวจิต โทร. 0-2570-8220 หรือ คุณสิริแก้ว โทร. 0-1625-7875 คุณกุสุมาลย์ โทร. 0-1439-4110.
ไทยรัฐ ๑ กันยายน ๒๕๔๕
มะเร็งกับการกินเนื้อสัตว์
อาทิตย์นี้ขอเสนอข้อคิดและผลของการค้นคว้าของ นายแพทย์คนหนึ่งเกี่ยวกับ เรื่องของอาหารและมะเร็ง
นายแพทย์ชาลส์ บี ซิมโมน เป็นแพทย์ซึ่งรักษาคนไข้มะเร็งโดยตรง คือ เป็นแพทย์ด้าน เคมีบำบัด (CHEMOTHERAPY) ด้านการฉายแสง (RADIATION) และในด้านภูมิชีวิต (CLINICAL IMMUNOLOGY)
เขารักษาคนไข้มะเร็งด้วยวิธีการแพทย์ สมัยใหม่ คือผ่าตัด-เคมีบำบัดและรังสีบำบัด มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี และได้พบว่า การรักษาแนวนั้น ได้ผลแต่เพียง เป็นการชะลอชีวิต คนป่วยเท่านั้น ไม่สามารถ จะรักษามะเร็ง ได้โดยเด็ดขาด
จากการเป็นแพทย์ประจำสถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกา (NCI) นายแพทย์ซิมโมน ได้ย้ายมาเป็น ศาสตราจารย์ สอนและค้นคว้า เรื่องมะเร็ง ที่มหาวิทยาลัยโทมัส เจฟเฟอร์สัน ที่ฟิลาเดลเฟีย ตั้งแต่ปี 1989 และแทบจะกล่าวได้ว่า เขาได้ทิ้งความเชี่ยวชาญ ด้านเป็นแพทย์เคมีบำบัด และรังสีบำบัด ซึ่งได้ทำงาน มาแล้วเกือบ 20 ปีโดยสิ้นเชิง เขาได้หันมาค้นคว้า และรักษามะเร็ง ด้วยวิธีผสมผสาน และได้ หันมาเน้น ค้นคว้าในด้าน อาหารกับมะเร็ง และนับตั้งแต่ปี 1989 มาจนถึงบัดนี้ เป็นเวลากว่า 13 ปีแล้ว เขาได้กลายเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษามะเร็ง ด้วยวิธีผสมผสาน และที่เชี่ยวชาญ เป็นพิเศษ คือ ได้ค้นคว้า แบบเรื่องสารก่อมะเร็ง จากการกินอาหารผิดๆ เป็นส่วนใหญ่
งานชิ้นสำคัญที่สุดของนายแพทย์ ซิมโมน ก็คือ ได้รับเชิญ เป็นแพทย์ประจำตัว ของ อดีตประธานาธิบดีอเมริกา คือ โรแนลด์ เรแกน มาแล้ว ในการรักษามะเร็งลำไส้ของ อดีตประธานาธิบดีผู้นี้
จุดที่น่าสนใจอย่างที่สุด ของนายแพทย์ผู้นี้ก็คือ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ การรักษามะเร็ง ด้วยเคมีบำบัด และ รังสีบำบัดมาก่อน แต่บัดนี้เขาได้เปลี่ยนชีวิต และอาชีพความชำนาญ ของเขาอย่างสิ้นเชิง เขากลายเป็น แพทย์เชี่ยวชาญ เรื่องอาหารกับมะเร็ง และขณะนี้ ได้ตั้งศูนย์รักษา และ ป้องกันมะเร็ง ของตนเอง ขึ้นสำเร็จแล้วที่ฟิลาเดลเฟีย เป็นผู้หนึ่ง ซึ่งนำเอาการแพทย์ แบบผสมผสาน ซึ่งแต่ก่อน แพทย์หลายคน เห็นว่า เป็นเรื่องเหลวไหล ให้ขึ้นมาโดดเด่น คู่กับการแพทย์สมัยใหม่ สำเร็จ อย่างงดงาม
งานชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นงานที่ได้รับการรับรองมากในวงการแพทย์ คือการค้นคว้าเรื่อง การบริโภคเนื้อสัตว์ ตามแบบวิธี ของชาวอเมริกัน กับโรคมะเร็ง ซึ่งนายแพทย์ ซิมโมนได้พิสูจน์ ให้เห็นว่า เกี่ยวข้องกัน อย่างแน่ชัด
นายแพทย์ซิมโมนได้ค้นคว้าเรื่องการบริโภคเนื้อสัตว์ และเกิดเป็นมะเร็ง จากคนไข้กว่า 800 คน และได้ชี้ให้เห็นว่า การบริโภคเนื้อสัตว์ แบบคนอเมริกัน มีส่วนเกี่ยวข้อง กับมะเร็งลำไส้ กระเพาะ ตับ ตับอ่อน ต่อมลูกหมาก รังไข่ และมดลูก และยังมี มะเร็งชนิดอื่นๆอีก ซึ่งนายแพทย์ซิมโมน มีความเห็นว่า อาจจะเกี่ยวข้อง กับการบริโภคเนื้อสัตว์ แบบคนอเมริกัน เช่น ปอด เต้านม เลือด และ ต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น
ต้องขออธิบายสักนิดหนึ่งครับว่า กินเนื้อสัตว์แบบอเมริกันนั้นเป็นอย่างไร เป็นเวลานาน มาหลาย สิบปีแล้ว เริ่มตั้งแต่ หลังสงครามโลก ครั้งที่สอง เป็นต้นมา ที่ความนิยม การบริโภคเนื้อสัตว์ ของชาวอเมริกัน เพิ่มขึ้น สูงสุดในโลก
ชาวอเมริกันเริ่ม นิยมบริโภค เนื้อสัตว์แบบปิ้ง-ย่าง เช่น การกินสเต็กชิ้นโตๆ และในภายหลัง จากสเต็ก หรือ เนื้อวัวปิ้ง-ย่าง ก็ได้กลายมาเป็น อาหารฟาสต์ฟู้ด หรือจานด่วน ซึ่งกลายมาเป็น อาหาร ยอดนิยม ของ คนไทยด้วยขณะนี้
ตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคม เป็นระยะเวลา ที่เริ่มฤดูร้อน ในอเมริกา และเป็นฤดู ซึ่งชาวอเมริกัน ลาพักร้อน ประจำปี และท่องเที่ยวกัน ทั่วประเทศ มากที่สุด
ตามบ้านพักในวันหยุด ของชาวอเมริกัน ขณะนี้จะเห็นแทบทุกครอบครัว ตั้งเตาปิ้ง บาร์บีคิว กันทั่ว ทุกบ้านเรือน เขาจะมีปาร์ตี้บาร์บีคิว กันเป็นประจำ ตลอดฤดูร้อน
วิธีทำบาร์บีคิวก็คือ จะนำเนื้อวัวชิ้นโตๆ ซึ่งหมักไว้ข้ามคืนมาปิ้งเตาถ่านร่วมกับ เนื้อวัวบด ไส้กรอก และ หมูเค็ม ชนิดต่างๆและที่คู่กับการปิ้ง บาร์บีคิว เนื้อสัตว์ ซึ่งจะขาดไม่ได้ก็คือ เขาจะปิ้งมันฝรั่ง เป็นหัวๆ เพื่อกินกับ สเต็กบาร์บีคิว นั้นด้วย
ตกลงอาหารหลักสำหรับหน้าร้อนของชาว อเมริกันก็คือ สเต็กกับมันฝรั่งย่าง และก็ที่ค่อนข้าง จะแน่นอน ก็คงเป็นเหล้า และเบียร์ สำหรับผู้ชาย และน้ำอัดลม ชนิดต่างๆ สำหรับผู้หญิง และเด็กๆ
แต่ก็ไม่แน่อีกนั่นแหละ ผู้หญิงอเมริกันเดี๋ยวนี้ชอบกินเหล้าและเบียร์ชนแก้วกัน อย่างเมามัน ร่วมกับผู้ชาย มากเหมือนกัน นายแพทย์ซิมโมนได้ชี้ให้เห็นว่า เนื้อสัตว์ต่างๆ เมื่อเอามาปิ้ง หรือย่าง ก็จะเกิด สารชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ไนโตร-ซามีน (NITROSA-MINE) และไนโตรซามีนนี้ เป็นสาร ก่อมะเร็ง หรือที่เรียกกัน ภาษาแพทย์ว่า CARCINOGENS
กินเนื้อสัตว์โดยเฉพาะพวกเนื้อวัวและอาหารฟาสต์ฟู้ด มากเกินไปจะเกิดสาร ไนโตรซามีน สะสมในร่างกาย และทำให้เป็นมะเร็งได้ นี่คือพูดกัน แบบภาษาชาวบ้าน
อีกนิดเถอะครับ ขอพูดแบบวิชาการอีกหน่อย ไนโตรซามีน เกิดจากไนไตรท์ (NITRITES)
ไนไตรท์ นี่คือสารกลุ่มเกลือ ซึ่งเขาต้องใส่แช่ในเนื้อสัตว์ เพื่อที่จะรักษาเนื้อในคงทน ไม่บูดเน่า ยิ่งเป็น เนื้อบด อย่างเช่น ไส้กรอกแล้ว ต้องใส่โซเดียมไนไตรท์ อย่างขาดไม่ได้ เพื่อป้องกัน เนื้อสัตว์เป็นพิษ และ ก็เชื่อกันว่า จะทำให้เนื้อ มีรสดีขึ้นด้วย
เมื่อสารไนไตรท์ตกถึงท้องเรา ก็จะกลายเป็นไนโตรซามีน และเมื่อไนโตรซามีน สะสมอยู่ในร่างกาย มากขึ้น ผสมกับการที่ปล่อยปละ ละเลย ไม่ดูแลตัวเองให้ดีๆ สุขภาพไม่แข็งแรง ทางออก ที่ค่อนข้างแน่นอน สำหรับ คนเหล่านี้ก็คือ มะเร็งในช่องท้อง เริ่มขึ้นได้เลย
ตามสถิติซึ่งนายแพทย์ซิมโมนและคณะแพทย์ผู้ช่วยได้ศึกษามา มีตัวเลขน่าสนใจมาก ซึ่งตัวเลข ชี้ให้เห็นชัดแน่นอนว่า กินเนื้อสัตว์ อย่างไม่บันยะบันยัง เป็นเหตุให้เกิดมะเร็ง
เรื่องตัวเลขและเหตุผลที่แน่นอนจากนายแพทย์ซิมโมน ขออนุญาตเล่าอาทิตย์หน้า อาทิตย์นี้ ขอสรุปสั้นๆ แบบชาวบ้าน ตรงนี้ก่อนว่า ที่มะเร็งในช่องท้อง ของคนไทย เป็นกันมากขึ้นนั้น อาจจะเกี่ยวข้อง กับเรื่องของ การกินผิดๆ เพราะเราไปเห่อ เรื่องอาหารขยะ หรือ อาหาร จานด่วนกัน อย่างมากมาย จึงเป็นมะเร็ง กันมากมาย แม้แต่กระทั่งเด็ก อายุยังน้อยอยู่ ไม่น่าจะเป็นมะเร็ง แต่ก็เป็น กันไปแล้ว.
* * * * * * * * *
ข่าวคอร์สสุขภาพ ชมรมชีวจิต
“เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นสักนิด น่าอภิรมย์ สักหน่อย” กับคอร์สสุขภาพการดำเนินชีวิตแนวทางชีวจิต จัดโดยชมรมชีวจิต ติวเข้มกับอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง วันที่ 19-23 ตุลาคม 2545 ที่โรงแรม โรสกาเด้นเอไพรม์ รีสอร์ท (สวนสามพราน)
รายละเอียดติดต่อ ชมรมชีวจิต โทร. 0-2570-8220 หรือคุณสิริแก้ว โทร. 0-1625-7875 คุณกุสุมาลย์ โทร. 0-1439-4110.
ไทยรัฐ ๒๕ ส.ค. ๔๕ ชีวจิต
นายแพทย์ชาลส์ บี ซิมโมน เป็นแพทย์ซึ่งรักษาคนไข้มะเร็งโดยตรง คือ เป็นแพทย์ด้าน เคมีบำบัด (CHEMOTHERAPY) ด้านการฉายแสง (RADIATION) และในด้านภูมิชีวิต (CLINICAL IMMUNOLOGY)
เขารักษาคนไข้มะเร็งด้วยวิธีการแพทย์ สมัยใหม่ คือผ่าตัด-เคมีบำบัดและรังสีบำบัด มาเป็นเวลาเกือบ 20 ปี และได้พบว่า การรักษาแนวนั้น ได้ผลแต่เพียง เป็นการชะลอชีวิต คนป่วยเท่านั้น ไม่สามารถ จะรักษามะเร็ง ได้โดยเด็ดขาด
จากการเป็นแพทย์ประจำสถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกา (NCI) นายแพทย์ซิมโมน ได้ย้ายมาเป็น ศาสตราจารย์ สอนและค้นคว้า เรื่องมะเร็ง ที่มหาวิทยาลัยโทมัส เจฟเฟอร์สัน ที่ฟิลาเดลเฟีย ตั้งแต่ปี 1989 และแทบจะกล่าวได้ว่า เขาได้ทิ้งความเชี่ยวชาญ ด้านเป็นแพทย์เคมีบำบัด และรังสีบำบัด ซึ่งได้ทำงาน มาแล้วเกือบ 20 ปีโดยสิ้นเชิง เขาได้หันมาค้นคว้า และรักษามะเร็ง ด้วยวิธีผสมผสาน และได้ หันมาเน้น ค้นคว้าในด้าน อาหารกับมะเร็ง และนับตั้งแต่ปี 1989 มาจนถึงบัดนี้ เป็นเวลากว่า 13 ปีแล้ว เขาได้กลายเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษามะเร็ง ด้วยวิธีผสมผสาน และที่เชี่ยวชาญ เป็นพิเศษ คือ ได้ค้นคว้า แบบเรื่องสารก่อมะเร็ง จากการกินอาหารผิดๆ เป็นส่วนใหญ่
งานชิ้นสำคัญที่สุดของนายแพทย์ ซิมโมน ก็คือ ได้รับเชิญ เป็นแพทย์ประจำตัว ของ อดีตประธานาธิบดีอเมริกา คือ โรแนลด์ เรแกน มาแล้ว ในการรักษามะเร็งลำไส้ของ อดีตประธานาธิบดีผู้นี้
จุดที่น่าสนใจอย่างที่สุด ของนายแพทย์ผู้นี้ก็คือ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ การรักษามะเร็ง ด้วยเคมีบำบัด และ รังสีบำบัดมาก่อน แต่บัดนี้เขาได้เปลี่ยนชีวิต และอาชีพความชำนาญ ของเขาอย่างสิ้นเชิง เขากลายเป็น แพทย์เชี่ยวชาญ เรื่องอาหารกับมะเร็ง และขณะนี้ ได้ตั้งศูนย์รักษา และ ป้องกันมะเร็ง ของตนเอง ขึ้นสำเร็จแล้วที่ฟิลาเดลเฟีย เป็นผู้หนึ่ง ซึ่งนำเอาการแพทย์ แบบผสมผสาน ซึ่งแต่ก่อน แพทย์หลายคน เห็นว่า เป็นเรื่องเหลวไหล ให้ขึ้นมาโดดเด่น คู่กับการแพทย์สมัยใหม่ สำเร็จ อย่างงดงาม
งานชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นงานที่ได้รับการรับรองมากในวงการแพทย์ คือการค้นคว้าเรื่อง การบริโภคเนื้อสัตว์ ตามแบบวิธี ของชาวอเมริกัน กับโรคมะเร็ง ซึ่งนายแพทย์ ซิมโมนได้พิสูจน์ ให้เห็นว่า เกี่ยวข้องกัน อย่างแน่ชัด
นายแพทย์ซิมโมนได้ค้นคว้าเรื่องการบริโภคเนื้อสัตว์ และเกิดเป็นมะเร็ง จากคนไข้กว่า 800 คน และได้ชี้ให้เห็นว่า การบริโภคเนื้อสัตว์ แบบคนอเมริกัน มีส่วนเกี่ยวข้อง กับมะเร็งลำไส้ กระเพาะ ตับ ตับอ่อน ต่อมลูกหมาก รังไข่ และมดลูก และยังมี มะเร็งชนิดอื่นๆอีก ซึ่งนายแพทย์ซิมโมน มีความเห็นว่า อาจจะเกี่ยวข้อง กับการบริโภคเนื้อสัตว์ แบบคนอเมริกัน เช่น ปอด เต้านม เลือด และ ต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น
ต้องขออธิบายสักนิดหนึ่งครับว่า กินเนื้อสัตว์แบบอเมริกันนั้นเป็นอย่างไร เป็นเวลานาน มาหลาย สิบปีแล้ว เริ่มตั้งแต่ หลังสงครามโลก ครั้งที่สอง เป็นต้นมา ที่ความนิยม การบริโภคเนื้อสัตว์ ของชาวอเมริกัน เพิ่มขึ้น สูงสุดในโลก
ชาวอเมริกันเริ่ม นิยมบริโภค เนื้อสัตว์แบบปิ้ง-ย่าง เช่น การกินสเต็กชิ้นโตๆ และในภายหลัง จากสเต็ก หรือ เนื้อวัวปิ้ง-ย่าง ก็ได้กลายมาเป็น อาหารฟาสต์ฟู้ด หรือจานด่วน ซึ่งกลายมาเป็น อาหาร ยอดนิยม ของ คนไทยด้วยขณะนี้
ตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคม เป็นระยะเวลา ที่เริ่มฤดูร้อน ในอเมริกา และเป็นฤดู ซึ่งชาวอเมริกัน ลาพักร้อน ประจำปี และท่องเที่ยวกัน ทั่วประเทศ มากที่สุด
ตามบ้านพักในวันหยุด ของชาวอเมริกัน ขณะนี้จะเห็นแทบทุกครอบครัว ตั้งเตาปิ้ง บาร์บีคิว กันทั่ว ทุกบ้านเรือน เขาจะมีปาร์ตี้บาร์บีคิว กันเป็นประจำ ตลอดฤดูร้อน
วิธีทำบาร์บีคิวก็คือ จะนำเนื้อวัวชิ้นโตๆ ซึ่งหมักไว้ข้ามคืนมาปิ้งเตาถ่านร่วมกับ เนื้อวัวบด ไส้กรอก และ หมูเค็ม ชนิดต่างๆและที่คู่กับการปิ้ง บาร์บีคิว เนื้อสัตว์ ซึ่งจะขาดไม่ได้ก็คือ เขาจะปิ้งมันฝรั่ง เป็นหัวๆ เพื่อกินกับ สเต็กบาร์บีคิว นั้นด้วย
ตกลงอาหารหลักสำหรับหน้าร้อนของชาว อเมริกันก็คือ สเต็กกับมันฝรั่งย่าง และก็ที่ค่อนข้าง จะแน่นอน ก็คงเป็นเหล้า และเบียร์ สำหรับผู้ชาย และน้ำอัดลม ชนิดต่างๆ สำหรับผู้หญิง และเด็กๆ
แต่ก็ไม่แน่อีกนั่นแหละ ผู้หญิงอเมริกันเดี๋ยวนี้ชอบกินเหล้าและเบียร์ชนแก้วกัน อย่างเมามัน ร่วมกับผู้ชาย มากเหมือนกัน นายแพทย์ซิมโมนได้ชี้ให้เห็นว่า เนื้อสัตว์ต่างๆ เมื่อเอามาปิ้ง หรือย่าง ก็จะเกิด สารชนิดหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ไนโตร-ซามีน (NITROSA-MINE) และไนโตรซามีนนี้ เป็นสาร ก่อมะเร็ง หรือที่เรียกกัน ภาษาแพทย์ว่า CARCINOGENS
กินเนื้อสัตว์โดยเฉพาะพวกเนื้อวัวและอาหารฟาสต์ฟู้ด มากเกินไปจะเกิดสาร ไนโตรซามีน สะสมในร่างกาย และทำให้เป็นมะเร็งได้ นี่คือพูดกัน แบบภาษาชาวบ้าน
อีกนิดเถอะครับ ขอพูดแบบวิชาการอีกหน่อย ไนโตรซามีน เกิดจากไนไตรท์ (NITRITES)
ไนไตรท์ นี่คือสารกลุ่มเกลือ ซึ่งเขาต้องใส่แช่ในเนื้อสัตว์ เพื่อที่จะรักษาเนื้อในคงทน ไม่บูดเน่า ยิ่งเป็น เนื้อบด อย่างเช่น ไส้กรอกแล้ว ต้องใส่โซเดียมไนไตรท์ อย่างขาดไม่ได้ เพื่อป้องกัน เนื้อสัตว์เป็นพิษ และ ก็เชื่อกันว่า จะทำให้เนื้อ มีรสดีขึ้นด้วย
เมื่อสารไนไตรท์ตกถึงท้องเรา ก็จะกลายเป็นไนโตรซามีน และเมื่อไนโตรซามีน สะสมอยู่ในร่างกาย มากขึ้น ผสมกับการที่ปล่อยปละ ละเลย ไม่ดูแลตัวเองให้ดีๆ สุขภาพไม่แข็งแรง ทางออก ที่ค่อนข้างแน่นอน สำหรับ คนเหล่านี้ก็คือ มะเร็งในช่องท้อง เริ่มขึ้นได้เลย
ตามสถิติซึ่งนายแพทย์ซิมโมนและคณะแพทย์ผู้ช่วยได้ศึกษามา มีตัวเลขน่าสนใจมาก ซึ่งตัวเลข ชี้ให้เห็นชัดแน่นอนว่า กินเนื้อสัตว์ อย่างไม่บันยะบันยัง เป็นเหตุให้เกิดมะเร็ง
เรื่องตัวเลขและเหตุผลที่แน่นอนจากนายแพทย์ซิมโมน ขออนุญาตเล่าอาทิตย์หน้า อาทิตย์นี้ ขอสรุปสั้นๆ แบบชาวบ้าน ตรงนี้ก่อนว่า ที่มะเร็งในช่องท้อง ของคนไทย เป็นกันมากขึ้นนั้น อาจจะเกี่ยวข้อง กับเรื่องของ การกินผิดๆ เพราะเราไปเห่อ เรื่องอาหารขยะ หรือ อาหาร จานด่วนกัน อย่างมากมาย จึงเป็นมะเร็ง กันมากมาย แม้แต่กระทั่งเด็ก อายุยังน้อยอยู่ ไม่น่าจะเป็นมะเร็ง แต่ก็เป็น กันไปแล้ว.
* * * * * * * * *
ข่าวคอร์สสุขภาพ ชมรมชีวจิต
“เปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้นสักนิด น่าอภิรมย์ สักหน่อย” กับคอร์สสุขภาพการดำเนินชีวิตแนวทางชีวจิต จัดโดยชมรมชีวจิต ติวเข้มกับอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง วันที่ 19-23 ตุลาคม 2545 ที่โรงแรม โรสกาเด้นเอไพรม์ รีสอร์ท (สวนสามพราน)
รายละเอียดติดต่อ ชมรมชีวจิต โทร. 0-2570-8220 หรือคุณสิริแก้ว โทร. 0-1625-7875 คุณกุสุมาลย์ โทร. 0-1439-4110.
ไทยรัฐ ๒๕ ส.ค. ๔๕ ชีวจิต
หนุ่มตื่นเช้า-นอนดึก-กินไม่เป็นเวลา ทำอย่างไรดี? (2)
ขออนุญาตคุยกับคุณศาสตรินต่อจากฉบับที่แล้ว ผมกำลังนึกว่าเรื่องของ คุณศาสตริน น่าจะเป็น เรื่องที่น่าสนใจ ของกลุ่มคนหนุ่มคนสาวของเรา และคุณศาสตริน จะเป็น ตัวอย่างของ คนหนุ่ม ซึ่งเอาจริงเอาจัง ต่อชีวิตและ ต่อการทำงานเป็นอย่างยิ่ง เป็นตัวอย่าง ซึ่งหาไม่ได้ง่ายนัก ของคนหนุ่มสาวสมัยนี้
ในฉบับที่แล้ว คุณศาสตรินพูดถึงชีวิตคนทำงานหนักของคุณศาสตรินว่า 1. ตื่นเช้า 2. นอนดึก 3. กินอาหาร ไม่เป็นเวลา 4. ขาดการออกกำลังกาย
ได้อธิบายไปอาทิตย์ที่แล้วถึงชีวิตประจำวัน แบบชีวจิตว่า ต้องให้ครบถ้วน-ถูกต้อง- และมีความพอดีกัน คือ เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องทำงาน พักผ่อน และออกกำลังกาย
ห้าอย่างนี้ในชีวิตประจำวัน ควรจะทำให้ ครบ และทำให้พอดีด้วย
เรื่องทำให้ครบนั้นอธิบายแล้ว แต่ทำให้พอดีด้วย อาจจะเป็นเรื่องยาก บางคนกินมาก และกินผิด บางคน นอนน้อยเกินไป และขาดการออกกำลังกาย อย่างกรณี ของคุณศาสตริน เป็นต้น
ฉะนั้น ครั้งนี้จะตอบปัญหาของคุณศาสตริน โดยตรงก่อน
เรื่องตื่นเช้า-นอนดึก คงจะเป็นปัญหาเรื่องนอนไม่พอ เรื่องการนอนนี้ เราสั่งสอนกันมานาน แล้วว่า อย่างน้อย ต้องนอนให้ได้ วันละ 8 ชั่วโมง
แต่ปัญหาเรื่องการนอนที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นก็คือ วิธีนอน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรานอน วันละกี่ชั่วโมง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คุณนอนหลับสนิท หรือเปล่า
หลักของพวกเราชาวชีวจิตอยู่ที่ว่า เราต้องนอนหลับสนิทและหลับลึก หลับสนิท และหลับลึกคือ หัวใจของการนอน ถ้าคุณทำได้ นอนเพียง 5 ชั่วโมง หรือ 6 ชั่วโมง ก็พอเพียงแล้ว หรือยิ่งมีเวลานอนถึง 7-8 ชั่วโมง ก็ยิ่งดีใหญ่ หลับสนิทและหลับลึก และได้นอนถึง 8 ชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้นมา จะแข็งแรง และสดชื่น เหมือนเกิดใหม่เลยทีเดียว
แต่เชื่อไหมเล่าครับ ในกลุ่มชาว “ชีวจิต” ซึ่งเราฝึกกันมาเป็นร้อยๆกลุ่มนั้น เมื่อฝึกให้หลับสนิท และ หลับลึกได้แล้ว ถึงเวลาตื่น อยากจะนอนต่ออีกสักหนึ่ง หรือสองชั่วโมง จะนอนต่อไม่ได้
ทำไมหรือ? นั่นก็เพราะเรานอนเต็มอิ่มแล้ว พอเราลืมตาตื่นขึ้นมา เราก็ตาสว่าง ร่างกายก็ฟิต รู้สึก กระปรี้กระเปร่า ลืมตาแล้วอยากลุกออกมาทำงาน หรือเคลื่อนไหว นอนอยู่เฉยๆต่อไปไม่ได้
ทั้งนี้ เพราะก่อนจะนอน เราฝึกวิธี RELAXA-TION หรือวิธีทำให้ร่างกาย ผ่อนคลาย หลังจากนั้น เราก็ฝึกวิธี ทำสมาธิ เราสามารถจะควบคุมร่างกาย และจิตใจให้สงบ และผ่อนคลาย สบายกายได้ จึงเหมือนกับว่า เราสั่งร่างกายให้หย่อนคลาย และสั่งให้หลับเมื่อไหร่ ตื่นเมื่อไหร่ก็ได้
สมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนศึกษาเรื่อง EXPERIMENTAL PSYCHOLOGY เรามีการ ทดลอง กับผู้เข้าโปรแกรม การรักษาหลายคน มีการถ่ายภาพยนตร์ ของแต่ละคน เก็บไว้ (50 กว่าปีมาแล้ว สมัยโน้น ยังไม่มีเครื่องถ่าย VDO)
ปรากฏว่าแต่ละคนที่บอกได้ว่าเขาต้องนอน 8 ชั่วโมงก็มี 10 ชั่วโมงก็มีนั้น แท้ที่จริง เขานอน ไม่หลับสนิทเลย ภาพที่เราถ่ายไว้ ปรากฏว่า บางคนนอนพลิกซ้าย พลิกขวา อยู่ตลอดคืน คืนละ กว่า 30 ครั้งก็มี
บางคนที่น้ำหนักมาก (อ้วน) การหายใจของเขาจะติดขัดอยู่ตลอดเวลา หายใจครืดคราด ในท้อง จะมีแก๊ส หรือลมมาก
นั่นเป็นเพราะเรื่องอาหาร และวิธีกินอาหารที่ผิดๆของเขามีส่วนอยู่ มาก ท่านเหล่านี้ จะยิ่งนอน ไม่หลับสนิท ยิ่งขึ้น นอนถึง 10 ชั่วโมง ก็ปรากฏยังมีอาการเพลีย และง่วงเหงา หาวนอนติดอยู่ มากเหลือเกิน
กลุ่มหลังที่กล่าวถึงนี้ จะเห็นได้ว่าปัจจัยหรือองค์ประกอบเกี่ยวกับการกินนั้น มีอิทธิพล ต่อการนอนอยู่มาก
การนอนที่ผิดปกติ นอนกระสับกระส่าย หายใจครืดคราด หรือหายใจไม่สะดวกนั้น เกี่ยวกับเรื่อง ของอาหาร และวิธีกินแทบทั้งสิ้น
การกินจึงเป็นพื้นฐาน เกี่ยวข้องกับการนอน และระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบหายใจ ระบบประสาท ระบบเลือด (คนเป็นเบาหวาน หรือความโน้มเอียง ออกไปทางเบาหวาน น้ำตาล ในเลือดจะสูง เวลานอนจะกระสับกระส่ายมาก นอนไม่หลับสนิท ตื่นขึ้นจึงไม่มีแรง)
โดยเหตุนี้ คุณนอนเป็นอย่างไร นอนดีหรือไม่ดี ต้องดูที่อาหารการกิน ของคุณด้วย
ทีนี้มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย ตามที่คุณศาสตรินถามมา ตอบสั้นๆ ไว้ก่อนว่า จะขาดเรื่อง การออกกำลังกาย ไม่ได้เป็นอันขาด
ถ้าคุณกินถูกต้องแล้ว นอนถูกต้องแล้วมาผสมกับการออกกำลังกายที่พอเหมาะพอดี กับสภาพ ร่างกาย ของคุณด้วยแล้ว คุณศาสตรินเอ๋ย ทั้งกายและใจของคุณ ก็จะสดชื่นแจ่มใส แจ๋วแหวว เหมือนกับ-เหมือนกับอะไรดีหนอ ก็คงเหมือนกับรถเก่าที่วิ่งไม่ค่อยจะไหว แต่เราเอาเข้าอู่ ยกเครื่อง ยกเคราใหม่ และจากฝีมือช่างเก่งๆ ดีๆ เสียด้วย รถของคุณก็จะวิ่งแจ๋ว รถใหม่ สู้ไม่ได้ ทีเดียวเจียวแหละ
ทีนี้ออกกำลังกายนี่จะออกอย่างไรเล่าครับ ตอบง่ายๆอีกนั่นแหละว่า 1. ต้องออกกำลัง ให้พอเหมาะพอดี กับสภาพร่างกาย และเวลาของคุณ 2. คุณจะออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา อย่างไหนก็ได้ ที่คุณชอบและคุณเอนจอย และเมื่อออกกำลังกายแล้วต้องให้ถึง PEAK เพื่อให้ GROWTH HORMONE : ซึ่งเป็นยาวิเศษในตัวคุณหลั่งออกมาด้วย 3. ถ้าไม่รู้ว่า จะออกกำลังกาย วิธีไหน ก็ลอง ใช้ท่ารำตะบอง และกดจุด ชุดชีวจิตนั่นแหละ ดีที่สุด เพราะไม่ต้องเสียสตางค์ และ สะดวก จะพกติดตัวไปที่ไหน ก็ง่าย รำเมื่อไหร่ตามสะดวก และตามโอกาส ได้ตลอดเวลา
ตกลงคำตอบที่คุณศาสตรินถามมาก็ตอบให้ อย่างชัดเจนแล้วนะครับ คำถามข้อที่หนึ่ง และสองคือ ตื่นเช้า และนอนดึกนั้น คือปัญหาเรื่องการนอน ได้อธิบายโดยละเอียดแล้วฉบับนี้ ปัญหาที่สาม เรื่องกินไม่เป็นเวลานั้น ก็คือ ปัญหาเรื่องการกินโดยเฉพาะ ซึ่งยังไม่สามารถ อธิบายโดยละเอียดได้ เพราะเป็นเรื่องยาว หน้ากระดาษมีไม่พอ แต่อย่างน้อย ก็ได้เน้นให้เห็นแล้ว ในฉบับที่แล้วว่า 1. ต้องกินอาหาร ให้ถูกสูตรชีวจิต และกินอาหาร ให้ได้ส่วน (คาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง 50% ผัก 25% โปรตีนจากพืช 15% + กับปลาอาทิตย์ละ 1+2 ครั้ง และ เบ็ดเตล็ด 10%)
ส่วนเรื่องออกกำลังกายนั้น ได้ตอบไว้ แล้วในฉบับนี้ ซึ่งก็คงจะครบคำถาม 4 ข้อที่ถามมา
อย่างไรก็ตาม คุณศาสตรินอาจจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วย เพราะการปฏิบัติตัว ซึ่งค่อนข้าง จะบกพร่อง 4 ประการที่ถามมานั้น ถ้าปฏิบัติบกพร่องมานาน ก็คงจะมีปัญหา เรื่องสุขภาพอื่นๆ เกิดขึ้นด้วย เช่น อาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ความจำเสื่อม ปวดตามเนื้อตามตัวเหล่านี้เป็นต้น เรื่องเหล่านี้ เราไว้คุยกันต่อก็แล้วกัน แต่คุณศาสตริน คงจะต้องติดต่อถามมา ให้ละเอียดว่า อาการอื่นๆ มีอะไรบ้าง จึงจะตอบให้หายข้องใจได้
อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำว่า เรื่องที่ถามมานั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ และชีวิต ขอให้หาทาง และหาเวลาแก้ไข ให้ได้เสียแต่เดี๋ยวนี้
อย่าประมาทเป็นอันขาด อย่าคิดว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย ยังเดินได้ กินได้ ทำงานได้อยู่ จะไปร้อนใจทำไม
ขอให้นึกไว้ เดี๋ยวนี้ที่ยังทำอะไรได้อยู่นั้น เพราะยังมีทุนเก่าอยู่ อายุยังน้อย ร่างกาย ยังทนไหว ก็เลยทำไปเรื่อยๆ
แล้วอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้าเล่า แน่ใจหรือเปล่าว่า ร่างกายจะทนได้ และทุนเก่านั้น ก็จะไม่มีวัน หมดไป
ท่านที่จดหมายจะมาคุยด้วย กรุณาส่งถึงผมโดยตรงที่ 36/31 หมู่ 13 ซอยยนต์ย้อย โชคชัย 4 ลาดพร้าว กทม. 10230 โทรศัพท์ 0-2570-8220 หรือ FAX ไปที่ 0-2570-8273.
ไทยรัฐ ๑๘ ส.ค. ๔๕
ในฉบับที่แล้ว คุณศาสตรินพูดถึงชีวิตคนทำงานหนักของคุณศาสตรินว่า 1. ตื่นเช้า 2. นอนดึก 3. กินอาหาร ไม่เป็นเวลา 4. ขาดการออกกำลังกาย
ได้อธิบายไปอาทิตย์ที่แล้วถึงชีวิตประจำวัน แบบชีวจิตว่า ต้องให้ครบถ้วน-ถูกต้อง- และมีความพอดีกัน คือ เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องทำงาน พักผ่อน และออกกำลังกาย
ห้าอย่างนี้ในชีวิตประจำวัน ควรจะทำให้ ครบ และทำให้พอดีด้วย
เรื่องทำให้ครบนั้นอธิบายแล้ว แต่ทำให้พอดีด้วย อาจจะเป็นเรื่องยาก บางคนกินมาก และกินผิด บางคน นอนน้อยเกินไป และขาดการออกกำลังกาย อย่างกรณี ของคุณศาสตริน เป็นต้น
ฉะนั้น ครั้งนี้จะตอบปัญหาของคุณศาสตริน โดยตรงก่อน
เรื่องตื่นเช้า-นอนดึก คงจะเป็นปัญหาเรื่องนอนไม่พอ เรื่องการนอนนี้ เราสั่งสอนกันมานาน แล้วว่า อย่างน้อย ต้องนอนให้ได้ วันละ 8 ชั่วโมง
แต่ปัญหาเรื่องการนอนที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นก็คือ วิธีนอน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรานอน วันละกี่ชั่วโมง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คุณนอนหลับสนิท หรือเปล่า
หลักของพวกเราชาวชีวจิตอยู่ที่ว่า เราต้องนอนหลับสนิทและหลับลึก หลับสนิท และหลับลึกคือ หัวใจของการนอน ถ้าคุณทำได้ นอนเพียง 5 ชั่วโมง หรือ 6 ชั่วโมง ก็พอเพียงแล้ว หรือยิ่งมีเวลานอนถึง 7-8 ชั่วโมง ก็ยิ่งดีใหญ่ หลับสนิทและหลับลึก และได้นอนถึง 8 ชั่วโมง เมื่อตื่นขึ้นมา จะแข็งแรง และสดชื่น เหมือนเกิดใหม่เลยทีเดียว
แต่เชื่อไหมเล่าครับ ในกลุ่มชาว “ชีวจิต” ซึ่งเราฝึกกันมาเป็นร้อยๆกลุ่มนั้น เมื่อฝึกให้หลับสนิท และ หลับลึกได้แล้ว ถึงเวลาตื่น อยากจะนอนต่ออีกสักหนึ่ง หรือสองชั่วโมง จะนอนต่อไม่ได้
ทำไมหรือ? นั่นก็เพราะเรานอนเต็มอิ่มแล้ว พอเราลืมตาตื่นขึ้นมา เราก็ตาสว่าง ร่างกายก็ฟิต รู้สึก กระปรี้กระเปร่า ลืมตาแล้วอยากลุกออกมาทำงาน หรือเคลื่อนไหว นอนอยู่เฉยๆต่อไปไม่ได้
ทั้งนี้ เพราะก่อนจะนอน เราฝึกวิธี RELAXA-TION หรือวิธีทำให้ร่างกาย ผ่อนคลาย หลังจากนั้น เราก็ฝึกวิธี ทำสมาธิ เราสามารถจะควบคุมร่างกาย และจิตใจให้สงบ และผ่อนคลาย สบายกายได้ จึงเหมือนกับว่า เราสั่งร่างกายให้หย่อนคลาย และสั่งให้หลับเมื่อไหร่ ตื่นเมื่อไหร่ก็ได้
สมัยที่ผมยังเป็นนักเรียนศึกษาเรื่อง EXPERIMENTAL PSYCHOLOGY เรามีการ ทดลอง กับผู้เข้าโปรแกรม การรักษาหลายคน มีการถ่ายภาพยนตร์ ของแต่ละคน เก็บไว้ (50 กว่าปีมาแล้ว สมัยโน้น ยังไม่มีเครื่องถ่าย VDO)
ปรากฏว่าแต่ละคนที่บอกได้ว่าเขาต้องนอน 8 ชั่วโมงก็มี 10 ชั่วโมงก็มีนั้น แท้ที่จริง เขานอน ไม่หลับสนิทเลย ภาพที่เราถ่ายไว้ ปรากฏว่า บางคนนอนพลิกซ้าย พลิกขวา อยู่ตลอดคืน คืนละ กว่า 30 ครั้งก็มี
บางคนที่น้ำหนักมาก (อ้วน) การหายใจของเขาจะติดขัดอยู่ตลอดเวลา หายใจครืดคราด ในท้อง จะมีแก๊ส หรือลมมาก
นั่นเป็นเพราะเรื่องอาหาร และวิธีกินอาหารที่ผิดๆของเขามีส่วนอยู่ มาก ท่านเหล่านี้ จะยิ่งนอน ไม่หลับสนิท ยิ่งขึ้น นอนถึง 10 ชั่วโมง ก็ปรากฏยังมีอาการเพลีย และง่วงเหงา หาวนอนติดอยู่ มากเหลือเกิน
กลุ่มหลังที่กล่าวถึงนี้ จะเห็นได้ว่าปัจจัยหรือองค์ประกอบเกี่ยวกับการกินนั้น มีอิทธิพล ต่อการนอนอยู่มาก
การนอนที่ผิดปกติ นอนกระสับกระส่าย หายใจครืดคราด หรือหายใจไม่สะดวกนั้น เกี่ยวกับเรื่อง ของอาหาร และวิธีกินแทบทั้งสิ้น
การกินจึงเป็นพื้นฐาน เกี่ยวข้องกับการนอน และระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น ระบบหายใจ ระบบประสาท ระบบเลือด (คนเป็นเบาหวาน หรือความโน้มเอียง ออกไปทางเบาหวาน น้ำตาล ในเลือดจะสูง เวลานอนจะกระสับกระส่ายมาก นอนไม่หลับสนิท ตื่นขึ้นจึงไม่มีแรง)
โดยเหตุนี้ คุณนอนเป็นอย่างไร นอนดีหรือไม่ดี ต้องดูที่อาหารการกิน ของคุณด้วย
ทีนี้มาถึงเรื่องการออกกำลังกาย ตามที่คุณศาสตรินถามมา ตอบสั้นๆ ไว้ก่อนว่า จะขาดเรื่อง การออกกำลังกาย ไม่ได้เป็นอันขาด
ถ้าคุณกินถูกต้องแล้ว นอนถูกต้องแล้วมาผสมกับการออกกำลังกายที่พอเหมาะพอดี กับสภาพ ร่างกาย ของคุณด้วยแล้ว คุณศาสตรินเอ๋ย ทั้งกายและใจของคุณ ก็จะสดชื่นแจ่มใส แจ๋วแหวว เหมือนกับ-เหมือนกับอะไรดีหนอ ก็คงเหมือนกับรถเก่าที่วิ่งไม่ค่อยจะไหว แต่เราเอาเข้าอู่ ยกเครื่อง ยกเคราใหม่ และจากฝีมือช่างเก่งๆ ดีๆ เสียด้วย รถของคุณก็จะวิ่งแจ๋ว รถใหม่ สู้ไม่ได้ ทีเดียวเจียวแหละ
ทีนี้ออกกำลังกายนี่จะออกอย่างไรเล่าครับ ตอบง่ายๆอีกนั่นแหละว่า 1. ต้องออกกำลัง ให้พอเหมาะพอดี กับสภาพร่างกาย และเวลาของคุณ 2. คุณจะออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา อย่างไหนก็ได้ ที่คุณชอบและคุณเอนจอย และเมื่อออกกำลังกายแล้วต้องให้ถึง PEAK เพื่อให้ GROWTH HORMONE : ซึ่งเป็นยาวิเศษในตัวคุณหลั่งออกมาด้วย 3. ถ้าไม่รู้ว่า จะออกกำลังกาย วิธีไหน ก็ลอง ใช้ท่ารำตะบอง และกดจุด ชุดชีวจิตนั่นแหละ ดีที่สุด เพราะไม่ต้องเสียสตางค์ และ สะดวก จะพกติดตัวไปที่ไหน ก็ง่าย รำเมื่อไหร่ตามสะดวก และตามโอกาส ได้ตลอดเวลา
ตกลงคำตอบที่คุณศาสตรินถามมาก็ตอบให้ อย่างชัดเจนแล้วนะครับ คำถามข้อที่หนึ่ง และสองคือ ตื่นเช้า และนอนดึกนั้น คือปัญหาเรื่องการนอน ได้อธิบายโดยละเอียดแล้วฉบับนี้ ปัญหาที่สาม เรื่องกินไม่เป็นเวลานั้น ก็คือ ปัญหาเรื่องการกินโดยเฉพาะ ซึ่งยังไม่สามารถ อธิบายโดยละเอียดได้ เพราะเป็นเรื่องยาว หน้ากระดาษมีไม่พอ แต่อย่างน้อย ก็ได้เน้นให้เห็นแล้ว ในฉบับที่แล้วว่า 1. ต้องกินอาหาร ให้ถูกสูตรชีวจิต และกินอาหาร ให้ได้ส่วน (คาร์โบไฮเดรต หรือแป้ง 50% ผัก 25% โปรตีนจากพืช 15% + กับปลาอาทิตย์ละ 1+2 ครั้ง และ เบ็ดเตล็ด 10%)
ส่วนเรื่องออกกำลังกายนั้น ได้ตอบไว้ แล้วในฉบับนี้ ซึ่งก็คงจะครบคำถาม 4 ข้อที่ถามมา
อย่างไรก็ตาม คุณศาสตรินอาจจะมีปัญหาเรื่องสุขภาพด้านอื่นๆ ด้วย เพราะการปฏิบัติตัว ซึ่งค่อนข้าง จะบกพร่อง 4 ประการที่ถามมานั้น ถ้าปฏิบัติบกพร่องมานาน ก็คงจะมีปัญหา เรื่องสุขภาพอื่นๆ เกิดขึ้นด้วย เช่น อาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ ความจำเสื่อม ปวดตามเนื้อตามตัวเหล่านี้เป็นต้น เรื่องเหล่านี้ เราไว้คุยกันต่อก็แล้วกัน แต่คุณศาสตริน คงจะต้องติดต่อถามมา ให้ละเอียดว่า อาการอื่นๆ มีอะไรบ้าง จึงจะตอบให้หายข้องใจได้
อย่างไรก็ตาม ขอแนะนำว่า เรื่องที่ถามมานั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งต่อสุขภาพ และชีวิต ขอให้หาทาง และหาเวลาแก้ไข ให้ได้เสียแต่เดี๋ยวนี้
อย่าประมาทเป็นอันขาด อย่าคิดว่าเดี๋ยวนี้ยังไม่เห็นเป็นอะไรเลย ยังเดินได้ กินได้ ทำงานได้อยู่ จะไปร้อนใจทำไม
ขอให้นึกไว้ เดี๋ยวนี้ที่ยังทำอะไรได้อยู่นั้น เพราะยังมีทุนเก่าอยู่ อายุยังน้อย ร่างกาย ยังทนไหว ก็เลยทำไปเรื่อยๆ
แล้วอีก 5 ปี 10 ปีข้างหน้าเล่า แน่ใจหรือเปล่าว่า ร่างกายจะทนได้ และทุนเก่านั้น ก็จะไม่มีวัน หมดไป
ท่านที่จดหมายจะมาคุยด้วย กรุณาส่งถึงผมโดยตรงที่ 36/31 หมู่ 13 ซอยยนต์ย้อย โชคชัย 4 ลาดพร้าว กทม. 10230 โทรศัพท์ 0-2570-8220 หรือ FAX ไปที่ 0-2570-8273.
ไทยรัฐ ๑๘ ส.ค. ๔๕
หนุ่มสาวตื่นเช้า-นอนดึก- กินไม่เป็นเวลา ขาดการออกกำลังกายจะทำอย่างไรดี?
สัปดาห์นี้ขออนุญาตตอบจดหมายสั้นๆ ของ คุณศาสตริน ก่อนดังต่อไปนี้
“กระผมได้ติดตามผลงานของอาจารย์มาเป็นเวลานานในคอลัมน์ “ชีวจิต” ทำให้มีความรู้ ในเรื่องของ โภชนาการและการดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ผมใคร่ขอความกรุณาอาจารย์ ให้ช่วยแนะนำวิธีการดำเนินชีวิต ในปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วย ความเร่งรีบ กิจกรรมในแต่ละวันของคนวัยทำงานนั้น คือ 1. ตื่นเช้า 2. นอนดึก 3. กินอาหาร ไม่เป็นเวลา 4. ขาดการออกกำลังกาย
ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ทำให้การดำเนิน ชีวิตประจำวันของคนทำงาน เปลี่ยนแปลงไปมาก ตามเหตุผล ที่ผมได้เรียนข้างต้นแล้ว ขอความกรุณาท่านช่วยลงในคอลัมน์ของท่านให้แนะนำ วิธีการ แก้ไขปัญหา หรือชี้แนะแนวทางด้วยเถิด
ผมมั่นใจว่ายังมีคนที่อยู่ในวัยทำงานอีกมากมีกิจวัตรเช่นผม ขอความกรุณาท่าน ช่วยตอบ คำถามผม ผ่านคอลัมน์ “ชีวจิต” ในหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง
คุณศาสตรินครับ
ผมชอบใจจดหมายคุณศาสตรินตรงที่ว่า “มั่นใจว่ายังมีคนที่อยู่ในวัยทำงานอีกมาก มีกิจวัตร เช่นผม”
ผมเชื่อว่าคุณศาสตรินเป็นคนหนุ่มที่ค่อนข้างจะซีเรียสกับชีวิตการทำงาน และ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนหนุ่ม ทันสมัย ที่คิดถึงเรื่องสุขภาพ ของตัวเองพร้อมกันไปด้วย เชื่อไหมเล่าครับ คุณศาสตริน เป็นหนุ่มคนแรก ที่จดหมายมาถามผม เรื่องชีวิตของคน ทำงานแบบนี้ ส่วนมาก จดหมายที่ถามมา จะเป็นจดหมาย เกี่ยวกับเรื่องการเจ็บป่วย แทบทั้งสิ้น
ผมเคยเขียนและเคยบรรยายไว้หลายหนแล้วว่า พื้นฐานที่สำคัญที่สุด ของการสร้างสุขภาพที่ดี ของทุกคน ขึ้นอยู่กับ การจัดชีวิตประจำวัน ให้พอดี และได้สัดส่วนกัน
ผมแบ่งเรื่อง “ชีวิตประจำวัน” ออกเป็น 5 อย่าง คือ 1. กิน 2. นอน 3. ทำงาน 4. พักผ่อน 5. ออกกำลังกาย ทั้ง 5 อย่างนี้เราจะต้องทำให้ครบ และทำให้พอดีๆ ได้ส่วนกัน
ดังที่ได้บอกแล้วว่า พื้นฐานของการสร้างสุขภาพที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับ ชีวิตประจำวัน ฉะนั้น เมื่อจะฟื้นฟู สุขภาพ ของเราให้แข็งแรง สมบูรณ์สดใส ทั้งกายและใจ เราก็ต้องฟื้นฟู ชีวิตประจำวันของเรา ให้ถูก ต้องเสียก่อน
ทุกวันนี้ชีวิตประจำวัน 5 อย่างที่เอ่ยถึงเราทำผิดหมด เรากินผิด นอนผิด ทำงานผิด พักผ่อนผิด และ ออกกำลังกายผิดๆ
ลองมาดูว่าพื้น ฐานของความคิดเกี่ยวแก่กิจกรรม 5 อย่างนี้ ผิดอย่างไร
การกิน เราเชื่อกันมานานว่าอาหารดีๆ นั้นต้องเป็นอาหารแพงๆ และต้องอร่อย แต่อาหารแพง อร่อยนั้น ไม่ใช่อาหารดีมีประโยชน์ ตรงกันข้าม จะเป็นอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไป ใส่รสชาติจัดๆ มากเกินไป มีสารพิษมากเกินไป อาหารเหล่านี้ เมื่อกินเข้าไป จะสร้างท็อกซิน หรือ พิษในตัวเรา ยิ่งกินมาก ก็สะสมในตัวมาก จนในที่สุด เราก็ป่วย อายุสั้น โดยไม่จำเป็นเลย
วิธีแก้ เราจึงแก้ด้วยการแนะนำให้กินอาหารธรรมชาติหรือใกล้ธรรมชาติมากที่สุด เราได้จัดสูตร อาหารง่ายๆ และมีตัวอย่าง อาหารหลายชุด (ได้ขอให้พี่เลี้ยงของชมรม จัดส่งหนังสือมาให้แล้ว)
การนอน นี่ก็อีกเหมือนกัน เราเชื่อกันว่าการนอนจะต้องนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย หนุ่มสาวบางคน ทำงานดึก หรือบางทีเที่ยวดึกๆ มากไปหน่อย ก็เชื่อกันว่า ต้องนอนให้คุ้ม เลยนอนกันข้ามวัน ข้ามคืนไปเลยก็มี
นั่นคือการนอนผิด การนอนที่ถูกเราเน้นตรง ที่หัดนอนให้ หลับลึกและหลับสนิท ถ้าทำได้นอนเพียง 6 ชั่วโมงก็พอ แล้ว และยังแถมได้ GROWTH HORMONE ซึ่งเป็นยาวิเศษ หลั่งออกมา เวลาเราหลับด้วย
การทำงาน ที่เห็นกันส่วนมาก โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ ทำ งานกันอย่างชนิด ไม่มีความสุข ยิ่งเป็นงาน ที่ไม่ใช่ของตัว เอง แต่เป็นงานบริษัท หรือราชการ มักจะมีแต่ ความไม่พอ ใจ เกลียดงาน เบื่องาน และเครียด
เรามีวิธีหัด ที่จะรู้จักหาแง่มุม ที่น่าสนใจของงาน ทำงานอย่างสนุกสนาน มีใจรัก และหา ความก้าวหน้า ในการงานอยู่เรื่อยๆ
ทำอะไรก็ตามต้องเอนจอย-สนุกสนานกับการทำงาน
การพักผ่อน มักจะเข้าใจว่า ถ้าจะพักผ่อนต้องลางานสองอาทิตย์ไปเที่ยวเขา-ทะเล หรือ ไปต่างประเทศ หรือไม่ ก็ไปดูหนัง ดูละคร ฟังเพลง จึงจะเป็นการพักผ่อน
แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็น เราหัดให้ตัวเราผ่อนคลาย (RELAXATION) และพักผ่อน ทั้งกายทั้งใจ ได้ด้วยสมาธิแบบง่ายๆ แต่คุณต้องหัดผ่อนคลาย ให้ได้เสียก่อน
การออกกำลังกาย ต้องออกทุกคนครับ ไม่ว่าจะเด็กหรือหนุ่มหรือแก่ (คำว่าแก่นี่พวกชีวจิต เขาว่า เป็นคำหยาบนะครับ) ต้องออกกำลังกายทุกคน
หลักง่ายๆ มีอยู่ว่า จะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาแบบไหนได้ทั้งนั้น แต่คุณต้อง 1. สนุกสนาน หรือ เอนจอย 2. ออกกำลังกายให้ถึง PEAK เพื่อที่ยาวิเศษ GROWTH HORMONE จะได้หลั่งออกมา
คุณศาสตรินครับ ทั้งหมดนี้เป็นหลักใหญ่ กว้างๆ ซึ่งแน่นอนละจะต้องลง รายละเอียด สำหรับ คุณศาสตริน โดยเฉพาะ อีกต่างหาก แต่คงจะยาก เพราะหน้ากระดาษจำกัด ผมเขียนเป็นหนังสือ เล่มใหญ่ไว้หลายเล่ม ถ้าคุณมีเวลา ลองหาโอกาสอ่านดูบ้างเถิด แล้วจะเข้าใจ เรื่องการปรับปรุงตัวเอง ได้เป็นอย่างดี
แต่ขอแถมเรื่องเฉพาะสำหรับคนหนุ่มอย่างคุณศาสตริน เพื่อเป็นกำลังใจไว้หน่อยหนึ่งว่า ขอให้เริ่ม ตั้งโปรแกรม การปรับปรุงตัวเอง ไว้แต่เดี๋ยวนี้ เพราะรู้สึกว่า คุณศาสตริน จะเป็นคนหนุ่ม ที่เอาจริง เอาจังต่อชีวิต และคงจะทุ่มเท เวลาทั้งหมด ให้กับงาน จนลืมสุขภาพของตัวเอง
สมัยนี้หาคนหนุ่มอย่างคุณศาสตรินคงจะยากมากๆ แต่ผมไม่อยากจะให้ คุณแก่เร็ว จึงอยาก จะขอให้คุณ รีบปรับตัวเสียแต่เดี๋ยวนี้ ควรจะปรับเรื่อง ชีวิตประจำวันทั้ง 5 อย่างให้ได้
ขั้นแรกขอให้ปรับเรื่องการกินก่อน อย่าแก้ตัวให้ตัวเองว่า หาอาหาร ตามสูตรชีวจิต ลำบาก และ ไม่มีเวลา ถ้าคุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ ก็ต้องตั้งใจให้แน่วแน่ แล้วจะพบว่า เวลาที่จะให้แก่ตัวเองนั้น มีมากมาย
ยกตัวอย่าง เรื่องข้าวซ้อมมือ ในบ้านของคุณอาจจะไม่มีใครกิน คุณก็กินของคุณคนเดียวก็ได้ หาหม้อ หุงข้าวไฟฟ้าใบเล็กๆ สักหนึ่งใบ กลับถึงบ้าน ก็เอาข้าวซ้อมมือ แช่น้ำไว้สักชั่วโมง แล้วเอาใส่หม้อ เสียบปลั๊กไว้สักครึ่งชั่วโมง ก็กินได้แล้ว กับข้าวก็ลองทำเองง่ายๆ ตามสูตรชีวจิต อาหารกลางวัน ลองทำง่ายๆ โดยเอาขนมปังโฮล-วีท ทำแซนด์วิช ไปกินที่ทำงาน ก็สะดวกดี
ไส้แซนด์วิชก็ทำไว้ล่วงหน้า ไส้ถั่ว ไส้เห็ด ไส้ปลา ทำใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้ก่อน ถึงเวลาจะไปทำงาน ปิ้งขนมปัง เสียหน่อย แล้วเอาไส้แต่ละชนิด ทาขนมปัง หาผักต่างๆ ถั่วกินเล่นต่างๆ เป็นเครื่องแนม ห่อไปด้วย เท่านี้ก็จะได้อาหารกลางวัน ทำง่ายๆ ไม่ต้องเสียเวลา มากมายเลย
นี่เป็นเพียงตัวอย่างย่อยๆ ซึ่งคุณศาสตริน น่าจะทำได้ แต่ก็ต้องขอโทษ ที่คงไม่แก้ปัญหา ทั้งหมดของคุณได้ เพราะต้องอธิบาย ยาวกว่านี้มาก
อยากจะให้คุณศาสตริน ไปร่วมออกกำลังกายกับชมรมของเรา ซึ่งมีหลายแห่ง สวนรถไฟ (หลังสวน จตุจักร เช้าวันอาทิตย์ สันติไชยปราการ บางลำพู เช้าวันเสาร์ สวนลุม เช้าวันอาทิตย์)
ถ้าคุณไปจะได้พบเพื่อนฝูงมากมาย และเรายังมีพี่เลี้ยงตอบปัญหาต่างๆ ให้คุณด้วย ไม่ต้อง เสียเงินครับ ฟรีหมดทุกอย่าง
หรือมิฉะนั้น ก็ไปร่วมคอร์สสุขภาพ ไปฟังคำบรรยาย ซึ่งเราจะประกาศ ในคอลัมน์นี้ เป็นครั้งเป็นคราว.
ไทยรัฐ ๑๑ ส.ค. ๔๕
“กระผมได้ติดตามผลงานของอาจารย์มาเป็นเวลานานในคอลัมน์ “ชีวจิต” ทำให้มีความรู้ ในเรื่องของ โภชนาการและการดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ผมใคร่ขอความกรุณาอาจารย์ ให้ช่วยแนะนำวิธีการดำเนินชีวิต ในปัจจุบัน ซึ่งเต็มไปด้วย ความเร่งรีบ กิจกรรมในแต่ละวันของคนวัยทำงานนั้น คือ 1. ตื่นเช้า 2. นอนดึก 3. กินอาหาร ไม่เป็นเวลา 4. ขาดการออกกำลังกาย
ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจที่ทำให้การดำเนิน ชีวิตประจำวันของคนทำงาน เปลี่ยนแปลงไปมาก ตามเหตุผล ที่ผมได้เรียนข้างต้นแล้ว ขอความกรุณาท่านช่วยลงในคอลัมน์ของท่านให้แนะนำ วิธีการ แก้ไขปัญหา หรือชี้แนะแนวทางด้วยเถิด
ผมมั่นใจว่ายังมีคนที่อยู่ในวัยทำงานอีกมากมีกิจวัตรเช่นผม ขอความกรุณาท่าน ช่วยตอบ คำถามผม ผ่านคอลัมน์ “ชีวจิต” ในหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง
คุณศาสตรินครับ
ผมชอบใจจดหมายคุณศาสตรินตรงที่ว่า “มั่นใจว่ายังมีคนที่อยู่ในวัยทำงานอีกมาก มีกิจวัตร เช่นผม”
ผมเชื่อว่าคุณศาสตรินเป็นคนหนุ่มที่ค่อนข้างจะซีเรียสกับชีวิตการทำงาน และ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นคนหนุ่ม ทันสมัย ที่คิดถึงเรื่องสุขภาพ ของตัวเองพร้อมกันไปด้วย เชื่อไหมเล่าครับ คุณศาสตริน เป็นหนุ่มคนแรก ที่จดหมายมาถามผม เรื่องชีวิตของคน ทำงานแบบนี้ ส่วนมาก จดหมายที่ถามมา จะเป็นจดหมาย เกี่ยวกับเรื่องการเจ็บป่วย แทบทั้งสิ้น
ผมเคยเขียนและเคยบรรยายไว้หลายหนแล้วว่า พื้นฐานที่สำคัญที่สุด ของการสร้างสุขภาพที่ดี ของทุกคน ขึ้นอยู่กับ การจัดชีวิตประจำวัน ให้พอดี และได้สัดส่วนกัน
ผมแบ่งเรื่อง “ชีวิตประจำวัน” ออกเป็น 5 อย่าง คือ 1. กิน 2. นอน 3. ทำงาน 4. พักผ่อน 5. ออกกำลังกาย ทั้ง 5 อย่างนี้เราจะต้องทำให้ครบ และทำให้พอดีๆ ได้ส่วนกัน
ดังที่ได้บอกแล้วว่า พื้นฐานของการสร้างสุขภาพที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับ ชีวิตประจำวัน ฉะนั้น เมื่อจะฟื้นฟู สุขภาพ ของเราให้แข็งแรง สมบูรณ์สดใส ทั้งกายและใจ เราก็ต้องฟื้นฟู ชีวิตประจำวันของเรา ให้ถูก ต้องเสียก่อน
ทุกวันนี้ชีวิตประจำวัน 5 อย่างที่เอ่ยถึงเราทำผิดหมด เรากินผิด นอนผิด ทำงานผิด พักผ่อนผิด และ ออกกำลังกายผิดๆ
ลองมาดูว่าพื้น ฐานของความคิดเกี่ยวแก่กิจกรรม 5 อย่างนี้ ผิดอย่างไร
การกิน เราเชื่อกันมานานว่าอาหารดีๆ นั้นต้องเป็นอาหารแพงๆ และต้องอร่อย แต่อาหารแพง อร่อยนั้น ไม่ใช่อาหารดีมีประโยชน์ ตรงกันข้าม จะเป็นอาหารที่ปรุงแต่งมากเกินไป ใส่รสชาติจัดๆ มากเกินไป มีสารพิษมากเกินไป อาหารเหล่านี้ เมื่อกินเข้าไป จะสร้างท็อกซิน หรือ พิษในตัวเรา ยิ่งกินมาก ก็สะสมในตัวมาก จนในที่สุด เราก็ป่วย อายุสั้น โดยไม่จำเป็นเลย
วิธีแก้ เราจึงแก้ด้วยการแนะนำให้กินอาหารธรรมชาติหรือใกล้ธรรมชาติมากที่สุด เราได้จัดสูตร อาหารง่ายๆ และมีตัวอย่าง อาหารหลายชุด (ได้ขอให้พี่เลี้ยงของชมรม จัดส่งหนังสือมาให้แล้ว)
การนอน นี่ก็อีกเหมือนกัน เราเชื่อกันว่าการนอนจะต้องนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย หนุ่มสาวบางคน ทำงานดึก หรือบางทีเที่ยวดึกๆ มากไปหน่อย ก็เชื่อกันว่า ต้องนอนให้คุ้ม เลยนอนกันข้ามวัน ข้ามคืนไปเลยก็มี
นั่นคือการนอนผิด การนอนที่ถูกเราเน้นตรง ที่หัดนอนให้ หลับลึกและหลับสนิท ถ้าทำได้นอนเพียง 6 ชั่วโมงก็พอ แล้ว และยังแถมได้ GROWTH HORMONE ซึ่งเป็นยาวิเศษ หลั่งออกมา เวลาเราหลับด้วย
การทำงาน ที่เห็นกันส่วนมาก โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ ทำ งานกันอย่างชนิด ไม่มีความสุข ยิ่งเป็นงาน ที่ไม่ใช่ของตัว เอง แต่เป็นงานบริษัท หรือราชการ มักจะมีแต่ ความไม่พอ ใจ เกลียดงาน เบื่องาน และเครียด
เรามีวิธีหัด ที่จะรู้จักหาแง่มุม ที่น่าสนใจของงาน ทำงานอย่างสนุกสนาน มีใจรัก และหา ความก้าวหน้า ในการงานอยู่เรื่อยๆ
ทำอะไรก็ตามต้องเอนจอย-สนุกสนานกับการทำงาน
การพักผ่อน มักจะเข้าใจว่า ถ้าจะพักผ่อนต้องลางานสองอาทิตย์ไปเที่ยวเขา-ทะเล หรือ ไปต่างประเทศ หรือไม่ ก็ไปดูหนัง ดูละคร ฟังเพลง จึงจะเป็นการพักผ่อน
แต่ความจริงแล้วไม่จำเป็น เราหัดให้ตัวเราผ่อนคลาย (RELAXATION) และพักผ่อน ทั้งกายทั้งใจ ได้ด้วยสมาธิแบบง่ายๆ แต่คุณต้องหัดผ่อนคลาย ให้ได้เสียก่อน
การออกกำลังกาย ต้องออกทุกคนครับ ไม่ว่าจะเด็กหรือหนุ่มหรือแก่ (คำว่าแก่นี่พวกชีวจิต เขาว่า เป็นคำหยาบนะครับ) ต้องออกกำลังกายทุกคน
หลักง่ายๆ มีอยู่ว่า จะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาแบบไหนได้ทั้งนั้น แต่คุณต้อง 1. สนุกสนาน หรือ เอนจอย 2. ออกกำลังกายให้ถึง PEAK เพื่อที่ยาวิเศษ GROWTH HORMONE จะได้หลั่งออกมา
คุณศาสตรินครับ ทั้งหมดนี้เป็นหลักใหญ่ กว้างๆ ซึ่งแน่นอนละจะต้องลง รายละเอียด สำหรับ คุณศาสตริน โดยเฉพาะ อีกต่างหาก แต่คงจะยาก เพราะหน้ากระดาษจำกัด ผมเขียนเป็นหนังสือ เล่มใหญ่ไว้หลายเล่ม ถ้าคุณมีเวลา ลองหาโอกาสอ่านดูบ้างเถิด แล้วจะเข้าใจ เรื่องการปรับปรุงตัวเอง ได้เป็นอย่างดี
แต่ขอแถมเรื่องเฉพาะสำหรับคนหนุ่มอย่างคุณศาสตริน เพื่อเป็นกำลังใจไว้หน่อยหนึ่งว่า ขอให้เริ่ม ตั้งโปรแกรม การปรับปรุงตัวเอง ไว้แต่เดี๋ยวนี้ เพราะรู้สึกว่า คุณศาสตริน จะเป็นคนหนุ่ม ที่เอาจริง เอาจังต่อชีวิต และคงจะทุ่มเท เวลาทั้งหมด ให้กับงาน จนลืมสุขภาพของตัวเอง
สมัยนี้หาคนหนุ่มอย่างคุณศาสตรินคงจะยากมากๆ แต่ผมไม่อยากจะให้ คุณแก่เร็ว จึงอยาก จะขอให้คุณ รีบปรับตัวเสียแต่เดี๋ยวนี้ ควรจะปรับเรื่อง ชีวิตประจำวันทั้ง 5 อย่างให้ได้
ขั้นแรกขอให้ปรับเรื่องการกินก่อน อย่าแก้ตัวให้ตัวเองว่า หาอาหาร ตามสูตรชีวจิต ลำบาก และ ไม่มีเวลา ถ้าคุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ได้ ก็ต้องตั้งใจให้แน่วแน่ แล้วจะพบว่า เวลาที่จะให้แก่ตัวเองนั้น มีมากมาย
ยกตัวอย่าง เรื่องข้าวซ้อมมือ ในบ้านของคุณอาจจะไม่มีใครกิน คุณก็กินของคุณคนเดียวก็ได้ หาหม้อ หุงข้าวไฟฟ้าใบเล็กๆ สักหนึ่งใบ กลับถึงบ้าน ก็เอาข้าวซ้อมมือ แช่น้ำไว้สักชั่วโมง แล้วเอาใส่หม้อ เสียบปลั๊กไว้สักครึ่งชั่วโมง ก็กินได้แล้ว กับข้าวก็ลองทำเองง่ายๆ ตามสูตรชีวจิต อาหารกลางวัน ลองทำง่ายๆ โดยเอาขนมปังโฮล-วีท ทำแซนด์วิช ไปกินที่ทำงาน ก็สะดวกดี
ไส้แซนด์วิชก็ทำไว้ล่วงหน้า ไส้ถั่ว ไส้เห็ด ไส้ปลา ทำใส่ขวดแช่ตู้เย็นไว้ก่อน ถึงเวลาจะไปทำงาน ปิ้งขนมปัง เสียหน่อย แล้วเอาไส้แต่ละชนิด ทาขนมปัง หาผักต่างๆ ถั่วกินเล่นต่างๆ เป็นเครื่องแนม ห่อไปด้วย เท่านี้ก็จะได้อาหารกลางวัน ทำง่ายๆ ไม่ต้องเสียเวลา มากมายเลย
นี่เป็นเพียงตัวอย่างย่อยๆ ซึ่งคุณศาสตริน น่าจะทำได้ แต่ก็ต้องขอโทษ ที่คงไม่แก้ปัญหา ทั้งหมดของคุณได้ เพราะต้องอธิบาย ยาวกว่านี้มาก
อยากจะให้คุณศาสตริน ไปร่วมออกกำลังกายกับชมรมของเรา ซึ่งมีหลายแห่ง สวนรถไฟ (หลังสวน จตุจักร เช้าวันอาทิตย์ สันติไชยปราการ บางลำพู เช้าวันเสาร์ สวนลุม เช้าวันอาทิตย์)
ถ้าคุณไปจะได้พบเพื่อนฝูงมากมาย และเรายังมีพี่เลี้ยงตอบปัญหาต่างๆ ให้คุณด้วย ไม่ต้อง เสียเงินครับ ฟรีหมดทุกอย่าง
หรือมิฉะนั้น ก็ไปร่วมคอร์สสุขภาพ ไปฟังคำบรรยาย ซึ่งเราจะประกาศ ในคอลัมน์นี้ เป็นครั้งเป็นคราว.
ไทยรัฐ ๑๑ ส.ค. ๔๕
โลกนี้เค็มเหลือเกิน
พื้นที่ของโลกทั้งหมดเป็นน้ำเสีย 72% หรือเกือบจะ 3/4 ของโลกเป็นน้ำ
และน้ำเกือบทั้งหมดเป็นน้ำทะเล ถ้าเอาน้ำทะเลทั้งหมดมาต้มให้ระเหยกลายเป็นไอ ก็จะได้เกลือ ปริมาณ มากมายนักหนา สามารถจะท่วมพื้นดิน ทั้งหมดของโลก ให้สูงเทียมฟ้า (น้ำทะเล 1 กก. จะมีเกลือ 35 กรัม)
โลกเรานี้เค็มเหลือประมาณ เท่านั้นยังไม่พอ คนเรายังเค็มตามโลกเข้าไปด้วย อาหารการกิน ทุกอย่าง ของคนสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้เหมือนกับกินเกลืออย่างเดียว เกือบจะไม่รู้รส ของอาหารแท้ๆ เอาเสียเลย
อาหารกระป๋องแทบทุกอย่างต้องใส่เกลือ ผักกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง ซุป เครื่องแกง อาหารแช่แข็ง แม้แต่กระทั่ง ไอศกรีมยังต้องใส่เกลือ เนยแข็ง อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง ขนมปังกรอบ ขนมปัง อาหาร อบทอด อาหารกินเล่นทุกอย่าง
เป็นไปได้อย่างไร แม้แต่ของหวานอย่างไอศกรีมยังต้องใส่เกลือ คำตอบง่ายมาก ของหวาน ใส่เกลือลงไปแล้ว ทำให้รสหวานนั้น กลมกล่อมยิ่งขึ้น
อาหารเด็กอ่อนก็เหมือนกัน ต้องการรสหวาน และเมื่อจะให้นมหรืออาหารเด็กอ่อน มีรสอร่อยขึ้น ก็ต้องใส่เกลือ ลงไปด้วยเช่นกัน
เด็กสมัยใหม่ของเรา ไม่ค่อยได้มีโอกาสกินนมแม่ แต่เขาจะถูกฝึกให้กินเค็ม ตั้งแต่เกิด
สมมติว่าเด็กหรือหนุ่มสาวสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้ เขากินแต่อาหารสมัยใหม่หรือฟาสต์ฟู้ด ลองมาดูกันว่า วันหนึ่ง เขากินเค็มกันอย่างไร
ว่ากันตั้งแต่อาหารมื้อเช้าก่อน มื้อเช้าประกอบไปด้วย ไข่ดาว 1 ฟอง เบคอน 3 ชิ้น ขนมปังปิ้ง 2 แผ่น ไส้กรอกทอด 2 แท่ง
อาหารกลางวัน แซนด์วิชทูน่า 2 คู่ สลัดผักหนึ่งจาน
อาหารเย็น ซุปไก่ 1 ถ้วย พิซซ่าขนาดเล็กหนึ่งชิ้น ถั่วแดงอบราดซอส 1 ถ้วย ไส้กรอกเยอรมัน 1 แท่งใหญ่ ถั่วฝักยาวกระป๋องอบเนย 1 ถ้วย
ถ้ารายการอาหารแบบคนสมัยใหม่อย่างนี้ ศาสตราจารย์เคอร์มิท แทนทัม แห่งวิทยาลัยแพทย์ มิลตัน เฮอร์เชย์ เพนซิลวาเนีย ได้ลองแยกแยะดู จะได้เกลือเค็ม ดังต่อไปนี้
ไข่ดาวใส่เกลือ-พริก-ไทย เกลือ 1,000 มก. เบคอน 3 ชิ้น เกลือ 1,200 มก. ไส้กรอก 2 แท่ง เกลือ 900 มก. แซนด์วิชทูน่า 2 คู่ เกลือ 860 มก. ซุปไก่ 1 ถ้วย เกลือ 1,050 มก. พิซซ่า 1 ชิ้น เกลือ 650 มก. ถั่วแดงอบราดซอส เกลือ 900 มก. ไส้กรอกเยอรมัน เกลือ 1,000 มก. ถั่วฝักยาว เกลือ 925 มก.
รวมแล้วเป็นเกลือทั้งหมด 8,485 มก. หรือ 8.5 กรัม ซึ่งจะเกินไปจากที่กรรมการอาหาร และยา ของสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดไว้ถึงกว่า 2 เท่าตัว ปริมาณเกลือต่อวันนี้ ยังไม่ได้นับถึง อาหาร กินเล่น ประเภทกรอบๆ เช่น ถั่ว มันฝรั่งด้วย ซึ่งถ้ารวมอาหารเหล่านี้เข้าไป ปริมาณ เกลือต่อวัน ก็จะเป็นพิษต่อร่างกายแน่นอน
ตัวอย่างและตัวเลขปริมาณเกลือที่กล่าวมานี้ เป็นตัวเลข จริงๆ ซึ่งสำรวจมาแล้วจากอาหารประจำวัน คนอเมริกัน ผม ได้เอามาเปรียบโดย อนุโลมเข้ากับ อาหารฟาสต์ฟู้ด ของคนไทย ซึ่งขณะนี้ กำลังมีอิทธิพล ต่อชีวิตคนไทย สมัยใหม่ มากเหลือเกิน
ตัวเลขที่น่าสนใจที่สุดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งศาสตราจารย์แทนทัม ได้รวบรวมไว้ก็คือ น้ำอัดลม และน้ำหวานต่างๆ นั้น มีเกลือ ผสมอยู่ด้วยทั้งสิ้น เริ่มต้นด้วย เบียร์หนึ่งขวด มี เกลือถึง 25 มก. น้ำมะนาว (หวาน) มี เกลือ 50 มก. น้ำส้ม 1 กล่อง มี เกลือ 35 มก. น้ำสับปะรด 1 กล่อง มี เกลือ 8 มก. เหล่านี้ เป็นต้น
ส่วนนมเนยเหลว เนยแข็งนั้น ไม่ต้องสงสัย ต้องใช้เกลือผสม เพื่อไม่ให้เสียเร็ว อย่างหนึ่ง และเพื่อให้ รสอร่อยขึ้น อย่างเช่น เนยแข็ง พามีซาน 1 ชิ้น 28 กรัม มีเกลืออยู่ถึง 528 มก. (โอ้โฮ)
แล้วพวกชอบกินพิซซ่าอยู่ทุกวันเป็นไง หายใจออกมา สงสัยมีกลิ่นเกลือ คลุ้งไปหมด
ศาสตราจารย์แทนทัมได้แอบแวะไปที่ร้านแฮมเบอร์เกอร์ดังๆ หลายร้าน และนี่คือ รายงาน ของแทนทัม
แฮมเบอร์เกอร์ เนื้อ และเนยแข็ง 1 ก้อน มีเกลือ 1,220 มก. แฮมและเนยแข็ง 1,350 มก. เนื้อย่าง ซุปเปอร์ 1,420 มก. แซนด์วิชสวิสส์คิง 1,585 มก. ไก่งวงเดอลักซ์ 1,220 มก.
ตามสถิติในอเมริกาเมื่อ 20 ปีมาแล้ว(ปี 1981) มีประชาชนประมาณ 30% เป็นโรคความดัน โลหิตสูง ในปัจจุบัน อัตราความดันโลหิตสูง ของคนอเมริกัน คงจะมากกว่านี้ อีกสองเท่าเป็นอย่างน้อย
เพราะปัจจุบันคนกินอาหารฟาสต์ฟู้ดกันมากขึ้น ที่น่าแปลกก็คือ เมื่อ 20 ปีมาแล้ว เมื่อตรวจสุขภาพ ของคนเหล่านี้ พบว่าเป็นความดันโลหิตสูง เมื่อถามว่า ทราบไหมว่า ความดันโลหิตสูง ของคนเหล่านี้ เกิดจากอะไร คำตอบที่น่าอัศจรรย์ก็คือ 90% ของคนเหล่านี้ ตอบว่าไม่รู้ แสดงว่า เมื่อ 20 ปีก่อน ประชากร ชาวอเมริกัน ไม่มีความรู้ ในเรื่องอาหารการกินเอาเสียเลย
เมื่อมาดูเมืองไทยเราเพิ่งจะเริ่มเห่ออาหารฝรั่ง และเริ่มจะเห่ออาหาร ฟาสต์ฟู้ด ฉะนั้น โรคต่างๆ อันเกิดจากกินอาหารผิดๆ คนไทยไม่ค่อยรู้ และไม่สนใจอีกเช่นกัน
แต่ขอให้ทราบเถิดว่า นอกจากความดันโลหิตจะสูงแล้ว ยังโยงไปถึงโรคไต และโรค หัวใจด้วย นอกจาก เป็นสาเหตุโดยตรง ยังจะโยงไปถึงโรคมะเร็งได้อีก มะเร็งตับ มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะ มะเร็งลำไส้ใหญ่ และ มะเร็งต่อมลูกหมากนั้น เกลือเป็น ส่วนประกอบ ที่ทำให้เกิดเป็น มะเร็งเหล่านี้ได้
ฉะนั้น ตอนนี้ก็ขอชักชวนให้เพื่อนๆ ชีวจิตทุกคนได้ลดการติดเค็มลงบ้างเสียก่อน เรื่องรสชาติ ของอาหาร เมื่อติดอย่างใดอย่างหนึ่งจนเป็นนิสัยแล้ว ยากเหลือเกินที่จะแก้นิสัย เหล่านั้นได้ ถึงคุณจะติด การกิน เค็มมากเพียงใดก็ตาม เพียงแต่ลองแข็งใจ ลดเค็มได้บ้าง เล็กน้อยก่อน ก็ยังดี เมื่อเคยชิน กับการลดแล้ว จึงค่อยๆ ลดมากขึ้น จนลดลงมาเหลือกินเค็ม (เกลือ) เพียงวันละ ไม่เกิน 3 หรือ 5 มก. ได้เป็นดีที่สุด วิธีหัดง่ายๆ อย่างหนึ่งก็คือ
1. อาหารทุกอย่างที่มีคนยกมาตั้งตรงหน้าคุณ อย่าเติมอะไรเลย กินตามรสที่เขาปรุงมาให้เท่านั้น
2. เมื่อเคยชินกับอาหารทุกอย่างไม่เติมรสอะไรเลย แล้วจึงค่อยๆ ลดความเข้มข้น ของอาหาร แต่ละชนิดต่อไป จนมีรสจืด เป็นตัวนำ
3. หัดชื่นชมกับรสธรรมชาติให้มากขึ้น เช่น ผักหรือแตงกวา กินสดๆ จืดๆ จะมีรสกรอบ -หวานอร่อย ตามธรรมชาติ.
ไทยรัฐ ๔ ส.ค. ๔๕ ชีวจิต
และน้ำเกือบทั้งหมดเป็นน้ำทะเล ถ้าเอาน้ำทะเลทั้งหมดมาต้มให้ระเหยกลายเป็นไอ ก็จะได้เกลือ ปริมาณ มากมายนักหนา สามารถจะท่วมพื้นดิน ทั้งหมดของโลก ให้สูงเทียมฟ้า (น้ำทะเล 1 กก. จะมีเกลือ 35 กรัม)
โลกเรานี้เค็มเหลือประมาณ เท่านั้นยังไม่พอ คนเรายังเค็มตามโลกเข้าไปด้วย อาหารการกิน ทุกอย่าง ของคนสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้เหมือนกับกินเกลืออย่างเดียว เกือบจะไม่รู้รส ของอาหารแท้ๆ เอาเสียเลย
อาหารกระป๋องแทบทุกอย่างต้องใส่เกลือ ผักกระป๋อง ผลไม้กระป๋อง ซุป เครื่องแกง อาหารแช่แข็ง แม้แต่กระทั่ง ไอศกรีมยังต้องใส่เกลือ เนยแข็ง อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง ขนมปังกรอบ ขนมปัง อาหาร อบทอด อาหารกินเล่นทุกอย่าง
เป็นไปได้อย่างไร แม้แต่ของหวานอย่างไอศกรีมยังต้องใส่เกลือ คำตอบง่ายมาก ของหวาน ใส่เกลือลงไปแล้ว ทำให้รสหวานนั้น กลมกล่อมยิ่งขึ้น
อาหารเด็กอ่อนก็เหมือนกัน ต้องการรสหวาน และเมื่อจะให้นมหรืออาหารเด็กอ่อน มีรสอร่อยขึ้น ก็ต้องใส่เกลือ ลงไปด้วยเช่นกัน
เด็กสมัยใหม่ของเรา ไม่ค่อยได้มีโอกาสกินนมแม่ แต่เขาจะถูกฝึกให้กินเค็ม ตั้งแต่เกิด
สมมติว่าเด็กหรือหนุ่มสาวสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้ เขากินแต่อาหารสมัยใหม่หรือฟาสต์ฟู้ด ลองมาดูกันว่า วันหนึ่ง เขากินเค็มกันอย่างไร
ว่ากันตั้งแต่อาหารมื้อเช้าก่อน มื้อเช้าประกอบไปด้วย ไข่ดาว 1 ฟอง เบคอน 3 ชิ้น ขนมปังปิ้ง 2 แผ่น ไส้กรอกทอด 2 แท่ง
อาหารกลางวัน แซนด์วิชทูน่า 2 คู่ สลัดผักหนึ่งจาน
อาหารเย็น ซุปไก่ 1 ถ้วย พิซซ่าขนาดเล็กหนึ่งชิ้น ถั่วแดงอบราดซอส 1 ถ้วย ไส้กรอกเยอรมัน 1 แท่งใหญ่ ถั่วฝักยาวกระป๋องอบเนย 1 ถ้วย
ถ้ารายการอาหารแบบคนสมัยใหม่อย่างนี้ ศาสตราจารย์เคอร์มิท แทนทัม แห่งวิทยาลัยแพทย์ มิลตัน เฮอร์เชย์ เพนซิลวาเนีย ได้ลองแยกแยะดู จะได้เกลือเค็ม ดังต่อไปนี้
ไข่ดาวใส่เกลือ-พริก-ไทย เกลือ 1,000 มก. เบคอน 3 ชิ้น เกลือ 1,200 มก. ไส้กรอก 2 แท่ง เกลือ 900 มก. แซนด์วิชทูน่า 2 คู่ เกลือ 860 มก. ซุปไก่ 1 ถ้วย เกลือ 1,050 มก. พิซซ่า 1 ชิ้น เกลือ 650 มก. ถั่วแดงอบราดซอส เกลือ 900 มก. ไส้กรอกเยอรมัน เกลือ 1,000 มก. ถั่วฝักยาว เกลือ 925 มก.
รวมแล้วเป็นเกลือทั้งหมด 8,485 มก. หรือ 8.5 กรัม ซึ่งจะเกินไปจากที่กรรมการอาหาร และยา ของสหรัฐอเมริกา ได้กำหนดไว้ถึงกว่า 2 เท่าตัว ปริมาณเกลือต่อวันนี้ ยังไม่ได้นับถึง อาหาร กินเล่น ประเภทกรอบๆ เช่น ถั่ว มันฝรั่งด้วย ซึ่งถ้ารวมอาหารเหล่านี้เข้าไป ปริมาณ เกลือต่อวัน ก็จะเป็นพิษต่อร่างกายแน่นอน
ตัวอย่างและตัวเลขปริมาณเกลือที่กล่าวมานี้ เป็นตัวเลข จริงๆ ซึ่งสำรวจมาแล้วจากอาหารประจำวัน คนอเมริกัน ผม ได้เอามาเปรียบโดย อนุโลมเข้ากับ อาหารฟาสต์ฟู้ด ของคนไทย ซึ่งขณะนี้ กำลังมีอิทธิพล ต่อชีวิตคนไทย สมัยใหม่ มากเหลือเกิน
ตัวเลขที่น่าสนใจที่สุดอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งศาสตราจารย์แทนทัม ได้รวบรวมไว้ก็คือ น้ำอัดลม และน้ำหวานต่างๆ นั้น มีเกลือ ผสมอยู่ด้วยทั้งสิ้น เริ่มต้นด้วย เบียร์หนึ่งขวด มี เกลือถึง 25 มก. น้ำมะนาว (หวาน) มี เกลือ 50 มก. น้ำส้ม 1 กล่อง มี เกลือ 35 มก. น้ำสับปะรด 1 กล่อง มี เกลือ 8 มก. เหล่านี้ เป็นต้น
ส่วนนมเนยเหลว เนยแข็งนั้น ไม่ต้องสงสัย ต้องใช้เกลือผสม เพื่อไม่ให้เสียเร็ว อย่างหนึ่ง และเพื่อให้ รสอร่อยขึ้น อย่างเช่น เนยแข็ง พามีซาน 1 ชิ้น 28 กรัม มีเกลืออยู่ถึง 528 มก. (โอ้โฮ)
แล้วพวกชอบกินพิซซ่าอยู่ทุกวันเป็นไง หายใจออกมา สงสัยมีกลิ่นเกลือ คลุ้งไปหมด
ศาสตราจารย์แทนทัมได้แอบแวะไปที่ร้านแฮมเบอร์เกอร์ดังๆ หลายร้าน และนี่คือ รายงาน ของแทนทัม
แฮมเบอร์เกอร์ เนื้อ และเนยแข็ง 1 ก้อน มีเกลือ 1,220 มก. แฮมและเนยแข็ง 1,350 มก. เนื้อย่าง ซุปเปอร์ 1,420 มก. แซนด์วิชสวิสส์คิง 1,585 มก. ไก่งวงเดอลักซ์ 1,220 มก.
ตามสถิติในอเมริกาเมื่อ 20 ปีมาแล้ว(ปี 1981) มีประชาชนประมาณ 30% เป็นโรคความดัน โลหิตสูง ในปัจจุบัน อัตราความดันโลหิตสูง ของคนอเมริกัน คงจะมากกว่านี้ อีกสองเท่าเป็นอย่างน้อย
เพราะปัจจุบันคนกินอาหารฟาสต์ฟู้ดกันมากขึ้น ที่น่าแปลกก็คือ เมื่อ 20 ปีมาแล้ว เมื่อตรวจสุขภาพ ของคนเหล่านี้ พบว่าเป็นความดันโลหิตสูง เมื่อถามว่า ทราบไหมว่า ความดันโลหิตสูง ของคนเหล่านี้ เกิดจากอะไร คำตอบที่น่าอัศจรรย์ก็คือ 90% ของคนเหล่านี้ ตอบว่าไม่รู้ แสดงว่า เมื่อ 20 ปีก่อน ประชากร ชาวอเมริกัน ไม่มีความรู้ ในเรื่องอาหารการกินเอาเสียเลย
เมื่อมาดูเมืองไทยเราเพิ่งจะเริ่มเห่ออาหารฝรั่ง และเริ่มจะเห่ออาหาร ฟาสต์ฟู้ด ฉะนั้น โรคต่างๆ อันเกิดจากกินอาหารผิดๆ คนไทยไม่ค่อยรู้ และไม่สนใจอีกเช่นกัน
แต่ขอให้ทราบเถิดว่า นอกจากความดันโลหิตจะสูงแล้ว ยังโยงไปถึงโรคไต และโรค หัวใจด้วย นอกจาก เป็นสาเหตุโดยตรง ยังจะโยงไปถึงโรคมะเร็งได้อีก มะเร็งตับ มะเร็งถุงน้ำดี มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะ มะเร็งลำไส้ใหญ่ และ มะเร็งต่อมลูกหมากนั้น เกลือเป็น ส่วนประกอบ ที่ทำให้เกิดเป็น มะเร็งเหล่านี้ได้
ฉะนั้น ตอนนี้ก็ขอชักชวนให้เพื่อนๆ ชีวจิตทุกคนได้ลดการติดเค็มลงบ้างเสียก่อน เรื่องรสชาติ ของอาหาร เมื่อติดอย่างใดอย่างหนึ่งจนเป็นนิสัยแล้ว ยากเหลือเกินที่จะแก้นิสัย เหล่านั้นได้ ถึงคุณจะติด การกิน เค็มมากเพียงใดก็ตาม เพียงแต่ลองแข็งใจ ลดเค็มได้บ้าง เล็กน้อยก่อน ก็ยังดี เมื่อเคยชิน กับการลดแล้ว จึงค่อยๆ ลดมากขึ้น จนลดลงมาเหลือกินเค็ม (เกลือ) เพียงวันละ ไม่เกิน 3 หรือ 5 มก. ได้เป็นดีที่สุด วิธีหัดง่ายๆ อย่างหนึ่งก็คือ
1. อาหารทุกอย่างที่มีคนยกมาตั้งตรงหน้าคุณ อย่าเติมอะไรเลย กินตามรสที่เขาปรุงมาให้เท่านั้น
2. เมื่อเคยชินกับอาหารทุกอย่างไม่เติมรสอะไรเลย แล้วจึงค่อยๆ ลดความเข้มข้น ของอาหาร แต่ละชนิดต่อไป จนมีรสจืด เป็นตัวนำ
3. หัดชื่นชมกับรสธรรมชาติให้มากขึ้น เช่น ผักหรือแตงกวา กินสดๆ จืดๆ จะมีรสกรอบ -หวานอร่อย ตามธรรมชาติ.
ไทยรัฐ ๔ ส.ค. ๔๕ ชีวจิต
แก้หวานแล้วก็ต้องแก้เค็ม (2)
ขอสรุปเรื่องเกลือไว้สั้นๆ ก่อนจะเขียนเรื่องรายละเอียดของเกลือต่อไป ข้อสรุปตอนนี้ มีอยู่ว่า “กินเกลือ หรือกินเค็มมากๆ เป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการ ความดันโลหิตสูง และ เป็นสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่ง ของการเป็นโรคไต และโรคหัวใจ”
ที่ผมสรุปตอนนี้ไว้ก่อน ก็เพราะมีการศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับอาหารเค็ม หรืออาหาร ที่มีเกลือ เป็นตัวสำคัญนั้น ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ เกิดโรคมะเร็งได้ด้วย โดยเฉพาะ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
นอกไปจากมะเร็งของลำไส้ใหญ่แล้ว ยังมีหลักฐานจากการค้นคว้าอีกด้วยว่า มะเร็งตับ ถุงน้ำดี หลอดอาหาร และกระเพาะนั้น เกลือหรืออาหารที่เค็มๆ ก็มีส่วนทำให้เป็นมะเร็งเหล่านี้ ได้อีกเช่นกัน
ทั้งนี้ เป็นผลของการค้นคว้าของกลุ่มนายแพทย์ เอฟ เอ็ม แซ็คส์ และชาลส์ ซิม โมนส์ และได้รายงาน ไว้ในวารสารการแพทย์ ของสมาคม แพทย์อเมริกัน ฉบับที่ 246 ปี 1981
อันที่จริงสาเหตุของการเป็นมะเร็งนั้น มีการค้นคว้ามานานแล้วว่า อาหารหลายชนิด มีส่วน เกี่ยวข้องอยู่ด้วย แต่คราวนี้ได้มีการยืนยันแน่นอนว่า เกลือและอาหารเค็มๆ นั้น ทำให้เป็นมะเร็ง ได้อีกเหมือนกัน
ตกลงเกลือและอาหารเค็มนั้น มีส่วนสำคัญและโดยตรงกับการป่วยด้วยความดันโลหิตสูง โรคไต และ โรคหัวใจได้ อาการป่วยของโรคเหล่านี้ ได้รับการยืนยัน จากวงการแพทย์ มานานกว่า สามสิบปีแล้ว
แต่สาเหตุที่เกลือทำให้เกิดเป็นมะเร็งด้วยนั้น เพิ่งจะมารู้กัน เมื่อไม่กี่ปีมานี้
ปัญหาที่น่าคิดก็คือ ถ้ากินเกลือหรือกินเค็มมากๆ แล้ว จะเป็นโรคหัวใจก่อน หรือ มะเร็งก่อน หรือว่า จะเป็นพร้อมๆ กันทั้งสองโรคเลย
คำตอบน่าจะเป็นว่า คงจะเริ่มต้นด้วยการป่วยเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง โรคไต และ โรคหัวใจก่อน
มีการทดลองของนายแพทย์ อาร์บี เชคเกล และ ไอ.เจอร์ แมน ซึ่งเป็นแพทย์กลุ่มเดียวกับ เอฟ เอ็ม แซ็คส์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เกลือนั้นทำให้เกิดอาการของความดันโลหิตสูง ได้รวดเร็วเหลือเกิน
แพทย์ทั้งสองท่านได้ทดสอบการกินอาหารของชาวนอร์เวย์ โดยให้กลุ่มชาวนอร์เวย์ ที่เป็น กลุ่มนิยม มังสวิรัติ ลองกินเนื้อสัตว์ล้วนๆ เป็นเวลาสองอาทิตย์
เนื้อที่ให้กินเป็นการทดลองนี้ มีทั้งเนื้อแบบ สเต็กและเนื้อเค็มชนิดต่างๆ เช่น เบคอน ไส้กรอก เหล่านี้ เป็นต้น
เมื่อกินเนื้อครบสองอาทิตย์ก็เจาะเลือดไปตรวจ ปรากฏว่า
คอเลสเทอรอลของผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมทดลองนี้ ขึ้นสูงกว่าเดิมถึง 19%คอเลสเทอรอล สูงขึ้นทันที ภายในเวลาสองอาทิตย์นี้ ต้องนับว่า ขึ้นเร็วอย่างผิดปกติ และ การขึ้นถึง 19 % นี้ก็ต้องนับว่า เป็นปริมาณที่สูงมาก เช่นกัน
ขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งว่า ที่กินเนื้อทำให้คอ-เลสเทอรอลสูง เพราะเกี่ยวกับเกลือนั้น ก็เพราะเนื้อ สัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัวนั้น มีทั้งโปรตีน และไขมัน และ ก็ต้องมีแร่ ธาตุกลุ่มเกลือปนอยู่ ด้วย นอกไปจากนั้น นอกจากสเต็กแล้ว ผู้ทดลองก็ยังกิน เนื้อเค็ม ประ-เภท เบคอน ไส้กรอก ซึ่งมีเกลือปน อยู่ปริมาณมากๆ ด้วย
กินเค็มอย่างไรจึงเรียกว่าเค็มมาก การจะนับว่าเค็ม มากเค็มน้อยนั้น เราต้องวัดดูว่าสัดส่วนของเกลือที่ กินเข้าไปมีส่วนเท่ากับน้ำที่ดื่มเข้าไปมากน้อยเพียงใดด้วย
ถ้าคุณกินน้ำวันหนึ่งๆ สักสองลิตร (ก็ราวๆ 8 แก้ว) ต่อวัน และคุณกินเกลือวันหนึ่ง ไม่เกินหนึ่งกรัม ก็แสดงว่า คุณกินเค็ม ในปริมาณที่พอดีๆ แล้ว
แต่รับรองครับว่าคนไทยเราสมัยนี้ กินเค็มมากเกินปริมาณที่วางไว้นี้ อย่างน้อย ก็ถึงสิบเท่า
อย่าลืมนะครับว่า เค็มในที่นี้ไม่ได้หมายความ ถึงเกลืออย่างเดียว แต่หมายถึง ซอส น้ำปลา ซีอิ๊ว และ ยังรวมถึง อาหารของไทย แบบพื้นบ้าน เช่น กะปิ ปลาร้า ปลาเจ่า เครื่องดอง ของเค็มต่างๆ
แล้วยังแถมอาหารกินเล่น ถั่วกรอบ มันกรอบๆ และแม้แต่อาหารหวานต่างๆ ก็ยังต้องมีเค็ม ปนอยู่ด้วย ไม่มีเว้น
คนไทยเรากินอาหารเค็มมากๆ มาตั้งแต่ เล็กแล้วครับ ยิ่งสมัยนี้นิยมอาหาร ฟาสต์ฟู้ด หรือ อาหารจานด่วน กันมากเหลือเกิน พวกเด็กๆ สมัยใหม่ของเรา กินเค็มกันมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วครับ
ฉะนั้น ความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคหัวใจ จึงน่าจะตั้งต้น ในคนไทยเรา มาตั้งแต่ เล็กๆ แล้ว
เมื่อมีอาการหรือความโน้มเอียงตั้งแต่เล็กๆ และพฤติกรรมหรือนิสัยการกินของเรา ไปติดอยู่ กับรสชาติ ของอาหาร ซึ่งต้องมีรสจัด หวานจัด เค็มจัด อย่างนี้ด้วยแล้ว บั้นปลายของชีวิต ก็คงจะหนักหนา สาหัสด้วยโรคไต โรคหัวใจ โรคอาไทรทิส (กระดูก-ข้อต่ออักเสบ) รวมไปถึง โรคของสมอง เช่น เส้นโลหิต ในสมองแตก หรือ อุดตัน เป็นต้น
ถ้าหากหลุดจากโรคเหล่านี้ไปได้ ก็อย่านึกว่าจะปลอดภัยนะครับ เพราะยังมีมะเร็ง รออยู่
การป้องกันนั้นพูดง่ายแต่ทำยาก นั่นก็คือ ลดเค็มโดยเด็ดขาด เกลือหรือเค็ม ปริมาณไม่เกิน หนึ่งกรัมต่อวันนั้น สำหรับคนที่ติดเค็มอยู่แล้ว ยากนักหนา ที่จะปฏิบัติได้ เพราะจะเหมือนกับ กินอาหารทุกอย่าง แบบจืดสนิท ตลอดเวลา
ลองแก้ง่ายๆ ด้วยวิธีกินอาหารทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าคุณโดยไม่เติมอะไรเลย จะดีไหมครับ ถ้าคุณแก้นิสัย ก่อนจะกินอาหาร ต้องคว้าขวดน้ำปลาไว้ก่อนได้ ไม่ช้าคุณก็จะค่อยๆ ลดการติดเค็มได้
อาทิตย์นี้ขอแถมข่าวคราวเรื่องการแพทย์ ทางเลือกและการแพทย์แบบ ผสมผสาน ซึ่งกำลังเป็นเรื่องฮิต อยู่ขณะนี้ อีกนิดหนึ่งครับ
ทางกระทรวงสาธารณสุขกำลังมีโครงการที่จะตั้งกรมใหม่ขึ้นมา เพื่อรองรับเรื่องการแพทย์ ทางเลือก และการแพทย์ ผสมผสาน พอดีกับนโยบาย ใหม่ของรัฐบาล เรื่องการปฏิรูป กระทรวง ทบวง กรม กำลังเข้าสู่ การพิจารณา ของรัฐสภาพอดี
ผมได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เมื่ออาทิตย์ ที่แล้ว เกี่ยวกับการพิจารณา ข้อมูลการแพทย์ทางเลือก
การอภิปรายและแสดงความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ทางเลือก มีข้อคิด ที่น่าสนใจ มากครับ แต่โดยเหตุ ที่จะเป็นการผิดมารยาท เป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากผม จะเอาเรื่อง ของการประชุม มาพูดเปิดเผย ในที่นี้ เพราะฉะนั้น ผมจะไม่พูด ถึงการประชุม แต่อยากจะเน้น ความเห็นส่วนตัว ของผม เกี่ยวกับการแพทย์ ทางเลือกไว้ดังนี้
1. การแพทย์ทางเลือกหลายๆ แนวทาง ซึ่งผู้รู้ (จริงๆ) ได้รวบรวมแนวทางแขนงต่างๆ ของการแพทย์ ทางเลือกไว้แล้ว จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับแพทย์และประชาชน เพราะแพทย์มีทางเลือก ในการให้การรักษา มากขึ้น และประชาชน ก็มีทางเลือก ที่จะเลือกการแพทย์ ที่เหมาะกับ ความต้องการ ของตนเอง มากขึ้นด้วย
2. ไม่ควรเอาเรื่องชาตินิยมเข้ามาเป็นข้อต่อรองในการที่จะโน้มน้าวว่า กรมใหม่นี้ ควรจะชื่อ ว่าอย่างไร และเป็นของใคร แต่ควรจะพิจารณาว่า การแพทย์ทางเลือก จะทำประโยชน์ ให้กับประชาชน ได้มากที่สุดอย่างไร และแบบแผนต่างๆ ของการแพทย์ทางเลือกนั้น ควรจะเป็นเช่นไร มากกว่า.
ไทยรัฐ ๒๘ ก.ค. ๔๕ ชีวจิต
ที่ผมสรุปตอนนี้ไว้ก่อน ก็เพราะมีการศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับอาหารเค็ม หรืออาหาร ที่มีเกลือ เป็นตัวสำคัญนั้น ยังเป็นสาเหตุที่ทำให้ เกิดโรคมะเร็งได้ด้วย โดยเฉพาะ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ใหญ่
นอกไปจากมะเร็งของลำไส้ใหญ่แล้ว ยังมีหลักฐานจากการค้นคว้าอีกด้วยว่า มะเร็งตับ ถุงน้ำดี หลอดอาหาร และกระเพาะนั้น เกลือหรืออาหารที่เค็มๆ ก็มีส่วนทำให้เป็นมะเร็งเหล่านี้ ได้อีกเช่นกัน
ทั้งนี้ เป็นผลของการค้นคว้าของกลุ่มนายแพทย์ เอฟ เอ็ม แซ็คส์ และชาลส์ ซิม โมนส์ และได้รายงาน ไว้ในวารสารการแพทย์ ของสมาคม แพทย์อเมริกัน ฉบับที่ 246 ปี 1981
อันที่จริงสาเหตุของการเป็นมะเร็งนั้น มีการค้นคว้ามานานแล้วว่า อาหารหลายชนิด มีส่วน เกี่ยวข้องอยู่ด้วย แต่คราวนี้ได้มีการยืนยันแน่นอนว่า เกลือและอาหารเค็มๆ นั้น ทำให้เป็นมะเร็ง ได้อีกเหมือนกัน
ตกลงเกลือและอาหารเค็มนั้น มีส่วนสำคัญและโดยตรงกับการป่วยด้วยความดันโลหิตสูง โรคไต และ โรคหัวใจได้ อาการป่วยของโรคเหล่านี้ ได้รับการยืนยัน จากวงการแพทย์ มานานกว่า สามสิบปีแล้ว
แต่สาเหตุที่เกลือทำให้เกิดเป็นมะเร็งด้วยนั้น เพิ่งจะมารู้กัน เมื่อไม่กี่ปีมานี้
ปัญหาที่น่าคิดก็คือ ถ้ากินเกลือหรือกินเค็มมากๆ แล้ว จะเป็นโรคหัวใจก่อน หรือ มะเร็งก่อน หรือว่า จะเป็นพร้อมๆ กันทั้งสองโรคเลย
คำตอบน่าจะเป็นว่า คงจะเริ่มต้นด้วยการป่วยเกี่ยวกับความดันโลหิตสูง โรคไต และ โรคหัวใจก่อน
มีการทดลองของนายแพทย์ อาร์บี เชคเกล และ ไอ.เจอร์ แมน ซึ่งเป็นแพทย์กลุ่มเดียวกับ เอฟ เอ็ม แซ็คส์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เกลือนั้นทำให้เกิดอาการของความดันโลหิตสูง ได้รวดเร็วเหลือเกิน
แพทย์ทั้งสองท่านได้ทดสอบการกินอาหารของชาวนอร์เวย์ โดยให้กลุ่มชาวนอร์เวย์ ที่เป็น กลุ่มนิยม มังสวิรัติ ลองกินเนื้อสัตว์ล้วนๆ เป็นเวลาสองอาทิตย์
เนื้อที่ให้กินเป็นการทดลองนี้ มีทั้งเนื้อแบบ สเต็กและเนื้อเค็มชนิดต่างๆ เช่น เบคอน ไส้กรอก เหล่านี้ เป็นต้น
เมื่อกินเนื้อครบสองอาทิตย์ก็เจาะเลือดไปตรวจ ปรากฏว่า
คอเลสเทอรอลของผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมทดลองนี้ ขึ้นสูงกว่าเดิมถึง 19%คอเลสเทอรอล สูงขึ้นทันที ภายในเวลาสองอาทิตย์นี้ ต้องนับว่า ขึ้นเร็วอย่างผิดปกติ และ การขึ้นถึง 19 % นี้ก็ต้องนับว่า เป็นปริมาณที่สูงมาก เช่นกัน
ขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งว่า ที่กินเนื้อทำให้คอ-เลสเทอรอลสูง เพราะเกี่ยวกับเกลือนั้น ก็เพราะเนื้อ สัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัวนั้น มีทั้งโปรตีน และไขมัน และ ก็ต้องมีแร่ ธาตุกลุ่มเกลือปนอยู่ ด้วย นอกไปจากนั้น นอกจากสเต็กแล้ว ผู้ทดลองก็ยังกิน เนื้อเค็ม ประ-เภท เบคอน ไส้กรอก ซึ่งมีเกลือปน อยู่ปริมาณมากๆ ด้วย
กินเค็มอย่างไรจึงเรียกว่าเค็มมาก การจะนับว่าเค็ม มากเค็มน้อยนั้น เราต้องวัดดูว่าสัดส่วนของเกลือที่ กินเข้าไปมีส่วนเท่ากับน้ำที่ดื่มเข้าไปมากน้อยเพียงใดด้วย
ถ้าคุณกินน้ำวันหนึ่งๆ สักสองลิตร (ก็ราวๆ 8 แก้ว) ต่อวัน และคุณกินเกลือวันหนึ่ง ไม่เกินหนึ่งกรัม ก็แสดงว่า คุณกินเค็ม ในปริมาณที่พอดีๆ แล้ว
แต่รับรองครับว่าคนไทยเราสมัยนี้ กินเค็มมากเกินปริมาณที่วางไว้นี้ อย่างน้อย ก็ถึงสิบเท่า
อย่าลืมนะครับว่า เค็มในที่นี้ไม่ได้หมายความ ถึงเกลืออย่างเดียว แต่หมายถึง ซอส น้ำปลา ซีอิ๊ว และ ยังรวมถึง อาหารของไทย แบบพื้นบ้าน เช่น กะปิ ปลาร้า ปลาเจ่า เครื่องดอง ของเค็มต่างๆ
แล้วยังแถมอาหารกินเล่น ถั่วกรอบ มันกรอบๆ และแม้แต่อาหารหวานต่างๆ ก็ยังต้องมีเค็ม ปนอยู่ด้วย ไม่มีเว้น
คนไทยเรากินอาหารเค็มมากๆ มาตั้งแต่ เล็กแล้วครับ ยิ่งสมัยนี้นิยมอาหาร ฟาสต์ฟู้ด หรือ อาหารจานด่วน กันมากเหลือเกิน พวกเด็กๆ สมัยใหม่ของเรา กินเค็มกันมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วครับ
ฉะนั้น ความดันโลหิตสูงซึ่งเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของโรคหัวใจ จึงน่าจะตั้งต้น ในคนไทยเรา มาตั้งแต่ เล็กๆ แล้ว
เมื่อมีอาการหรือความโน้มเอียงตั้งแต่เล็กๆ และพฤติกรรมหรือนิสัยการกินของเรา ไปติดอยู่ กับรสชาติ ของอาหาร ซึ่งต้องมีรสจัด หวานจัด เค็มจัด อย่างนี้ด้วยแล้ว บั้นปลายของชีวิต ก็คงจะหนักหนา สาหัสด้วยโรคไต โรคหัวใจ โรคอาไทรทิส (กระดูก-ข้อต่ออักเสบ) รวมไปถึง โรคของสมอง เช่น เส้นโลหิต ในสมองแตก หรือ อุดตัน เป็นต้น
ถ้าหากหลุดจากโรคเหล่านี้ไปได้ ก็อย่านึกว่าจะปลอดภัยนะครับ เพราะยังมีมะเร็ง รออยู่
การป้องกันนั้นพูดง่ายแต่ทำยาก นั่นก็คือ ลดเค็มโดยเด็ดขาด เกลือหรือเค็ม ปริมาณไม่เกิน หนึ่งกรัมต่อวันนั้น สำหรับคนที่ติดเค็มอยู่แล้ว ยากนักหนา ที่จะปฏิบัติได้ เพราะจะเหมือนกับ กินอาหารทุกอย่าง แบบจืดสนิท ตลอดเวลา
ลองแก้ง่ายๆ ด้วยวิธีกินอาหารทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าคุณโดยไม่เติมอะไรเลย จะดีไหมครับ ถ้าคุณแก้นิสัย ก่อนจะกินอาหาร ต้องคว้าขวดน้ำปลาไว้ก่อนได้ ไม่ช้าคุณก็จะค่อยๆ ลดการติดเค็มได้
อาทิตย์นี้ขอแถมข่าวคราวเรื่องการแพทย์ ทางเลือกและการแพทย์แบบ ผสมผสาน ซึ่งกำลังเป็นเรื่องฮิต อยู่ขณะนี้ อีกนิดหนึ่งครับ
ทางกระทรวงสาธารณสุขกำลังมีโครงการที่จะตั้งกรมใหม่ขึ้นมา เพื่อรองรับเรื่องการแพทย์ ทางเลือก และการแพทย์ ผสมผสาน พอดีกับนโยบาย ใหม่ของรัฐบาล เรื่องการปฏิรูป กระทรวง ทบวง กรม กำลังเข้าสู่ การพิจารณา ของรัฐสภาพอดี
ผมได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมกับคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา เมื่ออาทิตย์ ที่แล้ว เกี่ยวกับการพิจารณา ข้อมูลการแพทย์ทางเลือก
การอภิปรายและแสดงความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ทางเลือก มีข้อคิด ที่น่าสนใจ มากครับ แต่โดยเหตุ ที่จะเป็นการผิดมารยาท เป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากผม จะเอาเรื่อง ของการประชุม มาพูดเปิดเผย ในที่นี้ เพราะฉะนั้น ผมจะไม่พูด ถึงการประชุม แต่อยากจะเน้น ความเห็นส่วนตัว ของผม เกี่ยวกับการแพทย์ ทางเลือกไว้ดังนี้
1. การแพทย์ทางเลือกหลายๆ แนวทาง ซึ่งผู้รู้ (จริงๆ) ได้รวบรวมแนวทางแขนงต่างๆ ของการแพทย์ ทางเลือกไว้แล้ว จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับแพทย์และประชาชน เพราะแพทย์มีทางเลือก ในการให้การรักษา มากขึ้น และประชาชน ก็มีทางเลือก ที่จะเลือกการแพทย์ ที่เหมาะกับ ความต้องการ ของตนเอง มากขึ้นด้วย
2. ไม่ควรเอาเรื่องชาตินิยมเข้ามาเป็นข้อต่อรองในการที่จะโน้มน้าวว่า กรมใหม่นี้ ควรจะชื่อ ว่าอย่างไร และเป็นของใคร แต่ควรจะพิจารณาว่า การแพทย์ทางเลือก จะทำประโยชน์ ให้กับประชาชน ได้มากที่สุดอย่างไร และแบบแผนต่างๆ ของการแพทย์ทางเลือกนั้น ควรจะเป็นเช่นไร มากกว่า.
ไทยรัฐ ๒๘ ก.ค. ๔๕ ชีวจิต
ของแถมสำหรับโรคลึกลับ
ได้บอกสูตรวิธีรักษาโรคลึกลับ หรือ HYPOGLYCEMIA หรือ CFS ไปแล้ว เมื่ออาทิตย์ก่อน 4 สูตรแล้วนะครับ
วันนี้ขอแถมวิตามินอีกตัวหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่อง CFS แล้ว ยังจะช่วยในเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ทำให้สวยขึ้น หรือหล่อขึ้นอย่างนี้ เป็นต้น
วิตามินแถมตัวนี้ คือ FOLIC ACID ครับ
โฟลิค แอซิค เป็นตัวสำคัญตัวหนึ่งในการช่วยสร้างเลือด ผู้ที่ป่วยด้วย CFS หลายคน มีอาการ ของโลหิตจาง ฉะนั้น วิตามินตัวนี้ จึงช่วยเรื่องโลหิตจาง ของผู้ป่วย CFS ได้ด้วย
นอกไปจากนั้น เวลาคุณกินอาหารประเภทโปรตีนเข้าไป ซึ่งปกติเป็นอาหารที่ค่อนข้าง จะย่อยยาก อยู่แล้ว คุณต้องการโฟลิค แอซิค ไปช่วยในการย่อยโปรตีน และเมื่อย่อยแตกตัวเป็น แอมิโน แอซิค แล้ว ยังจะต้องอาศัย โฟลิค แอซิค ไปช่วยในการที่โปรตีน จะไปสร้างกล้ามเนื้อ และสร้างเลือดอีก
อีกอย่างหนึ่งซึ่งสำคัญมากก็คือ ช่วยในการสร้างดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ (DNA/RNA) ซึ่งสองตัวนี้ มีความสำคัญ ในการสร้างเซลล์ เซลล์ที่จะเกิดใหม่ จะเแข็งแรงเหมือนเก่า ต้องอาศัย ดีเอ็นเอ และอาร์เอ็นเอนี้
สองตัวนี้แหละคือตัวช่วยชะลอความแก่ ฉะนั้น ถ้าหากจะพูดแบบเอาบุญเอาคุณ ตอนนี้ ก็พอ จะพูดได้ว่า โฟลิค แอซิค ช่วยชะลอ ความแก่ได้ด้วย
คุณภาพต่อไปนี้ต้องถือว่าเป็นคุณภาพพิเศษนอกเหนือไปจากช่วยแก้เรื่อง CFS
นั่นคือ คุณผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือแม่ลูกอ่อน ถ้าคิดจะให้ลูกกินนมแม่ อย่าลืมกินโฟลิค แอซิค ด้วย กินสักวันละเม็ดก็พอ
อย่าลืมนะครับ ผู้หญิงสมัยใหม่และทันสมัย เขาเลิกให้ลูกกินนมขวดและนมผงกันแล้ว เพราะได้พิสูจน์ และมีการ ศึกษากันแล้วว่า ถ้าให้ลูกดูดนมแม่ แล้วนมจะไม่สวยนั้น ไม่จริงเลย
นอกไปจากนั้น ลูกที่กินนมแม่ ยังแข็งแรง ไม่เป็นโรคภูมิแพ้ เหมือนอย่างเด็ก ที่เป็นลูกวัว สมัยนี้ (ก็-ก็-กินนมคน ก็เป็นลูกคนแหละ ถูกไหมครับ)
อีกประการหนึ่งซึ่งดีมากๆ เลยสำหรับท่านที่ชอบกินอาหารจานด่วน เนื้อ นม ไข่ มากๆ ก็คือ ถ้าคุณกิน อะไรผิดๆ เข้าไป คุณเกิดอาหารเป็นพิษ โฟลิค แอซิค จะช่วยป้องกันได้ หรือ ถ้าเกิดจะท้องเสีย ท้องเดิน เพราะอาหารเป็นพิษ ก็จะมีอาการน้อยหรือไม่มีเลย
และถ้ามีไข่พยาธิในท้อง ก็ยังช่วยป้องกันไม่ให้พยาธิลุกลามได้อีก นั่นแน่ ทีนี้สำคัญ คุณสาวๆ หรือ คุณหนุ่มหล่อ จะชอบตอนนี้มากก็คือ โฟลิค แอซิค ช่วยให้ผิวคุณสวยเป็นพิเศษ
ก็ทำไมจะไม่สวยเล่าครับ โฟลิคบำรุงเลือดคุณอยู่แล้ว เมื่อเลือดฝาดสมบูรณ์ ผิวก็ย่อมสวย และ โฟลิค ยังช่วยรักษาผิวไว้ด้วย รับรองว่า ผิวของคุณจะไม่แตก ไม่แห้งง่ายๆ
แล้วยังเส้นผมอีกเล่าครับ ยาบำรุงทั้งหลายต่อหลายสูตรนั้น ขาดโฟลิคไม่ ได้เลย ถ้าคุณกิน เป็นประจำ ก็เชื่อได้ว่า ผิวและผมของคุณจะต้องสวยแน่นอนแต่ถ้าจะให้ผมสวยเต็มที่ ควรจะกิน วิตามิน B5 และ PABA ร่วมด้วยนะครับ
เวลาที่คุณไปทำอะไรจนหมดแรง (ไม่รู้ล่ะ คุณทำอะไรก็ไม่รู้ของคุณ จนหมดแรงนั่นแหละ) ก็กินโฟลิค วันละเม็ดติดๆ กันสักหนึ่งอาทิตย์ ก็จะรู้สึกดีขึ้น เป็นคนละคนเลย
ข้อต่อไปนี้ สำหรับคุณผู้ชาย
ถ้าคุณชอบกินเหล้า (มากหน่อยละ เอา เป็นว่ามื้อละครึ่งแบน อย่างนี้เป็นต้น คุณต้องกินโฟลิค แอซิค เพิ่มแล้วล่ะ อาจจะต้องกินวันละ 2 มื้อ เช้า เย็น มื้อละ 1 เม็ด เม็ดละ 100 ไมโครแกรม
แต่ถ้าหากคุณกินเหล้ามากกว่านี้ วันละแบนอย่างนี้ เป็นต้น และกินทุกวันเสียด้วย อย่าเสียเวลา ไปเสาะหา โฟลิค แอซิค เลยครับ ผมว่าคุณเตรียมไปจองวัด ซึ่งค่าเมรุถูกๆ ดีกว่า (ต้องถูกๆ ครับ เพราะคุณจะสิ้นเนื้อ ประดาตัวเพราะค่าเหล้า จนกระทั่ง ไม่มีเงินเหลือ ค่าเมรุแน่นอน)
นี่เป็นของแถมตัวที่หนึ่ง คือ FOLIC ACID นะครับ ก็อยากจะแถมของแถมอีกตัวหนึ่ง คู่กันคือ B12
B12 นี่ก็เป็นวิตามิน ซึ่งช่วยบำรุงเลือดเช่นกัน และ B12 ยังจำเป็นสำหรับ ความเจริญเติบโต ของเด็กอีกด้วย
ว่ากันที่จริงวิตามิน B12 นั้น เป็นที่รู้จักกันมานาน และเป็นวิตามินซึ่งได้ชื่อว่าเป็นวิตามิน ซึ่งสามัญ เหลือเกิน
โดยเหตุที่เป็นวิตามินสามัญอย่างนี้แหละ ถ้าเราไม่รู้จักเคล็ดลับ กิน B12 แบบธรรมดาสามัญ ก็คงจะช่วย ในเรื่องสร้างเลือด แต่เพียงอย่างเดียว
แต่ถ้าหากได้กินคู่กับโฟลิค แอซิค ความมหัศจรรย์บางอย่างจะเกิดขึ้น คือ
1. เรื่องการเพิ่มเลือดของคุณจะดีขึ้น และสร้างเลือดได้เร็วขึ้น
2. ช่วยดึงพลังงานจากไขมัน โปรตีน และโปรตีนมาใช้เป็นพลังได้ดีนัก ฉะนั้น ในด้านนี้ จึงเป็น ประโยชน์โดยตรง สำหรับคุณๆ ที่ กลัวอ้วน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ชอบ เข้าคลินิก ลดความอ้วน ลองใช้สูตร โฟลิค แอซิค+กับ B12 ดูบ้างซีครับ
3. ยังช่วยบำรุงสมอง ช่วยให้ความจำดีขึ้น และข้อซึ่งผมชอบมากๆ ก็คือ ช่วยให้สมาธิดีขึ้น สำหรับท่าน ที่ป่วยเป็นโรคทางสมอง หรือเกิดความพิการทางสมอง เช่น เป็นอัมพาตเส้นโลหิต ในสมองแตก อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน กรุณาลองหันมาสนใจ B12 ดูบ้าง แต่การใช้ B12
สำหรับช่วยในด้านความพิการทางสมองนั้น ต้องใช้ B12 ปริมาณสูง (โดสสูง) ต้องให้แพทย์ เป็นผู้ควบคุม และต้องมีใบสั่งแพทย์ครับ
ต่อไปนี้เป็นของฝากสำหรับท่านที่เป็นมังสวิรัติ หรือรับอาหารเจบริสุทธิ์
มังสวิรัติ หรือเจบริสุทธิ์ หมายความว่ากินแต่ผัก ข้าว ถั่ว ไม่มีเนื้อสัตว์ หรือกึ่งเนื้อสัตว์ เช่น ไข่และนมเนย ปนเลย
ถ้ากินอยู่นานๆ เกิน 5 ปีขึ้นไป ขอแนะนำว่าควรจะกิน B12 เพิ่มเป็นประจำนะครับ และควรจะกิน แอมิโน แอซิค เพิ่มเติมด้วย
สำหรับท่านนักดื่ม
ก็คล้ายๆ กับโฟลิค แอซิค นะครับ คือ ถ้าเป็นนักดื่มพอสนุกๆ (วันละขวด-เอ๊ย-ไม่ใช่ วันละเป๊กสองเป๊ก) ก็กินโฟลิค แอซิค และ B12 วันละหนึ่งเม็ดก็จะดี
สำหรับคุณผู้หญิง
เวลามีเมนส์ หรือก่อนเมนส์จะมา กินทั้งโฟลิค แอซิค และ B12 ล่วงหน้าก็จะดีครับ
สองตัว คือ FOLIC ACID และ B12 นี้ ผลคือเป็นของแถมกระจุ๋มกระจิ๋ม คือ ช่วยทั้ง CFS และ ช่วยให้สวย และมีเรี่ยวมีแรง พิเศษเสียด้วย.
ไทยรัฐ ๑๔ ก.ค. ๔๕ ชีวจิต
วันนี้ขอแถมวิตามินอีกตัวหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะช่วยในเรื่อง CFS แล้ว ยังจะช่วยในเรื่องอื่นๆ ด้วย เช่น ทำให้สวยขึ้น หรือหล่อขึ้นอย่างนี้ เป็นต้น
วิตามินแถมตัวนี้ คือ FOLIC ACID ครับ
โฟลิค แอซิค เป็นตัวสำคัญตัวหนึ่งในการช่วยสร้างเลือด ผู้ที่ป่วยด้วย CFS หลายคน มีอาการ ของโลหิตจาง ฉะนั้น วิตามินตัวนี้ จึงช่วยเรื่องโลหิตจาง ของผู้ป่วย CFS ได้ด้วย
นอกไปจากนั้น เวลาคุณกินอาหารประเภทโปรตีนเข้าไป ซึ่งปกติเป็นอาหารที่ค่อนข้าง จะย่อยยาก อยู่แล้ว คุณต้องการโฟลิค แอซิค ไปช่วยในการย่อยโปรตีน และเมื่อย่อยแตกตัวเป็น แอมิโน แอซิค แล้ว ยังจะต้องอาศัย โฟลิค แอซิค ไปช่วยในการที่โปรตีน จะไปสร้างกล้ามเนื้อ และสร้างเลือดอีก
อีกอย่างหนึ่งซึ่งสำคัญมากก็คือ ช่วยในการสร้างดีเอ็นเอและอาร์เอ็นเอ (DNA/RNA) ซึ่งสองตัวนี้ มีความสำคัญ ในการสร้างเซลล์ เซลล์ที่จะเกิดใหม่ จะเแข็งแรงเหมือนเก่า ต้องอาศัย ดีเอ็นเอ และอาร์เอ็นเอนี้
สองตัวนี้แหละคือตัวช่วยชะลอความแก่ ฉะนั้น ถ้าหากจะพูดแบบเอาบุญเอาคุณ ตอนนี้ ก็พอ จะพูดได้ว่า โฟลิค แอซิค ช่วยชะลอ ความแก่ได้ด้วย
คุณภาพต่อไปนี้ต้องถือว่าเป็นคุณภาพพิเศษนอกเหนือไปจากช่วยแก้เรื่อง CFS
นั่นคือ คุณผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือแม่ลูกอ่อน ถ้าคิดจะให้ลูกกินนมแม่ อย่าลืมกินโฟลิค แอซิค ด้วย กินสักวันละเม็ดก็พอ
อย่าลืมนะครับ ผู้หญิงสมัยใหม่และทันสมัย เขาเลิกให้ลูกกินนมขวดและนมผงกันแล้ว เพราะได้พิสูจน์ และมีการ ศึกษากันแล้วว่า ถ้าให้ลูกดูดนมแม่ แล้วนมจะไม่สวยนั้น ไม่จริงเลย
นอกไปจากนั้น ลูกที่กินนมแม่ ยังแข็งแรง ไม่เป็นโรคภูมิแพ้ เหมือนอย่างเด็ก ที่เป็นลูกวัว สมัยนี้ (ก็-ก็-กินนมคน ก็เป็นลูกคนแหละ ถูกไหมครับ)
อีกประการหนึ่งซึ่งดีมากๆ เลยสำหรับท่านที่ชอบกินอาหารจานด่วน เนื้อ นม ไข่ มากๆ ก็คือ ถ้าคุณกิน อะไรผิดๆ เข้าไป คุณเกิดอาหารเป็นพิษ โฟลิค แอซิค จะช่วยป้องกันได้ หรือ ถ้าเกิดจะท้องเสีย ท้องเดิน เพราะอาหารเป็นพิษ ก็จะมีอาการน้อยหรือไม่มีเลย
และถ้ามีไข่พยาธิในท้อง ก็ยังช่วยป้องกันไม่ให้พยาธิลุกลามได้อีก นั่นแน่ ทีนี้สำคัญ คุณสาวๆ หรือ คุณหนุ่มหล่อ จะชอบตอนนี้มากก็คือ โฟลิค แอซิค ช่วยให้ผิวคุณสวยเป็นพิเศษ
ก็ทำไมจะไม่สวยเล่าครับ โฟลิคบำรุงเลือดคุณอยู่แล้ว เมื่อเลือดฝาดสมบูรณ์ ผิวก็ย่อมสวย และ โฟลิค ยังช่วยรักษาผิวไว้ด้วย รับรองว่า ผิวของคุณจะไม่แตก ไม่แห้งง่ายๆ
แล้วยังเส้นผมอีกเล่าครับ ยาบำรุงทั้งหลายต่อหลายสูตรนั้น ขาดโฟลิคไม่ ได้เลย ถ้าคุณกิน เป็นประจำ ก็เชื่อได้ว่า ผิวและผมของคุณจะต้องสวยแน่นอนแต่ถ้าจะให้ผมสวยเต็มที่ ควรจะกิน วิตามิน B5 และ PABA ร่วมด้วยนะครับ
เวลาที่คุณไปทำอะไรจนหมดแรง (ไม่รู้ล่ะ คุณทำอะไรก็ไม่รู้ของคุณ จนหมดแรงนั่นแหละ) ก็กินโฟลิค วันละเม็ดติดๆ กันสักหนึ่งอาทิตย์ ก็จะรู้สึกดีขึ้น เป็นคนละคนเลย
ข้อต่อไปนี้ สำหรับคุณผู้ชาย
ถ้าคุณชอบกินเหล้า (มากหน่อยละ เอา เป็นว่ามื้อละครึ่งแบน อย่างนี้เป็นต้น คุณต้องกินโฟลิค แอซิค เพิ่มแล้วล่ะ อาจจะต้องกินวันละ 2 มื้อ เช้า เย็น มื้อละ 1 เม็ด เม็ดละ 100 ไมโครแกรม
แต่ถ้าหากคุณกินเหล้ามากกว่านี้ วันละแบนอย่างนี้ เป็นต้น และกินทุกวันเสียด้วย อย่าเสียเวลา ไปเสาะหา โฟลิค แอซิค เลยครับ ผมว่าคุณเตรียมไปจองวัด ซึ่งค่าเมรุถูกๆ ดีกว่า (ต้องถูกๆ ครับ เพราะคุณจะสิ้นเนื้อ ประดาตัวเพราะค่าเหล้า จนกระทั่ง ไม่มีเงินเหลือ ค่าเมรุแน่นอน)
นี่เป็นของแถมตัวที่หนึ่ง คือ FOLIC ACID นะครับ ก็อยากจะแถมของแถมอีกตัวหนึ่ง คู่กันคือ B12
B12 นี่ก็เป็นวิตามิน ซึ่งช่วยบำรุงเลือดเช่นกัน และ B12 ยังจำเป็นสำหรับ ความเจริญเติบโต ของเด็กอีกด้วย
ว่ากันที่จริงวิตามิน B12 นั้น เป็นที่รู้จักกันมานาน และเป็นวิตามินซึ่งได้ชื่อว่าเป็นวิตามิน ซึ่งสามัญ เหลือเกิน
โดยเหตุที่เป็นวิตามินสามัญอย่างนี้แหละ ถ้าเราไม่รู้จักเคล็ดลับ กิน B12 แบบธรรมดาสามัญ ก็คงจะช่วย ในเรื่องสร้างเลือด แต่เพียงอย่างเดียว
แต่ถ้าหากได้กินคู่กับโฟลิค แอซิค ความมหัศจรรย์บางอย่างจะเกิดขึ้น คือ
1. เรื่องการเพิ่มเลือดของคุณจะดีขึ้น และสร้างเลือดได้เร็วขึ้น
2. ช่วยดึงพลังงานจากไขมัน โปรตีน และโปรตีนมาใช้เป็นพลังได้ดีนัก ฉะนั้น ในด้านนี้ จึงเป็น ประโยชน์โดยตรง สำหรับคุณๆ ที่ กลัวอ้วน โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ชอบ เข้าคลินิก ลดความอ้วน ลองใช้สูตร โฟลิค แอซิค+กับ B12 ดูบ้างซีครับ
3. ยังช่วยบำรุงสมอง ช่วยให้ความจำดีขึ้น และข้อซึ่งผมชอบมากๆ ก็คือ ช่วยให้สมาธิดีขึ้น สำหรับท่าน ที่ป่วยเป็นโรคทางสมอง หรือเกิดความพิการทางสมอง เช่น เป็นอัมพาตเส้นโลหิต ในสมองแตก อัลไซเมอร์ และพาร์กินสัน กรุณาลองหันมาสนใจ B12 ดูบ้าง แต่การใช้ B12
สำหรับช่วยในด้านความพิการทางสมองนั้น ต้องใช้ B12 ปริมาณสูง (โดสสูง) ต้องให้แพทย์ เป็นผู้ควบคุม และต้องมีใบสั่งแพทย์ครับ
ต่อไปนี้เป็นของฝากสำหรับท่านที่เป็นมังสวิรัติ หรือรับอาหารเจบริสุทธิ์
มังสวิรัติ หรือเจบริสุทธิ์ หมายความว่ากินแต่ผัก ข้าว ถั่ว ไม่มีเนื้อสัตว์ หรือกึ่งเนื้อสัตว์ เช่น ไข่และนมเนย ปนเลย
ถ้ากินอยู่นานๆ เกิน 5 ปีขึ้นไป ขอแนะนำว่าควรจะกิน B12 เพิ่มเป็นประจำนะครับ และควรจะกิน แอมิโน แอซิค เพิ่มเติมด้วย
สำหรับท่านนักดื่ม
ก็คล้ายๆ กับโฟลิค แอซิค นะครับ คือ ถ้าเป็นนักดื่มพอสนุกๆ (วันละขวด-เอ๊ย-ไม่ใช่ วันละเป๊กสองเป๊ก) ก็กินโฟลิค แอซิค และ B12 วันละหนึ่งเม็ดก็จะดี
สำหรับคุณผู้หญิง
เวลามีเมนส์ หรือก่อนเมนส์จะมา กินทั้งโฟลิค แอซิค และ B12 ล่วงหน้าก็จะดีครับ
สองตัว คือ FOLIC ACID และ B12 นี้ ผลคือเป็นของแถมกระจุ๋มกระจิ๋ม คือ ช่วยทั้ง CFS และ ช่วยให้สวย และมีเรี่ยวมีแรง พิเศษเสียด้วย.
ไทยรัฐ ๑๔ ก.ค. ๔๕ ชีวจิต
โรคลึกลับ CFS (5) ยาแก้และวิธีแก้
ได้สรุปไว้เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนะครับว่า ขั้นตอนของการแก้นํ้าตาลในเลือดตํ่า (HYPOGLYCEMIA หรือ CFS) นั่นคือแก้ด้วยอาหาร
และอาหารนั้นก็คือ การจัดสูตรอาหารให้ได้ คาร์โบไฮเดรตสูง แต่โปรตีนตํ่า
ขอให้ลองพิจารณาดูสูตรอาหารชีวจิต ซึ่งได้วางไว้แบบกลางๆ สำหรับคนทั่วๆ ไป คือ แป้ง หรือ คาร์โบไฮเดรตปริมาณ 50% ของอาหารหนึ่งมื้อ ผักปริมาณ 25% โปรตีน 15% และเบ็ดเตล็ด 10%
จะเห็นว่าแป้งปริมาณ 50% แปลว่าเวลาเรากินอาหารหนึ่งมื้อนั้น อาหารหลักคือ แป้ง เช่น ข้าวนั้น มีปริมาณถึงครึ่งหนึ่ง ของอาหารทั้งหมด และปริมาณโปรตีนนั้น เราใช้โปรตีนจากพืช เช่น ถั่วต่างๆ ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ปริมาณเพียง 15% ในปริมาณโปรตีน 15% นี้เรากินเนื้อสัตว์ แต่เพียงปลา ได้อาทิตย์ละหนึ่ง หรือสองครั้ง และปริมาณปลาหนึ่งหรือสองครั้งนี้ ก็ประมาณครั้งละ 200 กรัม
ซึ่งถ้าหากดูปริมาณกะกันง่ายๆ ปลานั้น คุณลองเทียบกับฝ่ามือของคุณ ก็จะประมาณครึ่งฝ่ามือ หรือ 5 นิ้ว ๚ 3 นิ้ว หนา 1/2 นิ้ว โดยประมาณ
ถ้าจะกะกันง่ายๆ แบบนี้ จะเห็นได้ทันทีว่าข้าว (คาร์โบไฮเดรต) ค่อนข้างเยอะ และโปรตีน (ถั่วและปลา) ค่อนข้างน้อย
โปรดอ่านทวนใหม่ของตอนนี้ตั้งแต่ต้น แล้วอ่านช้าๆ นะครับ เพื่อความเข้าใจจริงๆ ให้ได้ โดยเฉพาะ ท่านที่ส่งคำถามมา และท่านที่ไปถามผมที่ ที่เรารำตะบองกัน ที่สวนรถไฟ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
ที่ผมต้องยํ้าเช่นนี้ก็เพราะเมื่อเราจะใช้อาหารให้เป็นยา ก็ต้องใช้ให้ถูก ไม่ใช่เห็นว่า เป็นเรื่องง่ายๆ แล้วก็ทำไป โดยไม่สนใจว่า รายละเอียด จะถูกต้องหรือไม่
และต้องขอยํ้าอีกครั้งหนึ่งตรงนี้ว่า ข้าวที่กินนั้น ต้องเป็น ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง หรือข้าวกล้อง ส่วนโปรตีนนั้น เอาถั่วเหลืองเป็นหลักไว้ก่อน ปลาก็ขอเป็นปลาทะเล แต่ระวังเลือกปลาให้สะอาด ชนิดที่ไม่ได้แช่ ฟอร์มาลิน
ข้าวขาวถึงแม้ว่าคุณจะติดใจเพียงไหน ก็ขอให้งดไว้ก่อน เพราะข้าวขาว แป้งขาว และพวกหวานๆ นั่นแหละ คือสาเหตุเบื้องต้นของ CFS
นี่คือสูตรข้อที่หนึ่งในการแก้ CFS คือสูตรคาร์โบไฮเดรตสูง และโปรตีนตํ่า
ต่อไปนี้ขอยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบจากตัวอย่างคนไข้ ของนายแพทย์บิลส์ เกรย์ ซึ่งได้เคยเอ่ยถึงมา เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
นายแพทย์บิลส์ เกรย์ ได้กล่าวถึงข้อผิดพลาดในการรักษา ตอนแรกๆ ว่าเขาทำตามรายงานของ ศาสตราจารย์ซีล ฮาร์ลิส ซึ่งเขียนรายงานไว้ตั้งแต่ปี 1927 ว่า CFS นั่นต้นเหตุมาจาก เรื่องอาหาร วิธีแก้ จึงควรแก้ที่อาหาร เขาจึงเข้าใจว่า CFS อาจจะเกี่ยวกับโรค ขาดสารอาหาร
เขาจึงรักษาคนไข้ด้วยการให้อาหารชนิดโปรตีนสูง (เนื้อ นม ไข่) และให้ลดอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรต หรือ พวกแป้งลง ขนาดที่เกือบจะเรียกได้ว่า ไม่ให้กินเลย
เขาพูดถึงคนไข้คนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่เต็มที่ อายุ 30 ปี มีอาชีพเป็นคนขับรถบรรทุก ว่ากันที่จริง หนุ่มเต็มที่ อายุขนาดนี้ ต้องถือว่าเป็นหนุ่มแข็งแรง ที่น่าจะเป็นคนมีสุขภาพ ดีที่สุด
แต่ปรากฏว่า คนไข้ผู้นี้มีอาการแปลกๆ มากมาย โดยเฉพาะอาการเพลีย โดยไม่มีสาเหตุ และ การปวดหัว ปวดเนื้อ ปวดตัว นอนไม่หลับนั้น มีอาการหนักมาก ไปตรวจตามคลินิก และแพทย์ เฉพาะทางต่างๆ ก็หาสาเหตุไม่พบ แพทย์จะบอกว่า เขาปกติไม่มีโรคภัย ไข้เจ็บใดๆ เลย
ที่คลินิกของบิลส์ เกรย์ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารหลายคน เพื่อนคนหนึ่ง เป็นผู้ดูแลนักกีฬา ซึ่งอาหาร ที่แพทย์ผู้นั้นให้ จะเป็นอาหารประเภท โปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรต หรือแป้งตํ่า ตอนแรก คนไข้ผู้นี้ รักษาอยู่กับเพื่อนร่วมคลินิก ของบิลส์ เกรย์
คนไข้ได้รับคำสั่งให้ใช้โปรตีนสูง ทั้งนี้เพราะเขาเป็นคนทำงานหนัก คือขับรถบรรทุก ทั้งวันทั้งคืน แพทย์จึงให้อาหาร เนื้อ นม ไข่มาก
ตอนแรกคนไข้จะรู้สึกว่ามีแรงดี แต่พอเขาเริ่มทำงานหามรุ่งหามคํ่าเมื่อไหร่ อาการของเขา ก็จะทรุดลงทันที และเมื่อทรุดลงแล้ว ก็ฟื้นยาก คืออยู่ในสภาพลุกไม่ขึ้น และผลสุดท้าย ทำงานไม่ได้ ต้องหยุดงาน
เพื่อนแพทย์จึงส่งคนไข้มาหา บิลส์ เกรย์ และ บิลส์ เกรย์ ค่อนข้างจะแน่ใจว่าคนไข้เป็น CFS แน่นอน เขาจึงส่งคนไข้ ไปตรวจ G.T.T.
G.T.T.ย่อมาจาก GLUCOSE TOLE-RANCE TEST นั่นคือต้องเจาะเลือด ตรวจดูนํ้าตาลในเลือด ทุกครึ่งชั่วโมง คนไข้ต้องอยู่ในห้องแล็บ เพื่อตรวจเลือดถึง 5 ชั่วโมง
ผลของการตรวจปรากฏว่า เขาเป็น HYPOGLYCEMIA หรือ CFS แน่นอน และเมื่อบิลส์ เกรย์ ตรวจดูอาหาร แบบเก่าๆ ที่คนไข้ผู้นี้ได้รับ จากแพทย์ร่วมคลินิกของเขา บิลส์ เกรย์ ก็ประหลาดใจมาก เพราะเขาเห็นด้วย กับเพื่อนของเขาว่า คนไข้ควรจะได้รับ อาหารโปรตีนสูง และ คาร์โบไฮเดรตตํ่า
ปรากฏว่า เมื่อคนไข้ไม่ดีขึ้น แพทย์ก็สั่งให้ลดอาหารลง แต่ก็ยังเป็นโปรตีนสูงอย่างเดิม ปรากฏว่าไม่ดีขึ้น
คนไข้รับอาหารโปรตีนสูงต่อไปถึง 8 เดือน พอถึงเดือนที่ 9 คนไข้เริ่มเป็นหวัดเรื้อรัง เขาเป็นหวัดอยู่ถึง 3 เดือน ก็ยังไม่หาย และรู้สึกเหมือน กำลังจะตาย
บิลส์ เกรย์ จึงสั่งเปลี่ยนอาหารทันที เขาเชื่อว่าคนไข้ป่วยมากขึ้น เพราะอาหารโปรตีนสูง เขาจึงให้คนไข้ งดอาหารโปรตีนสูงทันที หลังจากนั้น ให้ดื่มนํ้าและกินผัก กินซุปอย่างเดียว
ขั้นต่อมา ให้คาร์โบไฮเดรตธรรมชาติวันละ 3 มื้อ ทุกวัน อาหารครั้งหลังนี้เป็น คาร์โบไฮเดรตสูง และ โปรตีนตํ่า
เพียง 3 วัน อาการของเขาก็ดีขึ้นทันที และทั้งๆ ที่ยังไม่หมดโปรแกรมรักษา และกลับเข้าไปทำงาน ได้ตามเดิม วิ่งออกกำลังวันละ 10 กม. และเข้าเรียนคาราเต้ อาทิตย์ละ 3 วัน เขาหายขาดจาก CFS
นั่นคือสูตรที่หนึ่ง คาร์โบไฮเดรตสูง โปรตีนตํ่า
ต่อไปเป็นสูตรเพิ่มเติม จากของผมเอง คือสูตรที่สอง ขอให้ทำนํ้าอาร์ซี ดื่มทุก 2 ชั่วโมง ทุกวัน
สูตรที่ 3 ขอให้เพิ่มวิตามินดังนี้
1. วิตามิน A. C. D. E. อย่างละ 1 เม็ด ต่อวัน
2. วิตามิน B1 B6 B12 และ B COMPLEX อย่างละ 1 เม็ดต่อวัน
สูตรที่ 4 ขอให้ทำดีท็อกซ์ วันเว้นวัน เป็นเวลา 2 อาทิตย์
ทำตามสูตรนี้ไปก่อนนะครับ ทำช้าๆ ใจเย็นๆ ให้เวลาตัวคุณเองสัก 1 เดือน อย่าลืมว่า คุณเป็น CFS มานานแล้ว ต้องใช้เวลาหน่อย ที่จะแก้ไขตัวคุณเอง.
ไทยรัฐ ๗ ก.ค. ๔๕ ชีวจิต
และอาหารนั้นก็คือ การจัดสูตรอาหารให้ได้ คาร์โบไฮเดรตสูง แต่โปรตีนตํ่า
ขอให้ลองพิจารณาดูสูตรอาหารชีวจิต ซึ่งได้วางไว้แบบกลางๆ สำหรับคนทั่วๆ ไป คือ แป้ง หรือ คาร์โบไฮเดรตปริมาณ 50% ของอาหารหนึ่งมื้อ ผักปริมาณ 25% โปรตีน 15% และเบ็ดเตล็ด 10%
จะเห็นว่าแป้งปริมาณ 50% แปลว่าเวลาเรากินอาหารหนึ่งมื้อนั้น อาหารหลักคือ แป้ง เช่น ข้าวนั้น มีปริมาณถึงครึ่งหนึ่ง ของอาหารทั้งหมด และปริมาณโปรตีนนั้น เราใช้โปรตีนจากพืช เช่น ถั่วต่างๆ ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ปริมาณเพียง 15% ในปริมาณโปรตีน 15% นี้เรากินเนื้อสัตว์ แต่เพียงปลา ได้อาทิตย์ละหนึ่ง หรือสองครั้ง และปริมาณปลาหนึ่งหรือสองครั้งนี้ ก็ประมาณครั้งละ 200 กรัม
ซึ่งถ้าหากดูปริมาณกะกันง่ายๆ ปลานั้น คุณลองเทียบกับฝ่ามือของคุณ ก็จะประมาณครึ่งฝ่ามือ หรือ 5 นิ้ว ๚ 3 นิ้ว หนา 1/2 นิ้ว โดยประมาณ
ถ้าจะกะกันง่ายๆ แบบนี้ จะเห็นได้ทันทีว่าข้าว (คาร์โบไฮเดรต) ค่อนข้างเยอะ และโปรตีน (ถั่วและปลา) ค่อนข้างน้อย
โปรดอ่านทวนใหม่ของตอนนี้ตั้งแต่ต้น แล้วอ่านช้าๆ นะครับ เพื่อความเข้าใจจริงๆ ให้ได้ โดยเฉพาะ ท่านที่ส่งคำถามมา และท่านที่ไปถามผมที่ ที่เรารำตะบองกัน ที่สวนรถไฟ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
ที่ผมต้องยํ้าเช่นนี้ก็เพราะเมื่อเราจะใช้อาหารให้เป็นยา ก็ต้องใช้ให้ถูก ไม่ใช่เห็นว่า เป็นเรื่องง่ายๆ แล้วก็ทำไป โดยไม่สนใจว่า รายละเอียด จะถูกต้องหรือไม่
และต้องขอยํ้าอีกครั้งหนึ่งตรงนี้ว่า ข้าวที่กินนั้น ต้องเป็น ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง หรือข้าวกล้อง ส่วนโปรตีนนั้น เอาถั่วเหลืองเป็นหลักไว้ก่อน ปลาก็ขอเป็นปลาทะเล แต่ระวังเลือกปลาให้สะอาด ชนิดที่ไม่ได้แช่ ฟอร์มาลิน
ข้าวขาวถึงแม้ว่าคุณจะติดใจเพียงไหน ก็ขอให้งดไว้ก่อน เพราะข้าวขาว แป้งขาว และพวกหวานๆ นั่นแหละ คือสาเหตุเบื้องต้นของ CFS
นี่คือสูตรข้อที่หนึ่งในการแก้ CFS คือสูตรคาร์โบไฮเดรตสูง และโปรตีนตํ่า
ต่อไปนี้ขอยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบจากตัวอย่างคนไข้ ของนายแพทย์บิลส์ เกรย์ ซึ่งได้เคยเอ่ยถึงมา เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว
นายแพทย์บิลส์ เกรย์ ได้กล่าวถึงข้อผิดพลาดในการรักษา ตอนแรกๆ ว่าเขาทำตามรายงานของ ศาสตราจารย์ซีล ฮาร์ลิส ซึ่งเขียนรายงานไว้ตั้งแต่ปี 1927 ว่า CFS นั่นต้นเหตุมาจาก เรื่องอาหาร วิธีแก้ จึงควรแก้ที่อาหาร เขาจึงเข้าใจว่า CFS อาจจะเกี่ยวกับโรค ขาดสารอาหาร
เขาจึงรักษาคนไข้ด้วยการให้อาหารชนิดโปรตีนสูง (เนื้อ นม ไข่) และให้ลดอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรต หรือ พวกแป้งลง ขนาดที่เกือบจะเรียกได้ว่า ไม่ให้กินเลย
เขาพูดถึงคนไข้คนหนึ่ง ซึ่งเป็นหนุ่มใหญ่เต็มที่ อายุ 30 ปี มีอาชีพเป็นคนขับรถบรรทุก ว่ากันที่จริง หนุ่มเต็มที่ อายุขนาดนี้ ต้องถือว่าเป็นหนุ่มแข็งแรง ที่น่าจะเป็นคนมีสุขภาพ ดีที่สุด
แต่ปรากฏว่า คนไข้ผู้นี้มีอาการแปลกๆ มากมาย โดยเฉพาะอาการเพลีย โดยไม่มีสาเหตุ และ การปวดหัว ปวดเนื้อ ปวดตัว นอนไม่หลับนั้น มีอาการหนักมาก ไปตรวจตามคลินิก และแพทย์ เฉพาะทางต่างๆ ก็หาสาเหตุไม่พบ แพทย์จะบอกว่า เขาปกติไม่มีโรคภัย ไข้เจ็บใดๆ เลย
ที่คลินิกของบิลส์ เกรย์ มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารหลายคน เพื่อนคนหนึ่ง เป็นผู้ดูแลนักกีฬา ซึ่งอาหาร ที่แพทย์ผู้นั้นให้ จะเป็นอาหารประเภท โปรตีนสูง คาร์โบไฮเดรต หรือแป้งตํ่า ตอนแรก คนไข้ผู้นี้ รักษาอยู่กับเพื่อนร่วมคลินิก ของบิลส์ เกรย์
คนไข้ได้รับคำสั่งให้ใช้โปรตีนสูง ทั้งนี้เพราะเขาเป็นคนทำงานหนัก คือขับรถบรรทุก ทั้งวันทั้งคืน แพทย์จึงให้อาหาร เนื้อ นม ไข่มาก
ตอนแรกคนไข้จะรู้สึกว่ามีแรงดี แต่พอเขาเริ่มทำงานหามรุ่งหามคํ่าเมื่อไหร่ อาการของเขา ก็จะทรุดลงทันที และเมื่อทรุดลงแล้ว ก็ฟื้นยาก คืออยู่ในสภาพลุกไม่ขึ้น และผลสุดท้าย ทำงานไม่ได้ ต้องหยุดงาน
เพื่อนแพทย์จึงส่งคนไข้มาหา บิลส์ เกรย์ และ บิลส์ เกรย์ ค่อนข้างจะแน่ใจว่าคนไข้เป็น CFS แน่นอน เขาจึงส่งคนไข้ ไปตรวจ G.T.T.
G.T.T.ย่อมาจาก GLUCOSE TOLE-RANCE TEST นั่นคือต้องเจาะเลือด ตรวจดูนํ้าตาลในเลือด ทุกครึ่งชั่วโมง คนไข้ต้องอยู่ในห้องแล็บ เพื่อตรวจเลือดถึง 5 ชั่วโมง
ผลของการตรวจปรากฏว่า เขาเป็น HYPOGLYCEMIA หรือ CFS แน่นอน และเมื่อบิลส์ เกรย์ ตรวจดูอาหาร แบบเก่าๆ ที่คนไข้ผู้นี้ได้รับ จากแพทย์ร่วมคลินิกของเขา บิลส์ เกรย์ ก็ประหลาดใจมาก เพราะเขาเห็นด้วย กับเพื่อนของเขาว่า คนไข้ควรจะได้รับ อาหารโปรตีนสูง และ คาร์โบไฮเดรตตํ่า
ปรากฏว่า เมื่อคนไข้ไม่ดีขึ้น แพทย์ก็สั่งให้ลดอาหารลง แต่ก็ยังเป็นโปรตีนสูงอย่างเดิม ปรากฏว่าไม่ดีขึ้น
คนไข้รับอาหารโปรตีนสูงต่อไปถึง 8 เดือน พอถึงเดือนที่ 9 คนไข้เริ่มเป็นหวัดเรื้อรัง เขาเป็นหวัดอยู่ถึง 3 เดือน ก็ยังไม่หาย และรู้สึกเหมือน กำลังจะตาย
บิลส์ เกรย์ จึงสั่งเปลี่ยนอาหารทันที เขาเชื่อว่าคนไข้ป่วยมากขึ้น เพราะอาหารโปรตีนสูง เขาจึงให้คนไข้ งดอาหารโปรตีนสูงทันที หลังจากนั้น ให้ดื่มนํ้าและกินผัก กินซุปอย่างเดียว
ขั้นต่อมา ให้คาร์โบไฮเดรตธรรมชาติวันละ 3 มื้อ ทุกวัน อาหารครั้งหลังนี้เป็น คาร์โบไฮเดรตสูง และ โปรตีนตํ่า
เพียง 3 วัน อาการของเขาก็ดีขึ้นทันที และทั้งๆ ที่ยังไม่หมดโปรแกรมรักษา และกลับเข้าไปทำงาน ได้ตามเดิม วิ่งออกกำลังวันละ 10 กม. และเข้าเรียนคาราเต้ อาทิตย์ละ 3 วัน เขาหายขาดจาก CFS
นั่นคือสูตรที่หนึ่ง คาร์โบไฮเดรตสูง โปรตีนตํ่า
ต่อไปเป็นสูตรเพิ่มเติม จากของผมเอง คือสูตรที่สอง ขอให้ทำนํ้าอาร์ซี ดื่มทุก 2 ชั่วโมง ทุกวัน
สูตรที่ 3 ขอให้เพิ่มวิตามินดังนี้
1. วิตามิน A. C. D. E. อย่างละ 1 เม็ด ต่อวัน
2. วิตามิน B1 B6 B12 และ B COMPLEX อย่างละ 1 เม็ดต่อวัน
สูตรที่ 4 ขอให้ทำดีท็อกซ์ วันเว้นวัน เป็นเวลา 2 อาทิตย์
ทำตามสูตรนี้ไปก่อนนะครับ ทำช้าๆ ใจเย็นๆ ให้เวลาตัวคุณเองสัก 1 เดือน อย่าลืมว่า คุณเป็น CFS มานานแล้ว ต้องใช้เวลาหน่อย ที่จะแก้ไขตัวคุณเอง.
ไทยรัฐ ๗ ก.ค. ๔๕ ชีวจิต
อันเนื่องมาจากความหวาน อ่อนเพลียโดยไม่รู้สาเหตุ (4)
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ลองจดรายการอาการต่างๆ 40 อาการ ซึ่งแสดงว่าเป็นโรคลึกลับ (HYPOCLYCEMIA หรือ CHRONIC FATIGUE SYNDROME หรือ CFS) ไว้แล้ว
อยากจะให้คุณผู้อ่านลองดูรายการเหล่านั้น แล้วลองเทียบกับอาการของคุณดูว่าตรงกันสักกี่รายการ
ถ้าคุณมีอาการตรงกันอย่างน้อยสัก 5 อาการขึ้นไป ก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่าคุณอาจจะเป็นโรคลึกลับ หรือ CFS ก็เป็นได้
ทั้งนี้ต้องมีข้อแม้ซึ่งถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะตัดสินว่าคุณเป็นโรคลึกลับหรือ CFS หรือไม่
ข้อแม้นั้นก็คือว่า อาการที่คุณเป็นนั้น ได้ไปตรวจมาแล้ว และแพทย์ก็จะบอกคุณว่า ร่างกายคุณ เป็นปกติ ทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นว่า ต้นเหตุของอาการที่คุณเป็นนั้น อยู่ที่ความผิดปกติ ของร่างกาย ส่วนใดส่วนหนึ่งเลย
และเมื่อคุณย้ำแล้วย้ำอีกว่า คุณก็ยังรู้สึกว่าคุณป่วยอยู่ ก็อาจจะมีใครกระซิบบอกคุณว่า คุณอาจจะเป็น โรคอุปาทานกระมัง
นี่คือข้อแม้สำคัญ ไปตรวจดูแล้วปรากฏว่าคุณไม่เป็นอะไรเลย นั่นแหละคือ ข้อบ่งชี้ว่า คุณอาจ จะมีอาการ CFS เข้าแล้ว
ตอนนี้ก็น่าจะมีคำถามว่า การที่แพทย์ (ฝรั่ง) สมัยเก่ามีความเห็นว่า โรค CFS นี้ไม่มีตัวตน และผู้ที่ป่วยคงจะเป็นโรคอุปาทานนั้นก็น่าจะมีเหตุผล ลองมาแยกเหตุผลนี้ดูก็จะเห็นความจริงดังนี้
1. โรคนี้ไม่ใช่โรค จึงไม่มีอยู่ในตำรับแพทย์ แพทย์ที่ยึดเอาแต่ตำราแพทย์เป็นเกณฑ์ จึงต้องวินิจฉัยว่า เป็นโรค อุปาทาน
2.โรคนี้เกือบจะกลายเป็นโรคระบาด เริ่มตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลก ครั้งที่สองใหม่ๆ สมัยนั้น ทั่วโลก ประสบกับภัยสงคราม เกือบจะเรียกได้ว่า เป็นสงครามล้างโลก ก็ว่าได้ ไม่มีใครเลย ที่จะไม่ได้รับ ผลกระทบกระเทือน จากสงคราม
เมื่อเสร็จสงครามแล้ว ทุกประเทศตั้งหน้าตั้งตาฟื้นฟูประเทศเป็นการใหญ่ ประเทศที่ร่ำรวย มีโอกาส ดีกว่าเพื่อน การฟื้นฟูทางอุตสาหกรรม และวิทยาศาสตร์ ทำได้อย่างรวดเร็ว
โลกเราเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ ชีวิตประจำวันก็เปลี่ยน และชีวิตที่เปลี่ยนไป ตามเครื่องจักร เครื่องกลนี่แหละทำให้มนุษย์ เปลี่ยนจากคนเป็นเครื่องจักร ตามไปด้วย
นายแพทย์ผู้หนึ่งซึ่งภายหลังเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรค CFS ได้กล่าวสรุปว่า โลกอุตสาหกรรม และ วิทยาศาสตร์ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ ของมนุษย์ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
พื้นฐานที่ทำให้เกิดอาการ HYPOGLYCEMIA หรือ CFS นี้คือการเปลี่ยนแปลง ของสังคม ที่มุ่งไปสู่โลก ของอุตสาหกรรมนั่นเอง
แต่ตัวสำคัญที่เป็นสาเหตุของ CFS นี่คือ เรื่องของอาหาร อาหารในสมัยหลังๆนี้ ได้เอาอาหารเสริม มาเป็น อาหารหลัก เช่น น้ำตาล แป้งขาว เนื้อ ปลา เป็ด ไก่
นายแพทย์ผู้นี้คือ นายแพทย์ บิลส์ เกรย์ จาก มิลล์ วอลเลย์ แคลิฟอร์เนีย เขาเป็นแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญด้าน BIOLOGICAL MEDICINE ด้าน NUTRITION และด้าน HOMEOPATHY และเขาเป็น สมาชิก คนสำคัญของ INTERNATIONAL ACADEMY OF BIOLOGICAL MEDICINE
บิลส์ เกรย์ ผู้นี้แหละที่ได้ออกตระเวนเลกเชอร์ และปาฐกถาทั่วอเมริกาว่า อาหารนั่นแหละ คือตัวการสำคัญ ที่ทำให้เกิด HYPOGLYCEMIA หรือ CFS
เมื่ออาหารเป็นตัวสำคัญ ที่ทำให้เกิด CFS ฉะนั้นการรักษา CFS จึงต้องเริ่มต้นด้วยการ แก้เรื่อง อาหารก่อน
การรณรงค์เรื่องอาหารที่ช่วยแก้อาการ CFS นี้เองทำให้โรคลึกลับกลายเป็นโรค โปร่งใส กระจ่างแจ้ง ขึ้นมาได้ ไม่ใช่เป็นโรค อุปาทานต่อไป
สมาคมการแพทย์และสถาบันการแพทย์ของอเมริกาได้ยอมรับว่า HYPOGLYCEMIA หรือ CHRONIC FATIGUE SYNDROME (CFS) นั้นเป็นโรคที่มีจริง
อย่างอาการ FIBROMYALGIA ซึ่งเป็นอาการสำคัญอย่างหนึ่งของ CFS นั้น สมาคม และสถาบัน การแพทย์ ของอเมริกาหลายแห่ง ยอมรับว่า เป็นเพราะเกิด จากอาหาร CFS
ขออธิบาย FIBROMYALGIA เสียสักนิดว่า คืออะไร อาการนี้ก็คือ อาการปวด กล้ามเนื้อนั่นเอง ถ้าเป็นแบบของไทยเรา ก็มักจะบ่นกันว่า มันปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว อย่างนั้นแหละ
ถ้าเผื่อเป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุ เมื่อแพทย์ ตรวจดูแล้วจะพบว่า เป็นการสืบเนื่องมาจาก การป่วยต่างๆ เช่น ป่วยมีอาการอักเสบเรื้อรัง เป็นไข้หวัดใหญ่ เป็นหัด ไข้รูมาติค มาลาเรีย โปลิโอ เหล่านี้เป็นต้น หรือไม่เช่นนั้น ก็เป็นเพราะ ความผิดปกติ ของต่อม เช่น ต่อมพาราไทรอยด์ ผลิตฮอร์โมนออกมา มากเกินไป เกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือมิฉะนั้น ผู้สูงอายุ เกิดอาการข้อต่อเสื่อม กล้ามเนื้ออักเสบ ปวดหลัง ปวดเอว เหล่านี้ก็ล้วนเป็นโรค ซึ่งค้นหาสาเหตุได้อีกเช่นกัน
แต่การปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อต่อ ปวดหลัง ปวดเอวของ CFS นั้นหาสาเหตุไม่ได้ ตรวจแล้ว ตรวจอีก ก็ไม่มีสาเหตุ
แต่มาตอนหลังนับตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา วงการแพทย์ได้ยอมรับแล้วว่า CFS เป็นอาการป่วยจริง
สถาบัน AMERICAN COLLEGE OF RHEUMATOLOGY และ CENTERS FOR DISEASE CONTRL (CDC) ได้ระบุ CRITERIA ว่าสภาพการณ์ของอาการป่วยดังต่อไปนี้ ให้ถือว่า เป็นอาการป่วย CFS ได้
1. เมื่อตรวจตามวิธีของคลินิกแล้ว ปรากฏว่า คนไข้มีอาการเหนื่อยเพลียจริง แต่อาการ เหนื่อยเพลียนั้น หาสาเหตุไม่ได้ แม้จะได้นอนพักแล้วก็ไม่หาย นอกจากนั้นจะสังเกตเห็นว่า สมรรถภาพ ในการทำงาน ลดน้อยถอยลง ความสามารถส่วนตัว หรือบุคลิกลักษณะ เปลี่ยนแปลงไป ในทางที่เลวลง ถ้าเป็น นักเรียน นักศึกษา ผลการเรียนเลวลง
2. อาการที่เป็นโดยหาสาเหตุไม่ได้จะเป็นติดต่อกันนานกว่า 6 เดือนขึ้นไป (เช่น ความจำเสื่อม เจ็บคอ ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหัว นอนหลับ แต่ตื่นขึ้นมาไม่มีแรง เหล่านี้เป็นต้น)
ทั้งนี้ คือการจำกัดความเรื่องอาการการป่วยของ CFS จากรายงานของ AMERICAN CDC ANNALS OF INTERNATIONAL MEDICINE 121. 14 ธันวาคม 1994
เอาละครับ ตอนนี้ขอย้อนกลับมาลงที่คำสรุปของนายแพทย์ บิลส์ เกรย์ ตรงที่ว่า CFS นั้นต้นเหตุ เกิดจากอาหาร เพราะฉะนั้น ถ้าจะแก้ CFS ก็ต้องแก้เรื่องอาหารก่อน
นี่แหละครับ สรุปอย่างนี้แหละจะเกิดความสับสนขึ้นมาได้ โดยเฉพาะ สมัยนี้ กำลังเห่อแฟชั่น นิยมเรื่อง อาหารเนื้อ นม ไข่ ก็จะเข้าใจไปว่า เนื้อ นม ไข่ แก้อาการ CFS ได้
ขอเล่าเรื่องการทำงานของนายแพทย์บิลส์ เกรย์ ให้ฟังก่อน เพราะบิลส์ เกรย์ ก็เคยหลงทาง ทำผิดมาแล้ว เพราะเชื่อว่า เนื้อ นม ไข่ จะช่วยรักษา CFS ได้
เขาเล่าว่า "การรักษาคนไข้ HYPOGLYCEMIA สองปีแรก ข้าพเจ้ารักษาโดยวิธี ให้โปรตีนสูง และพบว่า อาการ HYPOGLYCEMIA อยู่ในสภาพที่พอจะควบคุมได้ แต่ตัวคนไข้จะรู้สึกเลวลง มีอาการหมดแรง ปวดหัว โรคผิวหนัง ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อย และขับถ่าย"
"ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ สามารถอธิบายได้ก็คือ แม้จะควบคุมอาการบางอย่างได้ แต่ถ้าเบาน้ำตาลลง แม้แต่เพียงนิดเดียว อาการทั่วไปก็จะเลวลงทันที"
สรุปแล้วก็คือ อาหาร เนื้อ นม ไข่ รักษาโรคลึกลับ CFS นี้ไม่ได้
แต่ คาร์โบไฮเดรตสูง โปรตีนต่ำ รักษาได้
ขออธิบายวิธีปฏิบัติ คาร์โบไฮเดรตสูง โปรตีนต่ำ ทำอย่างไร ต่อคราวหน้าครับ.
T T T T T T
รำไป คุยไป กินไป
รำตะบอง คุยกับอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง แล้วร่วมรับประทานอาหาร ข้าวหม้อ แกงหม้อ ที่สนามรถไฟ ด้านหลังสวนจตุจักร วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 45 เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. ครับ เชิญท่านผู้สนใจทุกท่าน.
ไทยรัฐ ๓๐ มิ.ย. ๔๕ ชีวจิต
อยากจะให้คุณผู้อ่านลองดูรายการเหล่านั้น แล้วลองเทียบกับอาการของคุณดูว่าตรงกันสักกี่รายการ
ถ้าคุณมีอาการตรงกันอย่างน้อยสัก 5 อาการขึ้นไป ก็ให้สงสัยไว้ก่อนว่าคุณอาจจะเป็นโรคลึกลับ หรือ CFS ก็เป็นได้
ทั้งนี้ต้องมีข้อแม้ซึ่งถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง ที่จะตัดสินว่าคุณเป็นโรคลึกลับหรือ CFS หรือไม่
ข้อแม้นั้นก็คือว่า อาการที่คุณเป็นนั้น ได้ไปตรวจมาแล้ว และแพทย์ก็จะบอกคุณว่า ร่างกายคุณ เป็นปกติ ทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่แสดงให้เห็นว่า ต้นเหตุของอาการที่คุณเป็นนั้น อยู่ที่ความผิดปกติ ของร่างกาย ส่วนใดส่วนหนึ่งเลย
และเมื่อคุณย้ำแล้วย้ำอีกว่า คุณก็ยังรู้สึกว่าคุณป่วยอยู่ ก็อาจจะมีใครกระซิบบอกคุณว่า คุณอาจจะเป็น โรคอุปาทานกระมัง
นี่คือข้อแม้สำคัญ ไปตรวจดูแล้วปรากฏว่าคุณไม่เป็นอะไรเลย นั่นแหละคือ ข้อบ่งชี้ว่า คุณอาจ จะมีอาการ CFS เข้าแล้ว
ตอนนี้ก็น่าจะมีคำถามว่า การที่แพทย์ (ฝรั่ง) สมัยเก่ามีความเห็นว่า โรค CFS นี้ไม่มีตัวตน และผู้ที่ป่วยคงจะเป็นโรคอุปาทานนั้นก็น่าจะมีเหตุผล ลองมาแยกเหตุผลนี้ดูก็จะเห็นความจริงดังนี้
1. โรคนี้ไม่ใช่โรค จึงไม่มีอยู่ในตำรับแพทย์ แพทย์ที่ยึดเอาแต่ตำราแพทย์เป็นเกณฑ์ จึงต้องวินิจฉัยว่า เป็นโรค อุปาทาน
2.โรคนี้เกือบจะกลายเป็นโรคระบาด เริ่มตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลก ครั้งที่สองใหม่ๆ สมัยนั้น ทั่วโลก ประสบกับภัยสงคราม เกือบจะเรียกได้ว่า เป็นสงครามล้างโลก ก็ว่าได้ ไม่มีใครเลย ที่จะไม่ได้รับ ผลกระทบกระเทือน จากสงคราม
เมื่อเสร็จสงครามแล้ว ทุกประเทศตั้งหน้าตั้งตาฟื้นฟูประเทศเป็นการใหญ่ ประเทศที่ร่ำรวย มีโอกาส ดีกว่าเพื่อน การฟื้นฟูทางอุตสาหกรรม และวิทยาศาสตร์ ทำได้อย่างรวดเร็ว
โลกเราเปลี่ยนไปหน้ามือเป็นหลังมือ ชีวิตประจำวันก็เปลี่ยน และชีวิตที่เปลี่ยนไป ตามเครื่องจักร เครื่องกลนี่แหละทำให้มนุษย์ เปลี่ยนจากคนเป็นเครื่องจักร ตามไปด้วย
นายแพทย์ผู้หนึ่งซึ่งภายหลังเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรค CFS ได้กล่าวสรุปว่า โลกอุตสาหกรรม และ วิทยาศาสตร์ ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ ของมนุษย์ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง
พื้นฐานที่ทำให้เกิดอาการ HYPOGLYCEMIA หรือ CFS นี้คือการเปลี่ยนแปลง ของสังคม ที่มุ่งไปสู่โลก ของอุตสาหกรรมนั่นเอง
แต่ตัวสำคัญที่เป็นสาเหตุของ CFS นี่คือ เรื่องของอาหาร อาหารในสมัยหลังๆนี้ ได้เอาอาหารเสริม มาเป็น อาหารหลัก เช่น น้ำตาล แป้งขาว เนื้อ ปลา เป็ด ไก่
นายแพทย์ผู้นี้คือ นายแพทย์ บิลส์ เกรย์ จาก มิลล์ วอลเลย์ แคลิฟอร์เนีย เขาเป็นแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญด้าน BIOLOGICAL MEDICINE ด้าน NUTRITION และด้าน HOMEOPATHY และเขาเป็น สมาชิก คนสำคัญของ INTERNATIONAL ACADEMY OF BIOLOGICAL MEDICINE
บิลส์ เกรย์ ผู้นี้แหละที่ได้ออกตระเวนเลกเชอร์ และปาฐกถาทั่วอเมริกาว่า อาหารนั่นแหละ คือตัวการสำคัญ ที่ทำให้เกิด HYPOGLYCEMIA หรือ CFS
เมื่ออาหารเป็นตัวสำคัญ ที่ทำให้เกิด CFS ฉะนั้นการรักษา CFS จึงต้องเริ่มต้นด้วยการ แก้เรื่อง อาหารก่อน
การรณรงค์เรื่องอาหารที่ช่วยแก้อาการ CFS นี้เองทำให้โรคลึกลับกลายเป็นโรค โปร่งใส กระจ่างแจ้ง ขึ้นมาได้ ไม่ใช่เป็นโรค อุปาทานต่อไป
สมาคมการแพทย์และสถาบันการแพทย์ของอเมริกาได้ยอมรับว่า HYPOGLYCEMIA หรือ CHRONIC FATIGUE SYNDROME (CFS) นั้นเป็นโรคที่มีจริง
อย่างอาการ FIBROMYALGIA ซึ่งเป็นอาการสำคัญอย่างหนึ่งของ CFS นั้น สมาคม และสถาบัน การแพทย์ ของอเมริกาหลายแห่ง ยอมรับว่า เป็นเพราะเกิด จากอาหาร CFS
ขออธิบาย FIBROMYALGIA เสียสักนิดว่า คืออะไร อาการนี้ก็คือ อาการปวด กล้ามเนื้อนั่นเอง ถ้าเป็นแบบของไทยเรา ก็มักจะบ่นกันว่า มันปวดเมื่อยไปหมดทั้งตัว อย่างนั้นแหละ
ถ้าเผื่อเป็นอาการป่วยที่มีสาเหตุ เมื่อแพทย์ ตรวจดูแล้วจะพบว่า เป็นการสืบเนื่องมาจาก การป่วยต่างๆ เช่น ป่วยมีอาการอักเสบเรื้อรัง เป็นไข้หวัดใหญ่ เป็นหัด ไข้รูมาติค มาลาเรีย โปลิโอ เหล่านี้เป็นต้น หรือไม่เช่นนั้น ก็เป็นเพราะ ความผิดปกติ ของต่อม เช่น ต่อมพาราไทรอยด์ ผลิตฮอร์โมนออกมา มากเกินไป เกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ หรือมิฉะนั้น ผู้สูงอายุ เกิดอาการข้อต่อเสื่อม กล้ามเนื้ออักเสบ ปวดหลัง ปวดเอว เหล่านี้ก็ล้วนเป็นโรค ซึ่งค้นหาสาเหตุได้อีกเช่นกัน
แต่การปวดกล้ามเนื้อ ปวดข้อต่อ ปวดหลัง ปวดเอวของ CFS นั้นหาสาเหตุไม่ได้ ตรวจแล้ว ตรวจอีก ก็ไม่มีสาเหตุ
แต่มาตอนหลังนับตั้งแต่ปี 1970 เป็นต้นมา วงการแพทย์ได้ยอมรับแล้วว่า CFS เป็นอาการป่วยจริง
สถาบัน AMERICAN COLLEGE OF RHEUMATOLOGY และ CENTERS FOR DISEASE CONTRL (CDC) ได้ระบุ CRITERIA ว่าสภาพการณ์ของอาการป่วยดังต่อไปนี้ ให้ถือว่า เป็นอาการป่วย CFS ได้
1. เมื่อตรวจตามวิธีของคลินิกแล้ว ปรากฏว่า คนไข้มีอาการเหนื่อยเพลียจริง แต่อาการ เหนื่อยเพลียนั้น หาสาเหตุไม่ได้ แม้จะได้นอนพักแล้วก็ไม่หาย นอกจากนั้นจะสังเกตเห็นว่า สมรรถภาพ ในการทำงาน ลดน้อยถอยลง ความสามารถส่วนตัว หรือบุคลิกลักษณะ เปลี่ยนแปลงไป ในทางที่เลวลง ถ้าเป็น นักเรียน นักศึกษา ผลการเรียนเลวลง
2. อาการที่เป็นโดยหาสาเหตุไม่ได้จะเป็นติดต่อกันนานกว่า 6 เดือนขึ้นไป (เช่น ความจำเสื่อม เจ็บคอ ปวดต้นคอ ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหัว นอนหลับ แต่ตื่นขึ้นมาไม่มีแรง เหล่านี้เป็นต้น)
ทั้งนี้ คือการจำกัดความเรื่องอาการการป่วยของ CFS จากรายงานของ AMERICAN CDC ANNALS OF INTERNATIONAL MEDICINE 121. 14 ธันวาคม 1994
เอาละครับ ตอนนี้ขอย้อนกลับมาลงที่คำสรุปของนายแพทย์ บิลส์ เกรย์ ตรงที่ว่า CFS นั้นต้นเหตุ เกิดจากอาหาร เพราะฉะนั้น ถ้าจะแก้ CFS ก็ต้องแก้เรื่องอาหารก่อน
นี่แหละครับ สรุปอย่างนี้แหละจะเกิดความสับสนขึ้นมาได้ โดยเฉพาะ สมัยนี้ กำลังเห่อแฟชั่น นิยมเรื่อง อาหารเนื้อ นม ไข่ ก็จะเข้าใจไปว่า เนื้อ นม ไข่ แก้อาการ CFS ได้
ขอเล่าเรื่องการทำงานของนายแพทย์บิลส์ เกรย์ ให้ฟังก่อน เพราะบิลส์ เกรย์ ก็เคยหลงทาง ทำผิดมาแล้ว เพราะเชื่อว่า เนื้อ นม ไข่ จะช่วยรักษา CFS ได้
เขาเล่าว่า "การรักษาคนไข้ HYPOGLYCEMIA สองปีแรก ข้าพเจ้ารักษาโดยวิธี ให้โปรตีนสูง และพบว่า อาการ HYPOGLYCEMIA อยู่ในสภาพที่พอจะควบคุมได้ แต่ตัวคนไข้จะรู้สึกเลวลง มีอาการหมดแรง ปวดหัว โรคผิวหนัง ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อย และขับถ่าย"
"ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ สามารถอธิบายได้ก็คือ แม้จะควบคุมอาการบางอย่างได้ แต่ถ้าเบาน้ำตาลลง แม้แต่เพียงนิดเดียว อาการทั่วไปก็จะเลวลงทันที"
สรุปแล้วก็คือ อาหาร เนื้อ นม ไข่ รักษาโรคลึกลับ CFS นี้ไม่ได้
แต่ คาร์โบไฮเดรตสูง โปรตีนต่ำ รักษาได้
ขออธิบายวิธีปฏิบัติ คาร์โบไฮเดรตสูง โปรตีนต่ำ ทำอย่างไร ต่อคราวหน้าครับ.
T T T T T T
รำไป คุยไป กินไป
รำตะบอง คุยกับอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง แล้วร่วมรับประทานอาหาร ข้าวหม้อ แกงหม้อ ที่สนามรถไฟ ด้านหลังสวนจตุจักร วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน 45 เริ่มตั้งแต่เวลา 06.00 น. ครับ เชิญท่านผู้สนใจทุกท่าน.
ไทยรัฐ ๓๐ มิ.ย. ๔๕ ชีวจิต
อันเนื่องมาจากความหวาน อ่อนเพลียโดยไม่รู้สาเหตุ
คงจะต้องขอต่อเรื่องนายแพทย์สตีเฟน ไกแลนด์ ต่ออีกเป็นตอนที่ 3 ครับ
เมื่อได้ค้นพบสาเหตุของไฮโปไกลซีเมียว่าต้นเหตุมาจากอาหารบวกกับปัจจัยเสริมอื่นๆ เช่น เรื่องการนอน การใช้ชีวิตประจำวันซึ่งผิดๆ แล้ว การที่จะแก้ไข หรือรักษาโรคนี้ไม่ยากนัก
สตีเฟน ไกแลนด์ เริ่มศึกษาเรื่องเกี่ยวกับอาหารในด้านคลินิก ศึกษาเรื่องชีวเคมี ของอาหาร และศึกษา เรื่องของโทษ และผล ของอาหารที่ผิดๆ ซึ่งเกิดผลร้าย และเกิดการสะสมของ ท็อกซินในร่างกาย
หลังจากนั้นไกแลนด์ก็ศึกษาเรื่องของการรักษาโรคต่างๆ ด้วยอาหาร และศึกษาเรื่องการใช้วิตามิน-แร่ธาตุ พร้อมกันไปด้วย และเขาก็พบสูตรศักดิ์สิทธิ์ ในการรักษาไฮโปไกลซีเมีย
ในที่สุดอาการป่วยของไกแลนด์ ซึ่งสร้างความทุกข์ร้อนสาหัสให้แก่เขามาถึง 12 ปี ก็หายขาด ไกแลนด์ และกลุ่มเพื่อนแพทย์ของเขา พูดถึงโรคลึกลับนี้ว่า มันไม่ร้ายแรงถึงกับ จะทำให้คุณ ตายก็จริง แต่คุณก็จะรู้สึก เหมือนอยากจะตาย ให้มันพ้นๆ ไป
นั่นก็เพราะอะไร ตอบได้สั้นๆว่า เพราะอาการของไฮโปไกลซีเมียนั้น มีหลายอาการ มันไม่ใช่แต่ เพราะอาการเพลีย อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอาการอย่างอื่นๆ ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวพันกัน ทั้งทางกาย และทางใจ และอาการบางอย่างนั้น บางครั้งเจ็บปวด และทรมาน จนทำให้รู้สึก อยากจะตายไป ให้พ้นๆ ไปเสียเลย
สตีเฟน ไกแลนด์ ได้รวบรวมอาการของโรคลึกลับ หรือไฮไปไกลซีเมีย ว่ามีอาการผิดปกติถึง 40 รายการ ด้วยกันคือ
ผิดปกติทางร่างกาย
1. อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 2. นอนไม่หลับ 3. มือเย็น เท้าเย็น 4. มือสั่น 5. เวียนหัว-ปวดหัว 6. ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง 7. เป็นตะคริวบ่อยๆ 8. มีอาการชักกระตุก 9. คันตามผิวหนัง 10. มีอาการภูมิแพ้ 11. หน้าร้อนผ่าวบ่อยๆ 12. เหงื่อแตกบ่อยๆ 13. เนื้อตัวชาเป็นบางครั้ง 14. การทรงตัวไม่ดี
ผิดปกติเกี่ยวกับระบบต่างๆ
15. ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ 16. ปากแห้ง คอแห้ง 17. เบื่ออาหาร 18. อยากกินของหวานๆ 19. เกิดการหิว อย่างรุนแรง ก่อนถึงเวลากินอาหาร 20. ถ่ายอุจจาระผิดปกติ 21. ถ่ายปัสสาวะผิดปกติ 22. หายใจไม่ออกบ่อยๆ 23. ลมหายใจมีกลิ่นแปลกๆ 24. หัวใจเต้นผิดปกติ 25. เป็นลมบ่อยๆ 26. อ้วน-น้ำหนักเกิน 27. กามตายด้าน
ผิดปกติเกี่ยวกับจิตใจ-ระบบประสาท
28. เบื่อหน่าย ซึมเศร้า 29. ฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ 30. วิตกกังวลโดยง่าย 31. ลังเล ตัดสินใจเรื่องต่างๆ ไม่ได้ 32. รู้สึกสับสน ปั่นป่วน 33. ทนเสียงอึกทึกและแสงจ้าๆ ไม่ได้ 34. เบื่อการพบปะเพื่อนฝูง ไม่ชอบเข้าสังคม 35. การประสานงานของส่วนต่างๆ ในร่างกายเลวลง 36. โมโหร้าย 37. ฝันร้ายบ่อยๆ 38. ความจำเสื่อม 39. มีอาการทางประสาท 40. อยากฆ่าตัวตาย
สตีเฟน ไกแลนด์ ไม่ เพียงแต่ค้นพบวิธีรักษาไฮโปไกลซีเมียจนหาย ขาดอย่างเดียว แต่เขายังรวบรวม ตำรับตำราออกเผยแพร่ ในวารสารการแพทย์ด้วย เขารายงานเป็นครั้งแรกใน JOURNAL OF THE AMERICAN MEDICAL ASSOCIATION เล่มที่ 152 ปี 1953 ถึงเรื่องไฮโปไกลซีเมีย โดยละเอียด และ ไกแลนด์ ยังได้ตระเวน ไปบรรยาย และปาฐกถา เรื่องไฮโปไกลซีเมียทั่วประเทศ และเกือบจะทั่วโลก ก็ว่าได้
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ไกแลนด์ได้พบว่า พวกแพทย์ด้วยกันเอง เป็นโรคนี้มากเหลือเกิน ในจำนวนแพทย์เหล่านี้ แพทย์รุ่นน้องชื่อ จาคอป ไทเทิลบอมป์ รวมอยู่ด้วย ไทเทิลบอมป์เล่าว่า เขาป่วยเป็น ไฮโปไกลซีเมีย อย่างรุนแรง ตั้งแต่สมัยเขาเป็น นักเรียนแพทย์ ปีที่ 3 เขาจำได้ว่า วันหนึ่ง ขณะที่เขาเหนื่อย และเพลียอย่างเหลือเกิน แต่ก็จำเป็นต้องตื่น เพื่อไปฟังเลกเชอร์ ของอาจารย์ให้ทัน เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่งตัวไปโรงเรียนแพทย์ แต่ก็ปรากฏว่า เขาไปไม่ทัน เมื่อทรงกายเข้าไป ถึงห้องเลกเชอร์ได้ อาจารย์กำลังจะถามเขาว่า ทำไมมาสาย เขายังไม่ทันตอบ ก็ล้มลง เป็นลมสลบ ไปทันที
จากการป่วยคราวนั้น อาจารย์แพทย์ทุกคนลงความเห็นว่า เขาควรจะหยุดพัก การเรียน ดูเหมือน โชคชะตาของไทเทิลบอมป์ จะคล้ายๆกับสตีเฟน ไกแลนด์ คือถูกบังคับ ให้ลาออกทางอ้อม แต่ไทเทิลบอมป์ ก็ไม่โต้แย้งแต่อย่างใด เพราะเขารู้ตัวดีว่า ถ้าป่วยขนาดนั้น จะบังคับให้ตัวเองเข้มแข็ง เรียนต่อไปอย่างไร ก็ไม่สำเร็จ เขาจึงตกลงใจไปพัก ผ่อนชั่วคราว แล้วกลับไปเรียนต่อ จนจบแพทย์
ระหว่างที่เขาพักผ่อนนั้น เขาก็ ได้ค้นคว้าถึงเรื่องโรค ไฮโปไกลซีเมีย และได้พบวิธีรักษาโรคนี้ ให้ทุเลาลง ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่หายขาด เขาเพียงรู้สึกแข็งแรงขึ้น พอที่จะมาเรียนต่อ ได้จนสำเร็จ เท่านั้นเอง
เมื่อเรียนจบแล้วก็เข้าทำงานเป็นแพทย์ ฝึกหัด และได้ค้นคว้าวิธีรักษาต่อไป จนหายขาด โดยเฉพาะ โรคปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นๆ หายๆ ตลอดมานั้น เขาได้แก้ไขรักษาตัวเอง จนได้ผลสำเร็จ
หลังจากนั้น พวกกลุ่มแพทย์ของไกแลนด์ และไทเทิลบอมป์ ก็ได้ร่วมกันก่อตั้งสมาคม โรคลึกลับนี้ขึ้น พวกแพทย์กลุ่มนี้ รู้สึกว่าตัวเอง ถูกกีดกัน และถูกวิพากษ์วิจารณ์ จากแพทย์รุ่นเก่า โดยเฉพาะ กลุ่มแพทย์ที่รักษาเบาหวาน มากมายพอสมควร
เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความสับสนระหว่างไฮโปไกลซีเมียของเบาหวาน กับไฮโปไกลซีเมีย ของกลุ่มโรค ซึ่งมีอาการ ลึกลับนี้ กลุ่มไกแลนด์ และไทเทิลบอมป์ จึงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะตั้งชื่อ โรคลึกลับ นี้เสียใหม่
จึงเห็นพ้องต้องกันว่า จะเรียกโรคลึกลับนี้ว่า CHRONIC FATIGUE SYNDROME หรือ CFS.
และภายหลังมีความเห็นว่า โรคนี้ยังเกี่ยวกับระบบ IMMUNE SYSTEM หรือภูมิชีวิตด้วย จึงได้เปลี่ยนเป็น CHRONIC FATIGUE AND IMMUNE DYSFUNCTION SYNDROME หรือ CFIDS. และหลังจากนั้นเป็นต้นมา CFIDS. หรือ CFS. ก็ได้เข้าอยู่ในระบบโรคซึ่ง ทางแพทยสภา ของอเมริกัน ได้ รับรองว่า เป็นโรคที่มีจริง ตลอดมา
(โปรดรออ่านวิธีปฏิบัติตัวและแก้ไข CFS. ฉบับหน้า)
T T T T T T
รำตะบองกับข้าวหม้อแกงหม้อ
เช้าวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน เวลา 06.00 น. รำตะบองและคุยกับอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง เรื่องสุขภาพ ไม่ต้องเสียเงินคุยกันเสร็จแล้วกินอาหารร่วมกัน ใครมีข้าวหม้อแกงหม้อ ติดมือไปด้วย
สวนรถไฟด้านหลังสวนจตุจักร 30 มิ.ย. 06.00 น.
ไทยรัฐ ๒๓ มิ.ย. ๔๕ ชีวจิต
เมื่อได้ค้นพบสาเหตุของไฮโปไกลซีเมียว่าต้นเหตุมาจากอาหารบวกกับปัจจัยเสริมอื่นๆ เช่น เรื่องการนอน การใช้ชีวิตประจำวันซึ่งผิดๆ แล้ว การที่จะแก้ไข หรือรักษาโรคนี้ไม่ยากนัก
สตีเฟน ไกแลนด์ เริ่มศึกษาเรื่องเกี่ยวกับอาหารในด้านคลินิก ศึกษาเรื่องชีวเคมี ของอาหาร และศึกษา เรื่องของโทษ และผล ของอาหารที่ผิดๆ ซึ่งเกิดผลร้าย และเกิดการสะสมของ ท็อกซินในร่างกาย
หลังจากนั้นไกแลนด์ก็ศึกษาเรื่องของการรักษาโรคต่างๆ ด้วยอาหาร และศึกษาเรื่องการใช้วิตามิน-แร่ธาตุ พร้อมกันไปด้วย และเขาก็พบสูตรศักดิ์สิทธิ์ ในการรักษาไฮโปไกลซีเมีย
ในที่สุดอาการป่วยของไกแลนด์ ซึ่งสร้างความทุกข์ร้อนสาหัสให้แก่เขามาถึง 12 ปี ก็หายขาด ไกแลนด์ และกลุ่มเพื่อนแพทย์ของเขา พูดถึงโรคลึกลับนี้ว่า มันไม่ร้ายแรงถึงกับ จะทำให้คุณ ตายก็จริง แต่คุณก็จะรู้สึก เหมือนอยากจะตาย ให้มันพ้นๆ ไป
นั่นก็เพราะอะไร ตอบได้สั้นๆว่า เพราะอาการของไฮโปไกลซีเมียนั้น มีหลายอาการ มันไม่ใช่แต่ เพราะอาการเพลีย อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีอาการอย่างอื่นๆ ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวพันกัน ทั้งทางกาย และทางใจ และอาการบางอย่างนั้น บางครั้งเจ็บปวด และทรมาน จนทำให้รู้สึก อยากจะตายไป ให้พ้นๆ ไปเสียเลย
สตีเฟน ไกแลนด์ ได้รวบรวมอาการของโรคลึกลับ หรือไฮไปไกลซีเมีย ว่ามีอาการผิดปกติถึง 40 รายการ ด้วยกันคือ
ผิดปกติทางร่างกาย
1. อ่อนเพลีย ไม่มีแรง 2. นอนไม่หลับ 3. มือเย็น เท้าเย็น 4. มือสั่น 5. เวียนหัว-ปวดหัว 6. ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง 7. เป็นตะคริวบ่อยๆ 8. มีอาการชักกระตุก 9. คันตามผิวหนัง 10. มีอาการภูมิแพ้ 11. หน้าร้อนผ่าวบ่อยๆ 12. เหงื่อแตกบ่อยๆ 13. เนื้อตัวชาเป็นบางครั้ง 14. การทรงตัวไม่ดี
ผิดปกติเกี่ยวกับระบบต่างๆ
15. ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ 16. ปากแห้ง คอแห้ง 17. เบื่ออาหาร 18. อยากกินของหวานๆ 19. เกิดการหิว อย่างรุนแรง ก่อนถึงเวลากินอาหาร 20. ถ่ายอุจจาระผิดปกติ 21. ถ่ายปัสสาวะผิดปกติ 22. หายใจไม่ออกบ่อยๆ 23. ลมหายใจมีกลิ่นแปลกๆ 24. หัวใจเต้นผิดปกติ 25. เป็นลมบ่อยๆ 26. อ้วน-น้ำหนักเกิน 27. กามตายด้าน
ผิดปกติเกี่ยวกับจิตใจ-ระบบประสาท
28. เบื่อหน่าย ซึมเศร้า 29. ฟุ้งซ่าน ขาดสมาธิ 30. วิตกกังวลโดยง่าย 31. ลังเล ตัดสินใจเรื่องต่างๆ ไม่ได้ 32. รู้สึกสับสน ปั่นป่วน 33. ทนเสียงอึกทึกและแสงจ้าๆ ไม่ได้ 34. เบื่อการพบปะเพื่อนฝูง ไม่ชอบเข้าสังคม 35. การประสานงานของส่วนต่างๆ ในร่างกายเลวลง 36. โมโหร้าย 37. ฝันร้ายบ่อยๆ 38. ความจำเสื่อม 39. มีอาการทางประสาท 40. อยากฆ่าตัวตาย
สตีเฟน ไกแลนด์ ไม่ เพียงแต่ค้นพบวิธีรักษาไฮโปไกลซีเมียจนหาย ขาดอย่างเดียว แต่เขายังรวบรวม ตำรับตำราออกเผยแพร่ ในวารสารการแพทย์ด้วย เขารายงานเป็นครั้งแรกใน JOURNAL OF THE AMERICAN MEDICAL ASSOCIATION เล่มที่ 152 ปี 1953 ถึงเรื่องไฮโปไกลซีเมีย โดยละเอียด และ ไกแลนด์ ยังได้ตระเวน ไปบรรยาย และปาฐกถา เรื่องไฮโปไกลซีเมียทั่วประเทศ และเกือบจะทั่วโลก ก็ว่าได้
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ไกแลนด์ได้พบว่า พวกแพทย์ด้วยกันเอง เป็นโรคนี้มากเหลือเกิน ในจำนวนแพทย์เหล่านี้ แพทย์รุ่นน้องชื่อ จาคอป ไทเทิลบอมป์ รวมอยู่ด้วย ไทเทิลบอมป์เล่าว่า เขาป่วยเป็น ไฮโปไกลซีเมีย อย่างรุนแรง ตั้งแต่สมัยเขาเป็น นักเรียนแพทย์ ปีที่ 3 เขาจำได้ว่า วันหนึ่ง ขณะที่เขาเหนื่อย และเพลียอย่างเหลือเกิน แต่ก็จำเป็นต้องตื่น เพื่อไปฟังเลกเชอร์ ของอาจารย์ให้ทัน เขาตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่งตัวไปโรงเรียนแพทย์ แต่ก็ปรากฏว่า เขาไปไม่ทัน เมื่อทรงกายเข้าไป ถึงห้องเลกเชอร์ได้ อาจารย์กำลังจะถามเขาว่า ทำไมมาสาย เขายังไม่ทันตอบ ก็ล้มลง เป็นลมสลบ ไปทันที
จากการป่วยคราวนั้น อาจารย์แพทย์ทุกคนลงความเห็นว่า เขาควรจะหยุดพัก การเรียน ดูเหมือน โชคชะตาของไทเทิลบอมป์ จะคล้ายๆกับสตีเฟน ไกแลนด์ คือถูกบังคับ ให้ลาออกทางอ้อม แต่ไทเทิลบอมป์ ก็ไม่โต้แย้งแต่อย่างใด เพราะเขารู้ตัวดีว่า ถ้าป่วยขนาดนั้น จะบังคับให้ตัวเองเข้มแข็ง เรียนต่อไปอย่างไร ก็ไม่สำเร็จ เขาจึงตกลงใจไปพัก ผ่อนชั่วคราว แล้วกลับไปเรียนต่อ จนจบแพทย์
ระหว่างที่เขาพักผ่อนนั้น เขาก็ ได้ค้นคว้าถึงเรื่องโรค ไฮโปไกลซีเมีย และได้พบวิธีรักษาโรคนี้ ให้ทุเลาลง ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่หายขาด เขาเพียงรู้สึกแข็งแรงขึ้น พอที่จะมาเรียนต่อ ได้จนสำเร็จ เท่านั้นเอง
เมื่อเรียนจบแล้วก็เข้าทำงานเป็นแพทย์ ฝึกหัด และได้ค้นคว้าวิธีรักษาต่อไป จนหายขาด โดยเฉพาะ โรคปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นๆ หายๆ ตลอดมานั้น เขาได้แก้ไขรักษาตัวเอง จนได้ผลสำเร็จ
หลังจากนั้น พวกกลุ่มแพทย์ของไกแลนด์ และไทเทิลบอมป์ ก็ได้ร่วมกันก่อตั้งสมาคม โรคลึกลับนี้ขึ้น พวกแพทย์กลุ่มนี้ รู้สึกว่าตัวเอง ถูกกีดกัน และถูกวิพากษ์วิจารณ์ จากแพทย์รุ่นเก่า โดยเฉพาะ กลุ่มแพทย์ที่รักษาเบาหวาน มากมายพอสมควร
เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความสับสนระหว่างไฮโปไกลซีเมียของเบาหวาน กับไฮโปไกลซีเมีย ของกลุ่มโรค ซึ่งมีอาการ ลึกลับนี้ กลุ่มไกแลนด์ และไทเทิลบอมป์ จึงเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะตั้งชื่อ โรคลึกลับ นี้เสียใหม่
จึงเห็นพ้องต้องกันว่า จะเรียกโรคลึกลับนี้ว่า CHRONIC FATIGUE SYNDROME หรือ CFS.
และภายหลังมีความเห็นว่า โรคนี้ยังเกี่ยวกับระบบ IMMUNE SYSTEM หรือภูมิชีวิตด้วย จึงได้เปลี่ยนเป็น CHRONIC FATIGUE AND IMMUNE DYSFUNCTION SYNDROME หรือ CFIDS. และหลังจากนั้นเป็นต้นมา CFIDS. หรือ CFS. ก็ได้เข้าอยู่ในระบบโรคซึ่ง ทางแพทยสภา ของอเมริกัน ได้ รับรองว่า เป็นโรคที่มีจริง ตลอดมา
(โปรดรออ่านวิธีปฏิบัติตัวและแก้ไข CFS. ฉบับหน้า)
T T T T T T
รำตะบองกับข้าวหม้อแกงหม้อ
เช้าวันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน เวลา 06.00 น. รำตะบองและคุยกับอาจารย์สาทิส อินทรกำแหง เรื่องสุขภาพ ไม่ต้องเสียเงินคุยกันเสร็จแล้วกินอาหารร่วมกัน ใครมีข้าวหม้อแกงหม้อ ติดมือไปด้วย
สวนรถไฟด้านหลังสวนจตุจักร 30 มิ.ย. 06.00 น.
ไทยรัฐ ๒๓ มิ.ย. ๔๕ ชีวจิต
อันเนื่องมากจากความหวาน อ่อนเพลียโดยไม่รู้สาเหตุ (2)
ขอเล่าเรื่องนายแพทย์สตีเฟน ไกแลนด์ ต่อนะครับ
สตีเฟน ไกแลนด์ เป็นนายแพทย์ ประจำอยู่โรงพยาบาลแทมปา มลรัฐฟลอริดา
ในระหว่างที่เขาเป็นแพทย์อยู่นั้น เขาป่วยด้วยโรคลึกลับ ซึ่งหาสาเหตุไม่ได้ โรคลึกลับนั้นก็คือ อาการเพลีย หมดแรง โดยไม่มีสาเหตุ นอกจากนั้น ยังมีอาการเวียนหัว และเป็นลม แถมด้วยอาการ มือสั่น ใจสั่น ความคิดสับสน ตื่นเต้นตกใจง่าย ความจำเสื่อม ปวดเนื้อ ปวดตัวอยู่ตลอดเวลา
โดยเหตุที่ตัวเองก็เป็นแพทย์อยู่แล้ว เขาจึงคิดว่า เขาน่าจะรักษาตัวเองได้ โดยเหตุที่เขาไม่รู้สาเหตุ ของอาการ แต่ละอาการ เขาจึงจำเป็น ต้องใช้ยาหลายขนาน เช่น ยาบำรุงแก้อาการ อ่อนเพลีย ยาแก้ปวดศีรษะ สำหรับอาการปวด และเวียนหัว ยาระงับประสาท และยากล่อมประสาท
แต่สิ่งที่เขาตกใจมากที่สุดก็คือ อาการที่เขาเป็นแต่ละอาการนั้น ไม่มีอะไร เกี่ยวข้องกันเลย เช่น การปวดเนื้อปวดตัว ไม่เกี่ยวกับการมือสั่น ใจสั่น และ อาการอ่อนเพลีย ไม่เกี่ยวกับ ความจำเสื่อม เป็นต้น
ถ้าเขาจะให้ยาแก้อาการแต่ละอาการ เขาจะต้องกินยานับเป็นสิบๆเม็ดต่อวัน และ ข้อสำคัญที่สุด ก็คือ เมื่อเขากินยาแก้ แต่ละอาการแล้ว เขากลับมีอาการแย่ลงๆ จนกระทั่ง กลายเป็นว่า เมื่อใดที่รู้สึก เพลียมากๆ เขาก็จะถึงกับเป็นลม หมดสติไปเลย
ไกแลนด์ได้ไปปรึกษาเพื่อนแพทย์ต่างๆหลายคน แต่ก็ดังที่ได้เล่าไว้ ในฉบับก่อนแล้ว เพื่อนแพทย์ แทบทุกคน จะบอกว่า ร่างกายเขา ปกติทุกอย่าง แพทย์บางคนบอกว่า เขาอาจจะเป็นโรคอุปาทาน แต่บางคน ก็บอกว่า เขามีเนื้องอกในสมอง ควรจะผ่าตัดด่วน
และแน่นอนที่สุด ไกแลนด์ไม่ยอมผ่าตัด และก็ไม่เชื่อว่า เขาเป็นโรคอุปาทาน การที่เป็นแพทย์ และการที่ป่วย ด้วยตัวเอง ทำให้เขาแน่ใจว่า เขาไม่มีเนื้องอก ในสมอง และเขาไม่ได้เป็น โรคอุปาทาน
แต่ที่เขาเดือดร้อนใจมากที่สุดก็คือ เขาถูกขอร้อง ให้ลาออกจากงาน หรือ จะพูดกันตรงๆ ก็คือ เขาถูกไล่ ออกจากงานนั่นเอง
เรื่องถูกออกจากงานก็เป็นเรื่องเดือดร้อนร้ายแรง อยู่แล้ว แต่ที่หนักหนาสาหัส ก็คือ เขาป่วยด้วย โรคลึกลับ มากว่าสิบปีแล้ว ยังไม่มีหมอ หรือยาอะไร ที่รักษาโรคลึกลับ ของเขาได้
สตีเฟน ไกแลนด์ ตกลงใจว่า เขาจะต้องค้นคว้าด้วยตนเอง ให้ได้ว่า โรคลึกลับ ของเขา คืออะไรแน่ และวิธีรักษา จะรักษาให้หายได้อย่างไร
เขาเริ่มค้นคว้ารายงานของการศึกษาของแพทย์ต่างๆ ทั้งเก่าและใหม่ เขาใช้เวลา ทั้งหมด จมอยู่กับ ห้องสมุด และตำรับตำรา การแพทย์ เป็นเวลาเกือบปี
และนั่นเอง เขาได้ค้นพบเอกสารชิ้นหนึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ JOURNAL OF THE AMERICAN MEDICAL ASSOCIATION 1924
บทความค้นคว้าชิ้นนั้น รายงานโดยศาสตราจารย์ นายแพทย์ซีล ฮาริส ซึ่งได้ค้นพบว่า อาการของ โรคลึกลับนั้น คืออาการ น้ำตาลในเลือดต่ำ หรือ HYPOGLYCEMIA นั่นเอง
อาการน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่ง ศาสตราจารย์ซีล ฮาริส ค้นพบนั้น เป็นอาการของน้ำตาล ในเลือดลงต่ำ และขึ้นสูง อยู่ตลอดเวลา และอาการอ่อนเพลีย มักจะเกิดขึ้น ระหว่างที่น้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อน้ำตาลในเลือด กลับขึ้นสูง อาการเพลีย ก็จะหายไป แต่พอน้ำตาลในเลือดต่ำอีก ก็กลับเพลียอีก
สรุปแล้วในรายงานนี้ได้กล่าว ถึงอาการเพลีย ซึ่งโยงไปถึงระหว่างเวลา ที่น้ำตาลในเลือดต่ำ และ อาการที่เป็นนี้จะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอด เวลา และในครั้งนั้น ให้ชื่ออาการ นี้ว่า ไฮโปไกลซีเมีย หรือ น้ำตาลในเลือดต่ำ
ขอเล่าเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับ โรคน้ำตาลในเลือดต่ำ ของเบาหวาน และน้ำตาล ในเลือดต่ำ ของโรคลึกลับ ว่ามีอาการ และสาเหตุ เกี่ยวกับน้ำตาลเกิดขึ้น ในเวลาใกล้เคียงกัน อย่างน่าบังเอิญที่สุด
ศาสตราจารย์ซีล ฮาริส ได้รายงานอาการน้ำตาลในเลือดซึ่งขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลานี้ เมื่อปี 1924
แต่ก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งปี เซอร์ เฟรดเดอริค กรานท์ แบนติ้ง และ ชาลส์ เฮอเบิต เบสท์ เป็นผู้ค้นพบ และสกัดอินซูลิน ออกมาได้สำเร็จ และได้รับรางวัลโนเบล เมื่อปี 1923
การสกัดอินซูลินออกมาได้ครั้งนั้น ปรากฏว่าเป็นการแก้อาการน้ำตาลในเลือดสูง ของผู้ที่เป็น เบาหวาน ได้ชะงัด แต่การใช้อินซูลินสกัด ในสมัยนั้น ยังไม่แพร่หลาย เพราะวิธีสกัด ต้องใช้สกัดจาก ตับอ่อนของวัว และหมู ซึ่งค่อนข้างยาก แก่การควบคุม (สมัยนี้ใช้การสกัดเทียมด้วยวิธี GENETIC ENGINEERING)
ฉะนั้น เมื่อเกิดอาการช็อกจากอินซูลินมากเกินไป จนคนไข้อาจจะเป็นลม กะทันหัน จนเข้าขั้นโคม่าได้ อาการของผู้ป่วยตอนนั้น ก็คืออาการน้ำตาลในเลือด ต่ำอย่างเฉียบพลัน ชื่อของอาการ HYPOGLY- CEMIA จึงเป็นอาการของผู้ที่ป่วย เป็นเบาหวานเท่านั้น
แต่ในขณะเดียวและระยะเวลาใกล้ๆกัน (ปี 1924) ซึ่งอาจารย์ซีล ฮาริส ค้นพบอาการ น้ำตาลในเลือดต่ำ ของโรคลึกลับ (เพลีย เหนื่อย เป็นลม ปวดเนื้อ ปวดตัวนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับ โรคเบาหวานเลย และคนก็ยังไม่รู้จักว่า โรคลึกลับนั้น มีอาการเหมือนกับ น้ำตาลในเลือดต่ำ ของคนเป็นเบาหวาน)
อีกประการหนึ่ง อาจารย์ซีล ฮาริส เขียนรายงานในวารสารการแพทย์เมื่อปี 1924 แล้วก็ไม่มี การค้นคว้าต่อ โรคน้ำตาลในเลือดต่ำ ของโรคลึกลับ จึงค้างอยู่เพียงแค่นั้น จนกระทั่ง นายแพทย์ สตีเฟน ไกแลนด์ ได้ศึกษา ถึงรายงานเก่าๆ จึงได้ไปพบเข้า ปีที่นายแพทย์ไกแลนด์ ค้นพบนั้น คือ ปี 1953
ระยะเวลาที่น้ำตาลในเลือดต่ำของโรคลึกลับนี้ จึงขาดตอนไปถึง 29 ปี ตลอดเวลา 29 ปีนั้น คนไข้และแพทย์ทั่วๆ ไปก็รู้จักแต่ ไฮโปไกลซีเมียของโรคเบาหวาน และนี่เองก็คือ การเข้าใจผิด ของแพทย์ เบาหวานหลายคน ที่คิดว่า ไฮโปไกลซีเมีย ของโรคลึกลับ แบบที่สตีเฟน ไกแลนด์เป็นนี้ เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ สตีเฟน ไกแลนด์ ได้ค้นพบต่อไปว่า ผู้ป่วยด้วยโรคลึกลับนี้ มีอยู่มากมาย ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคน! (ในสหรัฐอเมริกา)
ผู้ที่ป่วยนี้มีทั้งแพทย์และประชาชนทั่วไป ผู้ที่ป่วยทั่วไป คือคนที่ทำงานประจำ อยู่ในออฟฟิศ ใช้ชีวิต อยู่ในออฟฟิศ เป็นส่วนมาก อาหารการกิน เป็นอาหารแบบสำเร็จรูป และอาหาร แบบฟาสต์ฟู้ด ผู้ป่วยเหล่านี้ มักจะเป็นผู้ที่ใช้ชีวิต แบบคนสมัยใหม่
สตีเฟน ไกแลนด์ ยังได้ค้นพบอีกว่า ผู้ป่วยด้วยโรคลึกลับนี้ไม่เพียงแต่มีอาการเพียง 3-4 อย่าง คือ เพลีย นอนไม่หลับ ความจำเสื่อม ปวดเนื้อ ปวดตัว เท่านั้น
แต่ยังมีอาการป่วยต่างๆ ซึ่งสตีเฟน ไกแลนด์ รวบรวมไว้ได้ถึง 40 อาการ เป็นต้นว่า หัวใจเต้นผิดปกติ เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เป็นตะคริวบ่อยๆ เกิดอาการหิวอย่างรุนแรง คันตามผิวหนัง หายใจไม่ออก เป็นต้น
สตีเฟน ไกแลนด์ ยังได้ค้นพบอีกว่า สาเหตุสำคัญคือ เรื่องการกินอาหาร ผู้ป่วยมักจะกิน อาหารผิดๆ เนื้อ นม ไข่ มากเกินไป อาหารหวาน-มัน ของหวานไอศกรีม ขนมเค้ก ช็อกโกแลต น้ำอัดลม มากเกินไป
เมื่อพบสาเหตุสำคัญเช่นนี้ การแก้ก็ดูจะง่ายขึ้น.
ไทยรัฐ ๑๖ มิ.ย. ๔๕ ชีวจิต
สตีเฟน ไกแลนด์ เป็นนายแพทย์ ประจำอยู่โรงพยาบาลแทมปา มลรัฐฟลอริดา
ในระหว่างที่เขาเป็นแพทย์อยู่นั้น เขาป่วยด้วยโรคลึกลับ ซึ่งหาสาเหตุไม่ได้ โรคลึกลับนั้นก็คือ อาการเพลีย หมดแรง โดยไม่มีสาเหตุ นอกจากนั้น ยังมีอาการเวียนหัว และเป็นลม แถมด้วยอาการ มือสั่น ใจสั่น ความคิดสับสน ตื่นเต้นตกใจง่าย ความจำเสื่อม ปวดเนื้อ ปวดตัวอยู่ตลอดเวลา
โดยเหตุที่ตัวเองก็เป็นแพทย์อยู่แล้ว เขาจึงคิดว่า เขาน่าจะรักษาตัวเองได้ โดยเหตุที่เขาไม่รู้สาเหตุ ของอาการ แต่ละอาการ เขาจึงจำเป็น ต้องใช้ยาหลายขนาน เช่น ยาบำรุงแก้อาการ อ่อนเพลีย ยาแก้ปวดศีรษะ สำหรับอาการปวด และเวียนหัว ยาระงับประสาท และยากล่อมประสาท
แต่สิ่งที่เขาตกใจมากที่สุดก็คือ อาการที่เขาเป็นแต่ละอาการนั้น ไม่มีอะไร เกี่ยวข้องกันเลย เช่น การปวดเนื้อปวดตัว ไม่เกี่ยวกับการมือสั่น ใจสั่น และ อาการอ่อนเพลีย ไม่เกี่ยวกับ ความจำเสื่อม เป็นต้น
ถ้าเขาจะให้ยาแก้อาการแต่ละอาการ เขาจะต้องกินยานับเป็นสิบๆเม็ดต่อวัน และ ข้อสำคัญที่สุด ก็คือ เมื่อเขากินยาแก้ แต่ละอาการแล้ว เขากลับมีอาการแย่ลงๆ จนกระทั่ง กลายเป็นว่า เมื่อใดที่รู้สึก เพลียมากๆ เขาก็จะถึงกับเป็นลม หมดสติไปเลย
ไกแลนด์ได้ไปปรึกษาเพื่อนแพทย์ต่างๆหลายคน แต่ก็ดังที่ได้เล่าไว้ ในฉบับก่อนแล้ว เพื่อนแพทย์ แทบทุกคน จะบอกว่า ร่างกายเขา ปกติทุกอย่าง แพทย์บางคนบอกว่า เขาอาจจะเป็นโรคอุปาทาน แต่บางคน ก็บอกว่า เขามีเนื้องอกในสมอง ควรจะผ่าตัดด่วน
และแน่นอนที่สุด ไกแลนด์ไม่ยอมผ่าตัด และก็ไม่เชื่อว่า เขาเป็นโรคอุปาทาน การที่เป็นแพทย์ และการที่ป่วย ด้วยตัวเอง ทำให้เขาแน่ใจว่า เขาไม่มีเนื้องอก ในสมอง และเขาไม่ได้เป็น โรคอุปาทาน
แต่ที่เขาเดือดร้อนใจมากที่สุดก็คือ เขาถูกขอร้อง ให้ลาออกจากงาน หรือ จะพูดกันตรงๆ ก็คือ เขาถูกไล่ ออกจากงานนั่นเอง
เรื่องถูกออกจากงานก็เป็นเรื่องเดือดร้อนร้ายแรง อยู่แล้ว แต่ที่หนักหนาสาหัส ก็คือ เขาป่วยด้วย โรคลึกลับ มากว่าสิบปีแล้ว ยังไม่มีหมอ หรือยาอะไร ที่รักษาโรคลึกลับ ของเขาได้
สตีเฟน ไกแลนด์ ตกลงใจว่า เขาจะต้องค้นคว้าด้วยตนเอง ให้ได้ว่า โรคลึกลับ ของเขา คืออะไรแน่ และวิธีรักษา จะรักษาให้หายได้อย่างไร
เขาเริ่มค้นคว้ารายงานของการศึกษาของแพทย์ต่างๆ ทั้งเก่าและใหม่ เขาใช้เวลา ทั้งหมด จมอยู่กับ ห้องสมุด และตำรับตำรา การแพทย์ เป็นเวลาเกือบปี
และนั่นเอง เขาได้ค้นพบเอกสารชิ้นหนึ่งตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ JOURNAL OF THE AMERICAN MEDICAL ASSOCIATION 1924
บทความค้นคว้าชิ้นนั้น รายงานโดยศาสตราจารย์ นายแพทย์ซีล ฮาริส ซึ่งได้ค้นพบว่า อาการของ โรคลึกลับนั้น คืออาการ น้ำตาลในเลือดต่ำ หรือ HYPOGLYCEMIA นั่นเอง
อาการน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่ง ศาสตราจารย์ซีล ฮาริส ค้นพบนั้น เป็นอาการของน้ำตาล ในเลือดลงต่ำ และขึ้นสูง อยู่ตลอดเวลา และอาการอ่อนเพลีย มักจะเกิดขึ้น ระหว่างที่น้ำตาลในเลือดต่ำ เมื่อน้ำตาลในเลือด กลับขึ้นสูง อาการเพลีย ก็จะหายไป แต่พอน้ำตาลในเลือดต่ำอีก ก็กลับเพลียอีก
สรุปแล้วในรายงานนี้ได้กล่าว ถึงอาการเพลีย ซึ่งโยงไปถึงระหว่างเวลา ที่น้ำตาลในเลือดต่ำ และ อาการที่เป็นนี้จะขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอด เวลา และในครั้งนั้น ให้ชื่ออาการ นี้ว่า ไฮโปไกลซีเมีย หรือ น้ำตาลในเลือดต่ำ
ขอเล่าเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับ โรคน้ำตาลในเลือดต่ำ ของเบาหวาน และน้ำตาล ในเลือดต่ำ ของโรคลึกลับ ว่ามีอาการ และสาเหตุ เกี่ยวกับน้ำตาลเกิดขึ้น ในเวลาใกล้เคียงกัน อย่างน่าบังเอิญที่สุด
ศาสตราจารย์ซีล ฮาริส ได้รายงานอาการน้ำตาลในเลือดซึ่งขึ้นๆ ลงๆ อยู่ตลอดเวลานี้ เมื่อปี 1924
แต่ก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งปี เซอร์ เฟรดเดอริค กรานท์ แบนติ้ง และ ชาลส์ เฮอเบิต เบสท์ เป็นผู้ค้นพบ และสกัดอินซูลิน ออกมาได้สำเร็จ และได้รับรางวัลโนเบล เมื่อปี 1923
การสกัดอินซูลินออกมาได้ครั้งนั้น ปรากฏว่าเป็นการแก้อาการน้ำตาลในเลือดสูง ของผู้ที่เป็น เบาหวาน ได้ชะงัด แต่การใช้อินซูลินสกัด ในสมัยนั้น ยังไม่แพร่หลาย เพราะวิธีสกัด ต้องใช้สกัดจาก ตับอ่อนของวัว และหมู ซึ่งค่อนข้างยาก แก่การควบคุม (สมัยนี้ใช้การสกัดเทียมด้วยวิธี GENETIC ENGINEERING)
ฉะนั้น เมื่อเกิดอาการช็อกจากอินซูลินมากเกินไป จนคนไข้อาจจะเป็นลม กะทันหัน จนเข้าขั้นโคม่าได้ อาการของผู้ป่วยตอนนั้น ก็คืออาการน้ำตาลในเลือด ต่ำอย่างเฉียบพลัน ชื่อของอาการ HYPOGLY- CEMIA จึงเป็นอาการของผู้ที่ป่วย เป็นเบาหวานเท่านั้น
แต่ในขณะเดียวและระยะเวลาใกล้ๆกัน (ปี 1924) ซึ่งอาจารย์ซีล ฮาริส ค้นพบอาการ น้ำตาลในเลือดต่ำ ของโรคลึกลับ (เพลีย เหนื่อย เป็นลม ปวดเนื้อ ปวดตัวนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับ โรคเบาหวานเลย และคนก็ยังไม่รู้จักว่า โรคลึกลับนั้น มีอาการเหมือนกับ น้ำตาลในเลือดต่ำ ของคนเป็นเบาหวาน)
อีกประการหนึ่ง อาจารย์ซีล ฮาริส เขียนรายงานในวารสารการแพทย์เมื่อปี 1924 แล้วก็ไม่มี การค้นคว้าต่อ โรคน้ำตาลในเลือดต่ำ ของโรคลึกลับ จึงค้างอยู่เพียงแค่นั้น จนกระทั่ง นายแพทย์ สตีเฟน ไกแลนด์ ได้ศึกษา ถึงรายงานเก่าๆ จึงได้ไปพบเข้า ปีที่นายแพทย์ไกแลนด์ ค้นพบนั้น คือ ปี 1953
ระยะเวลาที่น้ำตาลในเลือดต่ำของโรคลึกลับนี้ จึงขาดตอนไปถึง 29 ปี ตลอดเวลา 29 ปีนั้น คนไข้และแพทย์ทั่วๆ ไปก็รู้จักแต่ ไฮโปไกลซีเมียของโรคเบาหวาน และนี่เองก็คือ การเข้าใจผิด ของแพทย์ เบาหวานหลายคน ที่คิดว่า ไฮโปไกลซีเมีย ของโรคลึกลับ แบบที่สตีเฟน ไกแลนด์เป็นนี้ เป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ
ที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ สตีเฟน ไกแลนด์ ได้ค้นพบต่อไปว่า ผู้ป่วยด้วยโรคลึกลับนี้ มีอยู่มากมาย ไม่ต่ำกว่า 20 ล้านคน! (ในสหรัฐอเมริกา)
ผู้ที่ป่วยนี้มีทั้งแพทย์และประชาชนทั่วไป ผู้ที่ป่วยทั่วไป คือคนที่ทำงานประจำ อยู่ในออฟฟิศ ใช้ชีวิต อยู่ในออฟฟิศ เป็นส่วนมาก อาหารการกิน เป็นอาหารแบบสำเร็จรูป และอาหาร แบบฟาสต์ฟู้ด ผู้ป่วยเหล่านี้ มักจะเป็นผู้ที่ใช้ชีวิต แบบคนสมัยใหม่
สตีเฟน ไกแลนด์ ยังได้ค้นพบอีกว่า ผู้ป่วยด้วยโรคลึกลับนี้ไม่เพียงแต่มีอาการเพียง 3-4 อย่าง คือ เพลีย นอนไม่หลับ ความจำเสื่อม ปวดเนื้อ ปวดตัว เท่านั้น
แต่ยังมีอาการป่วยต่างๆ ซึ่งสตีเฟน ไกแลนด์ รวบรวมไว้ได้ถึง 40 อาการ เป็นต้นว่า หัวใจเต้นผิดปกติ เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เป็นตะคริวบ่อยๆ เกิดอาการหิวอย่างรุนแรง คันตามผิวหนัง หายใจไม่ออก เป็นต้น
สตีเฟน ไกแลนด์ ยังได้ค้นพบอีกว่า สาเหตุสำคัญคือ เรื่องการกินอาหาร ผู้ป่วยมักจะกิน อาหารผิดๆ เนื้อ นม ไข่ มากเกินไป อาหารหวาน-มัน ของหวานไอศกรีม ขนมเค้ก ช็อกโกแลต น้ำอัดลม มากเกินไป
เมื่อพบสาเหตุสำคัญเช่นนี้ การแก้ก็ดูจะง่ายขึ้น.
ไทยรัฐ ๑๖ มิ.ย. ๔๕ ชีวจิต
อันเนื่องมาจากความหวาน ระวัง! อ่อนเพลียโดยไม่รู้สาเหตุอย่านึกว่าเป็นเรื่องเล็ก
เมื่อผมเขียนถึงโรคโรคหนึ่ง คือ ไฮโปไกลซีเมีย (HYPOGLYCEMIA) เมื่อ 14-15 ปีมาแล้ว ว่าเป็นโรค ของคนสมัยใหม่ ซึ่งต่อไปจะกลายเป็นโรคระบาดสำหรับคนไทย โดยเฉพาะท่านที่เป็น
นักบริหาร หรือท่านที่ต้องใช้ชีวิต อยู่ในออฟฟิศ หรือที่ทำงานทุกวัน
ปรากฏว่าผมถูกโจมตีหั่นแหลกไปเลย โดยเฉพาะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทางโรคเบาหวาน กล่าวหาว่า ผมเอาเรื่องเหลวไหลมาพูด และอย่าไปฟังหมอเถื่อนๆ อย่างผมเป็นอันขาด
ในตอนนั้นผมไม่ได้ตอบโต้อะไรเลย เพราะนึกอยู่อย่างเดียวว่า เรามีเจตนาดีที่จะเอาความรู้ มาเผยแพร่ เมื่อใครไม่เข้าใจ ก็ช่วยไม่ได้ เราเฉยๆเสียดีกว่า
แต่มาถึงเวลาที่จะเขียนบทความคราวนี้ ผมคิดว่าน่าจะอธิบายอะไรบางอย่าง เพื่อให้ท่านผู้อ่าน เข้าใจเสียก่อน เพราะมิฉะนั้นแล้ว ก็จะเกิดการเข้าใจผิด และถูกโจมตี โดยที่ผมไม่มีโอกาส ได้แก้ตัวอะไรเลย
ไฮโปไกลซีเมีย แปลว่า “นํ้าตาลในเลือดตํ่า” นํ้าตาลในที่นี้ ไม่ใช่นํ้าตาลหวาน หรือนํ้าตาลในขนม และของหวานต่างๆ นั่นคือ นํ้าตาลซูโครส ซึ่งก็คือนํ้าตาลขาว ที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้
ส่วนนํ้าตาลในเลือดของเราคือ นํ้าตาลกลูโคส ซึ่งหน้าที่ของมันก็คือ เป็นพลังงานสำคัญ ที่ช่วยให้เรา มีเรี่ยวมีแรง ทำงานทำการ และทำอะไรต่ออะไรได้
สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกันอีกอย่างหนึ่งก็คือ อาการ นํ้าตาลในเลือดตํ่า ของผู้ที่เป็น เบาหวานนั้น เป็นคนละอย่าง กับนํ้าตาลในเลือดตํ่า ของผู้ป่วยทั่วๆ ไป
ขออธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ปกติเมื่อมีนํ้าตาลในเลือดสูง ตับอ่อน จะทำหน้าที่ ขับฮอร์โมน อินซูลินออกมา เพื่อบังคับให้อัตรานํ้าตาลในเลือด ลดลงมาในระดับปกติ แต่ในกรณี ของผู้ป่วย เป็นเบาหวาน ตับอ่อนขับอินซูลินออกมาได้น้อย หรือขับออกมาไม่ได้เลย เมื่อเป็นดังนี้ นํ้าตาลในเลือด ของผู้ป่วยเบาหวาน จึงสูงเกินอัตราปกติ อยู่ตลอดเวลา ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย หมดแรง ปัสสาวะบ่อย นํ้าหนักลด และจะมีอาการอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดหัว มีอาการของหัวใจ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น
วิธีแก้ ซึ่งที่จริงเป็นการบรรเทาอาการไม่ใช่การรักษา ก็คือ ให้ยากิน หรือให้ฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุม อัตรานํ้าตาลในเลือด ยากินหรืออินซูลินอย่างฉีดนี้ จะต้องให้อยู่เป็นประจำ และในบางครั้ง จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญ หรืออย่างใดก็ตาม ยาที่กิน หรืออินซูลินที่ฉีดเข้าไป เกินขนาดมากเกินไป ผู้ป่วยก็จะมีอาการ ไฮโปไกลซีเมีย ซึ่งก็คือนํ้าตาลในเลือดตํ่า อาการของผู้ที่นํ้าตาลในเลือดตํ่า หรือไฮโปไกลซีเมีย จากการที่ยาคุมเบาหวาน เกินขนาดนี้ จะทำให้เกิดอาการ เพลียอย่างหนัก ปวดหัว เกิดอาการหิว จนจะเป็นลม ตาลายมืออ่อนเท้าอ่อน และถ้าอาการหนักมาก แก้ไขไม่ทัน ก็จะถึงขั้นโคม่า และถึงแก่ความตายได้
นั่นคืออาการไฮโปไกลซีเมียของผู้ป่วยเป็นเบาหวาน ซึ่งต่างกันกับไฮโปไกลซีเมีย ของผู้ป่วยอื่นๆ ทั่วไป ความสำคัญของผู้ป่วยทั่วๆ ไป ก็คือเขาไม่ได้เป็นเบาหวาน แต่เขามีอาการ ของนํ้าตาลในเลือดตํ่า เหมือนคน เป็นเบาหวาน
ตรงนี้แหละครับที่เกิดการเข้าใจผิดขึ้นระหว่างแพทย์ที่รักษาเบาหวานหลายคน ที่กล่าวหาว่า มีหมอเถื่อนคนหนึ่ง ตั้งตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในการรักษาโรคเบาหวาน และหมอเถื่อน ที่ถูกกล่าวหา คนนั้น ก็คือผมนั่นเอง
ก็หวังว่าความเข้าใจผิดเช่นนั้น คงจะกลายเป็นความเข้าใจถูกขึ้นบ้างนะครับ สำหรับคำอธิบายสั้นๆ ของผมคราวนี้
อันที่จริง ความเข้าใจผิดแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแต่ในเมืองไทยนี้เท่านั้น ในอเมริกา ก็มีการเข้าใจผิด แบบเดียวกัน และ มีการโจมตีแบบหนักหนา สาหัสเหมือนกันว่า โรคไฮโปไกลซีเมีย แบบชาวบ้าน ที่มีแพทย์บางคนพูดกันนั้น เป็นเรื่องยกเมฆทั้งเพ
เมื่อประมาณเกือบ 80 ปีที่แล้วมาก็คงทราบกันอยู่แล้วว่า อเมริกาได้เป็นมหาประเทศ มานานแล้ว และระบบชีวิต ของคนในประเทศรํ่ารวยครั้งนั้น มาจนบัดนี้ ก็คือชีวิต ของคนสมัยใหม่ กินอาหาร ฟาสต์ฟู้ด หรือ จานด่วน ดื่มนํ้าอัดลม ใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิศ หรือ สำนักงาน ตั้งแต่เช้าจดคํ่า ชีวิตเต็มไปด้วย ความรีบร้อน และเร่งรีบตลอดเวลา
โรคไฮโปไกลซีเมีย จึงเกิดขึ้นกับคนในเมืองใหญ่ๆ และในเมืองหลวง ในสมัยนั้น ยังไม่มีใครรู้จัก โรคแบบนี้ เป็นแต่สงสัยว่า อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น คือโรคอะไร และจะรักษา ได้อย่างไรเท่านั้น
อาการสำคัญๆ ของโรคสมัยใหม่ของคนเมืองใหญ่ขณะนั้นก็คือ เหนื่อยเพลีย จนแทบจะเป็นลม ปวดหัว คลื่นไส้ นอนไม่หลับ เหงื่อโชกทั้งตัว เวลานอน ปวดเนื้อปวดตัว มือไม้สั่น และ อาการอื่นๆ อีกหลายอย่าง
ความลึกลับของโรคสมัยใหม่ของคนสมัยใหม่นั้นก็คือ เมื่อไปหาแพทย์ตรวจแล้ว ตรวจอีก ผลออกมา ก็จะเป็นว่า ผู้ป่วยร่างกายสมบูรณ์ ไม่มีอะไรผิดปกติ และอาการที่เป็นนั้น ก็หาสาเหตุไม่ได้ และ รักษาก็ไม่ได้ด้วย
โรคเหล่านี้ผู้ป่วยที่มาหาแพทย์ แรกๆ ก็จะมีเพียงคนสองคน แต่เมื่อแพทย์หาสาเหตุไม่ได้ว่า เพราะอะไร โรคนี้ก็ดูจะกลายเป็น โรคลึกลับ โดยเหตุที่เป็นโรคลึกลับ ก็เลยพูดกันมาก และบอกต่อๆไป มากยิ่งขึ้น ผลที่สุด ปรากฏว่า โรคลึกลับนี้ มีคนไข้ที่ป่วย มีอาการเหมือนกัน มากมายเหลือเกิน เป็นกัน เกือบจะหมดทั้งเมือง ก็ว่าได้
แต่โรคนี้ก็ยังเป็นโรคลึกลับกันอยู่ ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเรียกโรคนี้กันว่า โรคอะไรกันแน่ เมื่อคนไข้ มาหาแพทย์ ก็มักจะถูกกล่าวหาว่า คนไข้เป็นโรคอุปาทานบ้าง เป็นโรคจิตบ้าง
จนกระทั่งมีหมอคนหนึ่งป่วยเป็นโรคลึกลับนี้เสียเอง หมอคนนี้ชื่อนายแพทย์สตีเฟน ไกแลนด์ ซึ่งเป็นแพทย์ ประจำโรงพยาบาล ที่แทมปา ฟลอริดา และได้ป่วยเป็นโรคลึกลับ เช่นนี้มาเป็นเวลา กว่าสิบปี เขาไม่รู้ว่า เขาป่วยเป็นอะไร รู้แต่ว่าร่างกายและจิตใจเขา กำลังเลวลงๆ อ่อนเพลีย ระโหย ไม่มีแรง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ปวดเนื้อ ปวดตัว มือไม้สั่นตลอดเวลา
เขาไปหาเพื่อนซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคน เพื่อนเขาบอกว่า เขาไม่เป็นอะไร แต่การป่วยของเขา ก็ยังปรากฏ อาการอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ขอให้เขาลาออก เพราะการเป็นแพทย์ ซึ่งป่วยอยู่ตลอดเวลานี้ คงเป็นอันตราย ต่อการรักษาคนไข้อื่นๆ แน่นอน
เขายังไม่หยุดยั้งในการแสวงหาแพทย์ ซึ่งจะช่วยเขาได้ ผลสุดท้าย ได้รักษากับแพทย์ถึง 14 คน แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ไปหาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดอีก 3 คน ก็ไม่ได้ผลอีกเช่นกัน
และกับผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้เอง นายแพทย์ไกแลนด์ได้เคี่ยวเข็ญว่า อย่างน้อยที่สุด จะต้องระบุ ชื่อโรคออกมา ให้ได้ว่า เขาเป็นโรคอะไรกันแน่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็หมดปัญญา เลยบอกว่า อาจจะเป็นได้ถึง 4 โรค ให้เขาเลือกเอาเอง ก็แล้วกันว่า จะเลือกเป็นโรคอะไร
โรค 4 โรค นั้นคือ 1. โรคประสาท (NEUROSIS) 2. เนื้องอกในสมอง (BRAIN TUMOR) 3. เบาหวาน และ 4. เส้นเลือดในสมองตีบ (CEREBRAL ARTERIOSCLEROSIS)
นายแพทย์ไกแลนด์ก็เลยเกิดอาการเป็นงง เพราะเขาเชื่อแน่นอนว่า เขาไม่ได้เป็นโรคใด โรคหนึ่ง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ให้เขาเลือกเลย
แล้วเขาก็บังเอิญมาค้นคว้าพบรายงานของแพทย์ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาเอง รายงานนี้ ทำให้เขารู้สึก เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพราะเขาได้รู้จัก เป็นครั้งแรก หลังจากที่ตกนรก มาถึงสิบกว่าปี ว่าเขาป่วยเป็นโรค HYPOGLYCEMIA นํ้าตาลในเลือดตํ่า
เรื่องของนายแพทย์ไกแลนด์ และอาจารย์นายแพทย์ที่ค้นพบโรคนี้ เป็นเรื่องน่าสนใจมาก เพื่อไม่ให้เป็นเรื่องน่าเบื่อ จนเกินไป ผมจะเขียนสลับเป็นตอนๆ ไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ ขอจบด้วยเรื่อง ของคนไข้คนหนึ่ง ซึ่งสามารถรักษาโรค ไฮโปไกลซีเมียของเธอ ด้วยวิธีง่ายๆ
นางสาวซินดี บี ได้พบว่าเธอเป็นลมหน้ามืดบ่อยๆ และจะเป็นโดย ไม่มีอาการล่วงหน้า เธอนึกว่า เธอคงไม่เป็นไร ก่อนหน้านั้น เธอเคยไปหาแพทย์ประจำตัว เมื่อเธอรู้สึกเพลียไม่มีแรง แพทย์ประจำตัว ของเธอ บอกให้เธอกิน ขนมหวาน ประเภททอฟฟี่ หรือ ช็อกโกแลตแท่ง หรือ แคนดี้บาร์บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาเธอเพลียๆ เธอจึงคิดว่า เวลาเธอหน้ามืด อาจจะเป็นเพราะ เธอลืมกินขนมหวาน จึงพกขนมหวาน ติดตัวไว้กิน ตลอดเวลา
แต่อยู่ๆเธอก็หน้ามืดอีก 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะตอนไปตลาดซุปเปอร์มาร์เกต เธอกลับมาบ้าน ก็โทรศัพท์ทางไกล ไปหาคุณแม่ของเธอ ในนิวยอร์ก
คุณแม่ของเธอเคยป่วยแบบนี้มาแล้ว และเคยรักษากับนายแพทย์คาลตัน เฟรดเดอริค ผู้เชี่ยวชาญ ด้านไฮโปไกลซีเมียมาแล้ว คุณแม่ของเธอ ส่งรายการการรักษา และปฏิบัติตัวมาให้ ขั้นแรก คุณแม่ของเธอ สั่งให้งดกินขนม ตามที่แพทย์ประจำตัวของเธอสั่ง โดยเด็ดขาด ขั้นต่อไป ให้กินอาหาร ตามสูตร ออร์แกนิคคาร์โบ-ไฮโปรตีน และให้กินอาหารมื้อย่อยๆ อย่างน้อยวันละ 5 มื้อ และข้อสำคัญ ให้งดของหวาน เด็ดขาด
ซินดี้ บี เคร่งครัดเรื่องสูตรอาหารและปฏิบัติตามคุณแม่ของเธอบอก ชั่วเวลาเพียงเดือนเดียว อาการต่างๆ ของเธอหายขาด
(คนไข้รายนี้อยู่ในรายงานหนังสือของนายแพทย์คาลตัน เฟรดเดอริค และเฮอร์แมน กู้ดแมน ในหนังสือ ชื่อ “LOWBLOOD SUGAR AND YOU”)
ไทยรัฐ ๙ มิ.ย. ๔๕ ชีวจิต
นักบริหาร หรือท่านที่ต้องใช้ชีวิต อยู่ในออฟฟิศ หรือที่ทำงานทุกวัน
ปรากฏว่าผมถูกโจมตีหั่นแหลกไปเลย โดยเฉพาะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทางโรคเบาหวาน กล่าวหาว่า ผมเอาเรื่องเหลวไหลมาพูด และอย่าไปฟังหมอเถื่อนๆ อย่างผมเป็นอันขาด
ในตอนนั้นผมไม่ได้ตอบโต้อะไรเลย เพราะนึกอยู่อย่างเดียวว่า เรามีเจตนาดีที่จะเอาความรู้ มาเผยแพร่ เมื่อใครไม่เข้าใจ ก็ช่วยไม่ได้ เราเฉยๆเสียดีกว่า
แต่มาถึงเวลาที่จะเขียนบทความคราวนี้ ผมคิดว่าน่าจะอธิบายอะไรบางอย่าง เพื่อให้ท่านผู้อ่าน เข้าใจเสียก่อน เพราะมิฉะนั้นแล้ว ก็จะเกิดการเข้าใจผิด และถูกโจมตี โดยที่ผมไม่มีโอกาส ได้แก้ตัวอะไรเลย
ไฮโปไกลซีเมีย แปลว่า “นํ้าตาลในเลือดตํ่า” นํ้าตาลในที่นี้ ไม่ใช่นํ้าตาลหวาน หรือนํ้าตาลในขนม และของหวานต่างๆ นั่นคือ นํ้าตาลซูโครส ซึ่งก็คือนํ้าตาลขาว ที่เราบริโภคกันอยู่ทุกวันนี้
ส่วนนํ้าตาลในเลือดของเราคือ นํ้าตาลกลูโคส ซึ่งหน้าที่ของมันก็คือ เป็นพลังงานสำคัญ ที่ช่วยให้เรา มีเรี่ยวมีแรง ทำงานทำการ และทำอะไรต่ออะไรได้
สิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจกันอีกอย่างหนึ่งก็คือ อาการ นํ้าตาลในเลือดตํ่า ของผู้ที่เป็น เบาหวานนั้น เป็นคนละอย่าง กับนํ้าตาลในเลือดตํ่า ของผู้ป่วยทั่วๆ ไป
ขออธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับโรคเบาหวาน ปกติเมื่อมีนํ้าตาลในเลือดสูง ตับอ่อน จะทำหน้าที่ ขับฮอร์โมน อินซูลินออกมา เพื่อบังคับให้อัตรานํ้าตาลในเลือด ลดลงมาในระดับปกติ แต่ในกรณี ของผู้ป่วย เป็นเบาหวาน ตับอ่อนขับอินซูลินออกมาได้น้อย หรือขับออกมาไม่ได้เลย เมื่อเป็นดังนี้ นํ้าตาลในเลือด ของผู้ป่วยเบาหวาน จึงสูงเกินอัตราปกติ อยู่ตลอดเวลา ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย หมดแรง ปัสสาวะบ่อย นํ้าหนักลด และจะมีอาการอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ปวดหัว มีอาการของหัวใจ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น
วิธีแก้ ซึ่งที่จริงเป็นการบรรเทาอาการไม่ใช่การรักษา ก็คือ ให้ยากิน หรือให้ฉีดอินซูลิน เพื่อควบคุม อัตรานํ้าตาลในเลือด ยากินหรืออินซูลินอย่างฉีดนี้ จะต้องให้อยู่เป็นประจำ และในบางครั้ง จะเป็นด้วยเหตุบังเอิญ หรืออย่างใดก็ตาม ยาที่กิน หรืออินซูลินที่ฉีดเข้าไป เกินขนาดมากเกินไป ผู้ป่วยก็จะมีอาการ ไฮโปไกลซีเมีย ซึ่งก็คือนํ้าตาลในเลือดตํ่า อาการของผู้ที่นํ้าตาลในเลือดตํ่า หรือไฮโปไกลซีเมีย จากการที่ยาคุมเบาหวาน เกินขนาดนี้ จะทำให้เกิดอาการ เพลียอย่างหนัก ปวดหัว เกิดอาการหิว จนจะเป็นลม ตาลายมืออ่อนเท้าอ่อน และถ้าอาการหนักมาก แก้ไขไม่ทัน ก็จะถึงขั้นโคม่า และถึงแก่ความตายได้
นั่นคืออาการไฮโปไกลซีเมียของผู้ป่วยเป็นเบาหวาน ซึ่งต่างกันกับไฮโปไกลซีเมีย ของผู้ป่วยอื่นๆ ทั่วไป ความสำคัญของผู้ป่วยทั่วๆ ไป ก็คือเขาไม่ได้เป็นเบาหวาน แต่เขามีอาการ ของนํ้าตาลในเลือดตํ่า เหมือนคน เป็นเบาหวาน
ตรงนี้แหละครับที่เกิดการเข้าใจผิดขึ้นระหว่างแพทย์ที่รักษาเบาหวานหลายคน ที่กล่าวหาว่า มีหมอเถื่อนคนหนึ่ง ตั้งตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญ ในการรักษาโรคเบาหวาน และหมอเถื่อน ที่ถูกกล่าวหา คนนั้น ก็คือผมนั่นเอง
ก็หวังว่าความเข้าใจผิดเช่นนั้น คงจะกลายเป็นความเข้าใจถูกขึ้นบ้างนะครับ สำหรับคำอธิบายสั้นๆ ของผมคราวนี้
อันที่จริง ความเข้าใจผิดแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะแต่ในเมืองไทยนี้เท่านั้น ในอเมริกา ก็มีการเข้าใจผิด แบบเดียวกัน และ มีการโจมตีแบบหนักหนา สาหัสเหมือนกันว่า โรคไฮโปไกลซีเมีย แบบชาวบ้าน ที่มีแพทย์บางคนพูดกันนั้น เป็นเรื่องยกเมฆทั้งเพ
เมื่อประมาณเกือบ 80 ปีที่แล้วมาก็คงทราบกันอยู่แล้วว่า อเมริกาได้เป็นมหาประเทศ มานานแล้ว และระบบชีวิต ของคนในประเทศรํ่ารวยครั้งนั้น มาจนบัดนี้ ก็คือชีวิต ของคนสมัยใหม่ กินอาหาร ฟาสต์ฟู้ด หรือ จานด่วน ดื่มนํ้าอัดลม ใช้ชีวิตอยู่ในออฟฟิศ หรือ สำนักงาน ตั้งแต่เช้าจดคํ่า ชีวิตเต็มไปด้วย ความรีบร้อน และเร่งรีบตลอดเวลา
โรคไฮโปไกลซีเมีย จึงเกิดขึ้นกับคนในเมืองใหญ่ๆ และในเมืองหลวง ในสมัยนั้น ยังไม่มีใครรู้จัก โรคแบบนี้ เป็นแต่สงสัยว่า อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น คือโรคอะไร และจะรักษา ได้อย่างไรเท่านั้น
อาการสำคัญๆ ของโรคสมัยใหม่ของคนเมืองใหญ่ขณะนั้นก็คือ เหนื่อยเพลีย จนแทบจะเป็นลม ปวดหัว คลื่นไส้ นอนไม่หลับ เหงื่อโชกทั้งตัว เวลานอน ปวดเนื้อปวดตัว มือไม้สั่น และ อาการอื่นๆ อีกหลายอย่าง
ความลึกลับของโรคสมัยใหม่ของคนสมัยใหม่นั้นก็คือ เมื่อไปหาแพทย์ตรวจแล้ว ตรวจอีก ผลออกมา ก็จะเป็นว่า ผู้ป่วยร่างกายสมบูรณ์ ไม่มีอะไรผิดปกติ และอาการที่เป็นนั้น ก็หาสาเหตุไม่ได้ และ รักษาก็ไม่ได้ด้วย
โรคเหล่านี้ผู้ป่วยที่มาหาแพทย์ แรกๆ ก็จะมีเพียงคนสองคน แต่เมื่อแพทย์หาสาเหตุไม่ได้ว่า เพราะอะไร โรคนี้ก็ดูจะกลายเป็น โรคลึกลับ โดยเหตุที่เป็นโรคลึกลับ ก็เลยพูดกันมาก และบอกต่อๆไป มากยิ่งขึ้น ผลที่สุด ปรากฏว่า โรคลึกลับนี้ มีคนไข้ที่ป่วย มีอาการเหมือนกัน มากมายเหลือเกิน เป็นกัน เกือบจะหมดทั้งเมือง ก็ว่าได้
แต่โรคนี้ก็ยังเป็นโรคลึกลับกันอยู่ ยังไม่มีใครรู้ว่าจะเรียกโรคนี้กันว่า โรคอะไรกันแน่ เมื่อคนไข้ มาหาแพทย์ ก็มักจะถูกกล่าวหาว่า คนไข้เป็นโรคอุปาทานบ้าง เป็นโรคจิตบ้าง
จนกระทั่งมีหมอคนหนึ่งป่วยเป็นโรคลึกลับนี้เสียเอง หมอคนนี้ชื่อนายแพทย์สตีเฟน ไกแลนด์ ซึ่งเป็นแพทย์ ประจำโรงพยาบาล ที่แทมปา ฟลอริดา และได้ป่วยเป็นโรคลึกลับ เช่นนี้มาเป็นเวลา กว่าสิบปี เขาไม่รู้ว่า เขาป่วยเป็นอะไร รู้แต่ว่าร่างกายและจิตใจเขา กำลังเลวลงๆ อ่อนเพลีย ระโหย ไม่มีแรง หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ปวดเนื้อ ปวดตัว มือไม้สั่นตลอดเวลา
เขาไปหาเพื่อนซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายคน เพื่อนเขาบอกว่า เขาไม่เป็นอะไร แต่การป่วยของเขา ก็ยังปรากฏ อาการอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ขอให้เขาลาออก เพราะการเป็นแพทย์ ซึ่งป่วยอยู่ตลอดเวลานี้ คงเป็นอันตราย ต่อการรักษาคนไข้อื่นๆ แน่นอน
เขายังไม่หยุดยั้งในการแสวงหาแพทย์ ซึ่งจะช่วยเขาได้ ผลสุดท้าย ได้รักษากับแพทย์ถึง 14 คน แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ไปหาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดอีก 3 คน ก็ไม่ได้ผลอีกเช่นกัน
และกับผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้เอง นายแพทย์ไกแลนด์ได้เคี่ยวเข็ญว่า อย่างน้อยที่สุด จะต้องระบุ ชื่อโรคออกมา ให้ได้ว่า เขาเป็นโรคอะไรกันแน่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก็หมดปัญญา เลยบอกว่า อาจจะเป็นได้ถึง 4 โรค ให้เขาเลือกเอาเอง ก็แล้วกันว่า จะเลือกเป็นโรคอะไร
โรค 4 โรค นั้นคือ 1. โรคประสาท (NEUROSIS) 2. เนื้องอกในสมอง (BRAIN TUMOR) 3. เบาหวาน และ 4. เส้นเลือดในสมองตีบ (CEREBRAL ARTERIOSCLEROSIS)
นายแพทย์ไกแลนด์ก็เลยเกิดอาการเป็นงง เพราะเขาเชื่อแน่นอนว่า เขาไม่ได้เป็นโรคใด โรคหนึ่ง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ให้เขาเลือกเลย
แล้วเขาก็บังเอิญมาค้นคว้าพบรายงานของแพทย์ผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาเอง รายงานนี้ ทำให้เขารู้สึก เหมือนตายแล้วเกิดใหม่ เพราะเขาได้รู้จัก เป็นครั้งแรก หลังจากที่ตกนรก มาถึงสิบกว่าปี ว่าเขาป่วยเป็นโรค HYPOGLYCEMIA นํ้าตาลในเลือดตํ่า
เรื่องของนายแพทย์ไกแลนด์ และอาจารย์นายแพทย์ที่ค้นพบโรคนี้ เป็นเรื่องน่าสนใจมาก เพื่อไม่ให้เป็นเรื่องน่าเบื่อ จนเกินไป ผมจะเขียนสลับเป็นตอนๆ ไปเรื่อยๆ แต่ตอนนี้ ขอจบด้วยเรื่อง ของคนไข้คนหนึ่ง ซึ่งสามารถรักษาโรค ไฮโปไกลซีเมียของเธอ ด้วยวิธีง่ายๆ
นางสาวซินดี บี ได้พบว่าเธอเป็นลมหน้ามืดบ่อยๆ และจะเป็นโดย ไม่มีอาการล่วงหน้า เธอนึกว่า เธอคงไม่เป็นไร ก่อนหน้านั้น เธอเคยไปหาแพทย์ประจำตัว เมื่อเธอรู้สึกเพลียไม่มีแรง แพทย์ประจำตัว ของเธอ บอกให้เธอกิน ขนมหวาน ประเภททอฟฟี่ หรือ ช็อกโกแลตแท่ง หรือ แคนดี้บาร์บ่อยๆ โดยเฉพาะเวลาเธอเพลียๆ เธอจึงคิดว่า เวลาเธอหน้ามืด อาจจะเป็นเพราะ เธอลืมกินขนมหวาน จึงพกขนมหวาน ติดตัวไว้กิน ตลอดเวลา
แต่อยู่ๆเธอก็หน้ามืดอีก 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะตอนไปตลาดซุปเปอร์มาร์เกต เธอกลับมาบ้าน ก็โทรศัพท์ทางไกล ไปหาคุณแม่ของเธอ ในนิวยอร์ก
คุณแม่ของเธอเคยป่วยแบบนี้มาแล้ว และเคยรักษากับนายแพทย์คาลตัน เฟรดเดอริค ผู้เชี่ยวชาญ ด้านไฮโปไกลซีเมียมาแล้ว คุณแม่ของเธอ ส่งรายการการรักษา และปฏิบัติตัวมาให้ ขั้นแรก คุณแม่ของเธอ สั่งให้งดกินขนม ตามที่แพทย์ประจำตัวของเธอสั่ง โดยเด็ดขาด ขั้นต่อไป ให้กินอาหาร ตามสูตร ออร์แกนิคคาร์โบ-ไฮโปรตีน และให้กินอาหารมื้อย่อยๆ อย่างน้อยวันละ 5 มื้อ และข้อสำคัญ ให้งดของหวาน เด็ดขาด
ซินดี้ บี เคร่งครัดเรื่องสูตรอาหารและปฏิบัติตามคุณแม่ของเธอบอก ชั่วเวลาเพียงเดือนเดียว อาการต่างๆ ของเธอหายขาด
(คนไข้รายนี้อยู่ในรายงานหนังสือของนายแพทย์คาลตัน เฟรดเดอริค และเฮอร์แมน กู้ดแมน ในหนังสือ ชื่อ “LOWBLOOD SUGAR AND YOU”)
ไทยรัฐ ๙ มิ.ย. ๔๕ ชีวจิต
เรื่องหวานซึ่งไม่ค่อยหวาน
ตั้งแต่เริ่มตั้งกลุ่มชีวจิตครั้งแรกมาจนกระทั่งกลายเป็นมูลนิธิเป็นเวลาเกือบ 20 ปีมาแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ ผมได้บรรยายให้เห็นโทษของการบริโภคน้ำตาลขาวมาโดยตลอด
พูดกันจริงๆ แล้ว การบรรยายหรืออธิบายเรื่องโทษของน้ำตาลหรือของหวานนั้นไม่ค่อยได้ผลหรอกครับ คนไม่ค่อยเชื่อ และบางคนกลับจะโกรธเอาเสียด้วยซํ้า ทั้งนี้ สาเหตุของการไม่เชื่อมีอยู่อย่างเดียว คือคนไทยติดน้ำตาลหรือของหวานกันจนเข้ากระดูกดำเสียแล้ว
การติดหวานหรือติดนํ้าตาลอย่างหนัก โทษของมันมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะทางร่างกาย จะมีผลต่อเนื่อง จนกระทั่งทำให้เจ็บหนักได้ ซึ่งเมื่อถึงเวลาเจ็บหนักเข้าจริงๆ หลายคนเลิกหวานได้
แต่ในเรื่องทางใจนี่สิ ยากนักที่จะเปลี่ยนใจได้ เพราะถ้าใจไม่แข็งจริงๆ แล้ว อาการที่จะเกิดขึ้นทางใจ ก็คือ ความหงุดหงิด คนที่ติดหวาน ถ้าไม่ได้กินหวานมักจะหงุดหงิด กระ-วนกระวาย อารมณ์บูด ถึงกับอาละวาดก็ยังมี อาการอื่นๆ ก็ตามมาเป็นกระบวน เช่น นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปวดหลัง ปวดตัว เป็นได้สารพัดร้อยแปด
ฉะนั้น การที่ผมเขียนเรื่องอย่ากินหวาน อย่าติดหวานซํ้าๆ กันมาหลายตอน คราวนี้ป ระวัติศาสตร์ก็คงจะซํ้ารอย คือถูกด่าเสียมากกว่า
วิธีเลี่ยงผ่อนหนักให้เป็นเบาก็คือ พยายามเอาเรื่องวิชาการเข้ามาพูด และต้องใช้หลักฐาน การทดลองต่างๆ รวมทั้งการปฏิบัติจริงๆ ต่อคนไข้เข้ามาอ้างอิง
ข้ออ้างอิงคราวนี้ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นหลักฐานสมบูรณ์ ก็คือการทดลองและการรักษาคนไข้ ของแพทย์ต่างๆ นั้น ตรงกันทั้งทางอเมริกาและยุโรป กลุ่มนายแพทย์ เอช.เอ็ม.เชลตัน. ริชาร์ด ลียอง อาร์ แทนนาฮิลล์. อี.วี. แมคคอลลัม นั้น เป็นกลุ่มจากอเมริกา และ เจ. ยัคคิน และพวก เป็นกลุ่ม จากอังกฤษ
ที่ผมชอบใจมากที่สุด ก็คือ ของนายแพทย์ เจ. ยัคคิน จากอังกฤษนี่เอง เพราะตัวหมอยัคคินนั้น ป่วยเป็นโรคกระเพาะมาถึง 25 ปี แพทย์เพื่อนๆ ให้ความเห็นว่า ควรจะผ่าตัดทั้งสิ้น แต่ยัคคิน ก็ชะลอการผ่าตัดมาเรื่อยๆ ด้วยการปฏิบัติตัวตามสูตร คือ คำสั่งจากแพทย์ด้วยกัน อย่าเครียด อย่าทำงานหนัก อย่ากินอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหาร ที่มีเครื่องเทศ และให้กินอาหารมื้อย่อยบ่อยๆ แทนที่จะกินอาหารหนัก
หมอยัคคินก็ปฏิบัติตามมาเรื่อยๆ เป็นบ้าง หายบ้าง สลับกันตลอดเวลา และยาที่เขากินเป็นประจำ ก็คือ ยาลดกรด กินอยู่ตั้ง 25 ปี แต่โรคของเขาก็ไม่มีวันหายขาด และสิ่งที่ทำให้รู้สึก ผิดหวังมาก ก็คือ กินยา ลดกรดมากๆ ระบบต่างๆ ในร่างกายเขาสับสนไปหมด ระบบย่อย ระบบประสาท การกิน การนอน ผิดปกติ และที่สำคัญที่สุดก็คือ นํ้าหนักตัวเขาเพิ่มพรวดพราด จนคุมไม่อยู่
ยัคคินจึงตัดสินใจทำโปรแกรมรักษาตัวเอง โดยตัดนํ้าตาล ของหวาน และอาหารหวาน ทั้งหมด โดยสิ้นเชิง และชั่วเวลา 2 เดือน เขาก็หายขาด ลองคิดดู เป็นโรคกระเพาะมาถึง 25 ปี รักษาอย่างไร ก็ไม่หาย แต่เลิกหวาน เลิกนํ้าตาล เพียง 2 เดือน โรคกระเพาะหายขาดเลย
ที่สำคัญที่สุด ซึ่งต้องนับว่าเป็นผลงานทางการแพทย์ที่เด่นที่สุด ก็คือ การทดลองของเขาต่อ ทหารอาสาสมัคร และต่อกลุ่มผู้ถูกคุมขัง ในเรือนจำ
จะว่าเป็นโชคของเขาก็ได้ที่เป็นแพทย์ในประเทศอังกฤษ เพราะระบบการแพทย์ ในอังกฤษนั้น รัฐเป็นผู้ คุ้มครองดูแล และการรักษาของประชาชนทั้งหมด เมื่อหมอยัคคินขออนุญาตทางการ เข้าไปทดลอง ในกรมทหาร และในสถานที่คุมขัง ซึ่งอยู่ในความดูแลของรัฐบาล จึงได้รับอนุมัติทันที
การทดลองของนายแพทย์ยัคคิน จึงเป็นมาตรฐานและถือเป็นการปฏิวัติที่ถูกต้องของวงการแพทย์ ทั่วโลกได้หมอยัคคิน แบ่งกลุ่มผู้อาสาสมัคร เข้ารับการทดลอง ออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรกกินอาหารตามสูตรหมอยัคคิน คือไม่มีของหวาน หรือ น้ำตาลปนใส่ อยู่ในอาหารเลย
กลุ่มที่สองกินอาหารหวานและน้ำตาลได้ตามชอบใจ
ทั้งสองกลุ่มนี้ปฏิบัติการทดสอบเหมือนกัน คือ เมื่อตื่นมาแต่เช้า ทุกคนจะต้องกลืนสายยาง แล้วดูดเอาน้ำย่อย ออกมาทดสอบ
หลังจากนั้นให้ทุกคนรับประทานอาหารเช้า หลังจากอาหารเช้าแล้วประมาณ 15 นาที ให้ทุกคน กลืนสายยางอีกครั้ง แล้วเอาน้ำย่อยมาทดสอบอีก
จุดประสงค์ของการทดสอบนี้ เพื่อจะตรวจดูว่า ความเป็นกรดในกระเพาะ และระบบการย่อย ของกลุ่มสองกลุ่มนี้ จะแตกต่างกันอย่างไร
ผลของการทดสอบปรากฏว่า กลุ่มที่กินหวาน น้ำตาล มีกรดในกระเพาะสูงกว่ากลุ่มที่ไม่กินถึง 3 เท่า ส่วนระบบการย่อย ของกลุ่มกินหวานนั้น การย่อยปรวนแปร ท้องอืดท้องเฟ้อได้ง่าย เกิดอาการผิดปกติ ของระบบย่อยได้ง่าย
แต่กลุ่มที่สอง ซึ่งไม่กินหวานเลย ปกติทุกอย่าง ความเป็นกรดปกติ ท้องไส้ การย่อยการถ่ายปกติ
แต่การทดลอง ทางฝ่ายอเมริกา ก็น่าสนใจอย่างยิ่ง ไม่แพ้กัน นายแพทย์เจย์ โคแนลด์ ออสโตร แห่งมหาวิทยาลัย เพนซิลเวเนีย ได้ค้นพบว่า
1. น้ำตาลขาว หรือของหวานนั้น จะไม่ย่อยในปากก่อนเหมือนกลุ่มแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อเข้าปากแล้ว จะลงสู่กระเพาะ และผ่านกระเพาะเข้าลำไส้เล็ก และเข้าสู่กระแสโลหิต โดยตรงเลย
ลักษณะเช่นนี้หมายความว่า น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสโลหิตทันที เหมือนกับน้ำจากทำนบซึ่งเขื่อนพัง เมื่อน้ำตาลจู่โจมเข้าในเส้นเลือดโดยรวดเร็วเช่นนี้ ตับอ่อนก็ต้องขับฮอร์โมนอินซูลินออกมาในเส้นเลือด อย่างเร่งด่วน เพื่อดึงน้ำตาลให้ต่ำลง
แต่ก็เป็นปกติของคนกินหวานหรือน้ำตาล เมื่อน้ำตาลต่ำก็จะรู้สึกโหยและอ่อนเพลีย ก็มักจะกินหวานๆ หรือน้ำตาลเข้าไปทดแทน ทั้งนี้ เพื่อแก้อาการที่น้ำตาลต่ำน้ำตาลในเลือดก็พุ่งจี๊ดขึ้นอีก ตับอ่อน ก็เร่งดัน อินซูลินออกมา น้ำตาลในเลือดก็ต่ำลง
อีกประเดี๋ยวผู้ติดน้ำตาลนั้นก็ต้องกินหวานเข้าไปอีกน้ำตาลก็ขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ตลอดเวลา นั่นเป็น อันตรายอย่างยิ่ง เหมือนเครื่องยนต์ ซึ่งพอร้อนเอาน้ำราด พอเย็นลงหน่อย เครื่องก็ร้อนอีกแล้ว เครื่องยนต์ร้อนแล้วเย็น เย็นแล้วร้อนอย่างนี้ เครื่องไม่พัง ทนไหวหรือ
2. นายแพทย์ออสโตร และเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง คือ เคอร์ติส วู้ด ยังได้ค้นพบอีกว่า คนที่ชอบ กินหวานตลอดเวลา หรือกินจุบกินจิบ เช่น เคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมทอฟฟี่-ช็อกโกแลตนั้น เมื่อของหวาน ลงสู่กระเพาะ ขั้นแรก น้ำตาลจะเคลือบพนังกระเพาะ ทำให้น้ำย่อย หลั่งออกมาน้อย หรือไม่หลั่งเลย
โดยเหตุนี้ ผู้ที่อมน้ำตาลอยู่เรื่อยจึงไม่หิว และกินอาหารได้น้อย และถ้าหากกินอาหารเข้าไปตามเวลา อาหารนั้น ก็จะเกิดบูดในท้อง แทนที่จะย่อย ไปเป็นประโยชน์ต่อร่างกายต่อไป
เพียงหลักการง่ายๆ จากการที่น้ำตาลไปทำลายกระเพาะ ลำไส้ และระบบย่อยเพียงแค่นี้ ก็จะเห็นว่า โรคอื่นๆ ที่หนักหนาสาหัสจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ อย่างไร
อย่าเพิ่งโกรธผมนะครับ ครั้งก่อนๆ อาจจะบรรยายเร็วไปหน่อย หลายคนอาจจะกล่าวหาว่า ผมพูดเอาๆ ก็เลยจำต้องงัดเอาตำรา และการทดลอง จากแพทย์กลุ่มต่างๆ มาเล่าให้คุณฟัง
ถ้ายังโกรธอยู่ก็ไปโกรธพวกหมอเหล่านั้นเถิดครับ.
ไทยรัฐ ๒ มิ.ย. ๔๕
พูดกันจริงๆ แล้ว การบรรยายหรืออธิบายเรื่องโทษของน้ำตาลหรือของหวานนั้นไม่ค่อยได้ผลหรอกครับ คนไม่ค่อยเชื่อ และบางคนกลับจะโกรธเอาเสียด้วยซํ้า ทั้งนี้ สาเหตุของการไม่เชื่อมีอยู่อย่างเดียว คือคนไทยติดน้ำตาลหรือของหวานกันจนเข้ากระดูกดำเสียแล้ว
การติดหวานหรือติดนํ้าตาลอย่างหนัก โทษของมันมีอยู่มากมาย โดยเฉพาะทางร่างกาย จะมีผลต่อเนื่อง จนกระทั่งทำให้เจ็บหนักได้ ซึ่งเมื่อถึงเวลาเจ็บหนักเข้าจริงๆ หลายคนเลิกหวานได้
แต่ในเรื่องทางใจนี่สิ ยากนักที่จะเปลี่ยนใจได้ เพราะถ้าใจไม่แข็งจริงๆ แล้ว อาการที่จะเกิดขึ้นทางใจ ก็คือ ความหงุดหงิด คนที่ติดหวาน ถ้าไม่ได้กินหวานมักจะหงุดหงิด กระ-วนกระวาย อารมณ์บูด ถึงกับอาละวาดก็ยังมี อาการอื่นๆ ก็ตามมาเป็นกระบวน เช่น นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ปวดหลัง ปวดตัว เป็นได้สารพัดร้อยแปด
ฉะนั้น การที่ผมเขียนเรื่องอย่ากินหวาน อย่าติดหวานซํ้าๆ กันมาหลายตอน คราวนี้ป ระวัติศาสตร์ก็คงจะซํ้ารอย คือถูกด่าเสียมากกว่า
วิธีเลี่ยงผ่อนหนักให้เป็นเบาก็คือ พยายามเอาเรื่องวิชาการเข้ามาพูด และต้องใช้หลักฐาน การทดลองต่างๆ รวมทั้งการปฏิบัติจริงๆ ต่อคนไข้เข้ามาอ้างอิง
ข้ออ้างอิงคราวนี้ ซึ่งผมเห็นว่าเป็นหลักฐานสมบูรณ์ ก็คือการทดลองและการรักษาคนไข้ ของแพทย์ต่างๆ นั้น ตรงกันทั้งทางอเมริกาและยุโรป กลุ่มนายแพทย์ เอช.เอ็ม.เชลตัน. ริชาร์ด ลียอง อาร์ แทนนาฮิลล์. อี.วี. แมคคอลลัม นั้น เป็นกลุ่มจากอเมริกา และ เจ. ยัคคิน และพวก เป็นกลุ่ม จากอังกฤษ
ที่ผมชอบใจมากที่สุด ก็คือ ของนายแพทย์ เจ. ยัคคิน จากอังกฤษนี่เอง เพราะตัวหมอยัคคินนั้น ป่วยเป็นโรคกระเพาะมาถึง 25 ปี แพทย์เพื่อนๆ ให้ความเห็นว่า ควรจะผ่าตัดทั้งสิ้น แต่ยัคคิน ก็ชะลอการผ่าตัดมาเรื่อยๆ ด้วยการปฏิบัติตัวตามสูตร คือ คำสั่งจากแพทย์ด้วยกัน อย่าเครียด อย่าทำงานหนัก อย่ากินอาหารรสจัด โดยเฉพาะอาหาร ที่มีเครื่องเทศ และให้กินอาหารมื้อย่อยบ่อยๆ แทนที่จะกินอาหารหนัก
หมอยัคคินก็ปฏิบัติตามมาเรื่อยๆ เป็นบ้าง หายบ้าง สลับกันตลอดเวลา และยาที่เขากินเป็นประจำ ก็คือ ยาลดกรด กินอยู่ตั้ง 25 ปี แต่โรคของเขาก็ไม่มีวันหายขาด และสิ่งที่ทำให้รู้สึก ผิดหวังมาก ก็คือ กินยา ลดกรดมากๆ ระบบต่างๆ ในร่างกายเขาสับสนไปหมด ระบบย่อย ระบบประสาท การกิน การนอน ผิดปกติ และที่สำคัญที่สุดก็คือ นํ้าหนักตัวเขาเพิ่มพรวดพราด จนคุมไม่อยู่
ยัคคินจึงตัดสินใจทำโปรแกรมรักษาตัวเอง โดยตัดนํ้าตาล ของหวาน และอาหารหวาน ทั้งหมด โดยสิ้นเชิง และชั่วเวลา 2 เดือน เขาก็หายขาด ลองคิดดู เป็นโรคกระเพาะมาถึง 25 ปี รักษาอย่างไร ก็ไม่หาย แต่เลิกหวาน เลิกนํ้าตาล เพียง 2 เดือน โรคกระเพาะหายขาดเลย
ที่สำคัญที่สุด ซึ่งต้องนับว่าเป็นผลงานทางการแพทย์ที่เด่นที่สุด ก็คือ การทดลองของเขาต่อ ทหารอาสาสมัคร และต่อกลุ่มผู้ถูกคุมขัง ในเรือนจำ
จะว่าเป็นโชคของเขาก็ได้ที่เป็นแพทย์ในประเทศอังกฤษ เพราะระบบการแพทย์ ในอังกฤษนั้น รัฐเป็นผู้ คุ้มครองดูแล และการรักษาของประชาชนทั้งหมด เมื่อหมอยัคคินขออนุญาตทางการ เข้าไปทดลอง ในกรมทหาร และในสถานที่คุมขัง ซึ่งอยู่ในความดูแลของรัฐบาล จึงได้รับอนุมัติทันที
การทดลองของนายแพทย์ยัคคิน จึงเป็นมาตรฐานและถือเป็นการปฏิวัติที่ถูกต้องของวงการแพทย์ ทั่วโลกได้หมอยัคคิน แบ่งกลุ่มผู้อาสาสมัคร เข้ารับการทดลอง ออกเป็นสองกลุ่ม
กลุ่มแรกกินอาหารตามสูตรหมอยัคคิน คือไม่มีของหวาน หรือ น้ำตาลปนใส่ อยู่ในอาหารเลย
กลุ่มที่สองกินอาหารหวานและน้ำตาลได้ตามชอบใจ
ทั้งสองกลุ่มนี้ปฏิบัติการทดสอบเหมือนกัน คือ เมื่อตื่นมาแต่เช้า ทุกคนจะต้องกลืนสายยาง แล้วดูดเอาน้ำย่อย ออกมาทดสอบ
หลังจากนั้นให้ทุกคนรับประทานอาหารเช้า หลังจากอาหารเช้าแล้วประมาณ 15 นาที ให้ทุกคน กลืนสายยางอีกครั้ง แล้วเอาน้ำย่อยมาทดสอบอีก
จุดประสงค์ของการทดสอบนี้ เพื่อจะตรวจดูว่า ความเป็นกรดในกระเพาะ และระบบการย่อย ของกลุ่มสองกลุ่มนี้ จะแตกต่างกันอย่างไร
ผลของการทดสอบปรากฏว่า กลุ่มที่กินหวาน น้ำตาล มีกรดในกระเพาะสูงกว่ากลุ่มที่ไม่กินถึง 3 เท่า ส่วนระบบการย่อย ของกลุ่มกินหวานนั้น การย่อยปรวนแปร ท้องอืดท้องเฟ้อได้ง่าย เกิดอาการผิดปกติ ของระบบย่อยได้ง่าย
แต่กลุ่มที่สอง ซึ่งไม่กินหวานเลย ปกติทุกอย่าง ความเป็นกรดปกติ ท้องไส้ การย่อยการถ่ายปกติ
แต่การทดลอง ทางฝ่ายอเมริกา ก็น่าสนใจอย่างยิ่ง ไม่แพ้กัน นายแพทย์เจย์ โคแนลด์ ออสโตร แห่งมหาวิทยาลัย เพนซิลเวเนีย ได้ค้นพบว่า
1. น้ำตาลขาว หรือของหวานนั้น จะไม่ย่อยในปากก่อนเหมือนกลุ่มแป้งหรือคาร์โบไฮเดรต แต่เมื่อเข้าปากแล้ว จะลงสู่กระเพาะ และผ่านกระเพาะเข้าลำไส้เล็ก และเข้าสู่กระแสโลหิต โดยตรงเลย
ลักษณะเช่นนี้หมายความว่า น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสโลหิตทันที เหมือนกับน้ำจากทำนบซึ่งเขื่อนพัง เมื่อน้ำตาลจู่โจมเข้าในเส้นเลือดโดยรวดเร็วเช่นนี้ ตับอ่อนก็ต้องขับฮอร์โมนอินซูลินออกมาในเส้นเลือด อย่างเร่งด่วน เพื่อดึงน้ำตาลให้ต่ำลง
แต่ก็เป็นปกติของคนกินหวานหรือน้ำตาล เมื่อน้ำตาลต่ำก็จะรู้สึกโหยและอ่อนเพลีย ก็มักจะกินหวานๆ หรือน้ำตาลเข้าไปทดแทน ทั้งนี้ เพื่อแก้อาการที่น้ำตาลต่ำน้ำตาลในเลือดก็พุ่งจี๊ดขึ้นอีก ตับอ่อน ก็เร่งดัน อินซูลินออกมา น้ำตาลในเลือดก็ต่ำลง
อีกประเดี๋ยวผู้ติดน้ำตาลนั้นก็ต้องกินหวานเข้าไปอีกน้ำตาลก็ขึ้นๆ ลงๆ อย่างนี้ตลอดเวลา นั่นเป็น อันตรายอย่างยิ่ง เหมือนเครื่องยนต์ ซึ่งพอร้อนเอาน้ำราด พอเย็นลงหน่อย เครื่องก็ร้อนอีกแล้ว เครื่องยนต์ร้อนแล้วเย็น เย็นแล้วร้อนอย่างนี้ เครื่องไม่พัง ทนไหวหรือ
2. นายแพทย์ออสโตร และเพื่อนร่วมงานอีกคนหนึ่ง คือ เคอร์ติส วู้ด ยังได้ค้นพบอีกว่า คนที่ชอบ กินหวานตลอดเวลา หรือกินจุบกินจิบ เช่น เคี้ยวหมากฝรั่ง หรืออมทอฟฟี่-ช็อกโกแลตนั้น เมื่อของหวาน ลงสู่กระเพาะ ขั้นแรก น้ำตาลจะเคลือบพนังกระเพาะ ทำให้น้ำย่อย หลั่งออกมาน้อย หรือไม่หลั่งเลย
โดยเหตุนี้ ผู้ที่อมน้ำตาลอยู่เรื่อยจึงไม่หิว และกินอาหารได้น้อย และถ้าหากกินอาหารเข้าไปตามเวลา อาหารนั้น ก็จะเกิดบูดในท้อง แทนที่จะย่อย ไปเป็นประโยชน์ต่อร่างกายต่อไป
เพียงหลักการง่ายๆ จากการที่น้ำตาลไปทำลายกระเพาะ ลำไส้ และระบบย่อยเพียงแค่นี้ ก็จะเห็นว่า โรคอื่นๆ ที่หนักหนาสาหัสจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ อย่างไร
อย่าเพิ่งโกรธผมนะครับ ครั้งก่อนๆ อาจจะบรรยายเร็วไปหน่อย หลายคนอาจจะกล่าวหาว่า ผมพูดเอาๆ ก็เลยจำต้องงัดเอาตำรา และการทดลอง จากแพทย์กลุ่มต่างๆ มาเล่าให้คุณฟัง
ถ้ายังโกรธอยู่ก็ไปโกรธพวกหมอเหล่านั้นเถิดครับ.
ไทยรัฐ ๒ มิ.ย. ๔๕
หวานเป็นลม-ขมเป็นยา (ต่อ)
เคยถูกถามอยู่บ่อยๆ ว่า ร่างกายต้องการน้ำตาลมิใช่หรือ แล้วทำไมชีวจิตจึงมาต่อต้าน กินน้ำตาล
มีสองคำถามนะครับ ขอตอบคำถามหลังก่อน
ชีวจิตไม่ได้ต่อต้านการกินน้ำตาลครับ เราเป็นแต่เพียงแนะนำว่า ควรจะรู้จักชนิดต่างๆ ของน้ำตาล ให้ดีเสียก่อน แล้วจึงบริโภคน้ำตาลให้ถูกวิธี
คำถามข้อแรกนั้นขอตอบว่า ร่างกายต้องการน้ำตาลนั้นถูกต้องแล้ว แต่น้ำตาลมีหลายชนิด ชนิดที่ร่างกายต้องการ มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือ น้ำตาลกลูโคส
กลูโคสนั้นในร่างกายเรามีอยู่เหลือเฟือ เพราะเวลาที่เรากินอาหารประเภทพวกแป้ง หรือ คาร์โบไฮเดรต เข้าไป ร่างกายก็จะเปลี่ยนแป้งให้เป็นกลูโคสทันที
เมื่อเป็นกลูโคสแล้วก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต และเลือดก็จะนำกลูโคสไปเลี้ยงร่างกาย โดย เฉพาะสมอง ต้องการกลูโคสมาก เพราะกลูโคส เป็นพลังงานสำคัญ ไปเลี้ยงสมอง
และกลูโคสก็เป็นพลังงานขั้นต้นซึ่งร่างกายต้องนำมาใช้เวลาที่เราออกแรงทำงานต่างๆ และ สมองจะคิด จะทำงานได้โดยแจ่มใสสดชื่น ก็เพราะพลังงานจากกลูโคส
นี่คือประโยชน์ของกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลชนิดเดียวที่ร่างกายต้องการ
น้ำตาลอื่นๆ เป็นอาหารส่วนเกิน และถ้ากินมากๆ จนเกิด “อาการติด” น้ำตาลเหล่านั้นก็เป็นโทษ แก่ร่างกาย อย่างมหาศาล
อย่างเช่นน้ำตาลขาวซึ่งกลายเป็นยาเสพติดอย่างหนึ่งของสังคมสมัยใหม่ขณะนี้ เรากินของหวาน และติด ของหวานกินจนเจ็บป่วยมากมาย บางรายเจ็บป่วยหนักหนาจนต้องเสียชีวิต ก็เพราะติด น้ำตาลต่างๆ เหล่านี้
อาหารทุกอย่างต้องหวานหมด ขนม นม เนย เครื่องดื่ม ของกินเล่นต่างๆ ช็อกโกแลต ไอศกรีม ขนมเค้ก น้ำอัดลมต่างๆ ล้วนแต่หวานน้ำตาลทั้งสิ้น
ของหวานของไทยสมัยนี้ก็หวานจนแสบไส้ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง สังขยา และแม้แต่ ของคาวก็หวาน แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน แม้แต่ปลากรอบตัวเล็กๆ ทอดกรอบ แล้วก็ต้องเคลือบน้ำตาล
สถิติชาวอเมริกันกินน้ำตาลคนหนึ่งปีละ 150 ปอนด์ หรือเท่ากับข้าวสาร เกือบหนึ่งกระสอบ
ของไทยเราไม่เคยมีสถิติ แต่เชื่อว่าต้องเกินหน้าฝรั่งแน่นอน อย่างน้อยอาจจะถึงปีละ 2 กระสอบ ก็เป็นได้
น้ำตาลซึ่งเรารู้จักกันดีนอกเหนือไปจากกลูโคสก็คือ ฟรุตโตส (น้ำผึ้ง-น้ำตาลจากผลไม้) มอลโทร (น้ำตาล จากข้าวมอลต์) แล็คโตส (น้ำตาลจากนม) และซูโครส (น้ำตาลขาว ซึ่งกินมาจนติดเหมือน ยาเสพติดขณะนี้)
เฉพาะซูโครสหรือน้ำตาลขาวนั้น กว่าจะกลายเป็นอาหารยอดนิยมและกลายเป็น อุตสาหกรรมใหญ่ ทั่วโลก ขณะนี้ มีความเป็นไประยะยาวนาน และเป็นตัวสำคัญ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางประวัติศาสตร์ ของหลายประเทศด้วย
ว่ากันว่า การทำน้ำตาลเริ่มในอินเดียตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริสต์กาล สูตรการทำน้ำตาล ยังเป็นความลับ จนกระทั่งอินเดีย เริ่มส่งน้ำตาลไปขาย ในอาหรับ และเปอร์เซีย ในชื่อของ SUKKAR (น่าสนใจ ตรงที่เป็น ภาษาสันสกฤตว่า “สุขา” ที่แปลว่าความสุขหรือเปล่า) แต่ต่อมา ไปที่กรีกในชื่อ SAKHARON อิตาลีในชื่อ ZUCCHERO และฝรั่งเศสในชื่อ SUCRE (ที่น่าสนใจก็คือ น้ำตาล เป็นตัวสำคัญ ตัวหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการปฏิวัติจนมารีอังตัวเนตต์ พระสวามีพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และลูกๆ ถูกประหารชีวิตโดย กิโยตีน)
และปี 1764 อังกฤษขึ้นภาษีน้ำตาลสูงพรวดพราด โดยเฉพาะน้ำตาลที่ส่งไปขายอเมริกา และนี่ก็เป็น ชนวนสำคัญ อันหนึ่ง ที่ทำให้อเมริกาต่อสู้กับอังกฤษ และหลุดจากการกดขี่ และการเป็นเมืองขึ้น ของอังกฤษ
และน้ำตาลนอกจากจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกได้แล้ว ยังเปลี่ยนชีวิตของคน ปัจจุบัน ให้เจ็บป่วยเป็นโรคร้ายๆ หลายอย่าง เนื่องมาจากน้ำตาลได้อีกด้วย
เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วมา (1979-1981) ได้มีการอภิปราย-สัมมนาและค้นคว้า เรื่องน้ำตาล กันมากมาย เรียกได้ว่าได้มีการปฏิวัติ ในเรื่องอาหาร ที่มีน้ำตาล เกี่ยวข้องอยู่ด้วย โดยเป็นตัวสำคัญ ที่ทำให้เกิดโรค
กลุ่มนายแพทย์ ที.เอส. คานอฟสกี้ จากเพนซิลวาเนีย โรเบิร์ต วัตทิงตัน จากเซนต์หลุยส์ จี.อี.อิงกลิต และ เอส.ไอฟอลเกฮาก จากนิวยอร์ก ได้สรุปโทษของน้ำตาล ที่ทำให้เกิด โรคต่างๆ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง โรคอ้วน และโรคอื่นๆ อีกมากมาย
ได้มีการยกคำกล่าวของปู่ ย่า ตา ยายของฝรั่งที่กล่าวว่า “อย่ากินขนม ก่อนกินอาหารเย็น เพราะจะทำให้ กินอาหารไม่ลง” (SPOIL YOUR SUPPER) โดยอธิบายว่า คนโบราณ รู้โทษของ การกินน้ำตาล มานานแล้ว
นายแพทย์ เอช เคอร์ติส วู้ด จากนิวยอร์ก อธิบายว่า เมื่อกินของหวานเข้าไป ก่อนอาหารธรรมดา น้ำตาล จะเข้าไปเคลือบ ผนังกระเพาะอาหาร ทำให้น้ำย่อย ไม่สามารถ หลั่งออกมา หรือ หลั่งออกมาน้อย
นายแพทย์วู้ดยังกล่าวต่อไปอีกว่า ของหวานจะทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เกิดอาการ เป็นกรด มากเกินไป ทำให้เกิดการบูด (FERMENT) ทำให้เป็นโรคกระเพาะ และทำให้อาหารไม่ย่อย อาหารเกิดเป็นพิษ
อาหารฝรั่งง่ายๆอย่างเช่น แซนด์วิชสัก 2 คู่ ตามด้วยกาแฟใส่น้ำตาลเพียง 1 ก้อน สามารถจะทำให้ อาหารในกระเพาะ เกิดบูด หรือ แฮมเบอร์เกอร์หนึ่งก้อน ตามด้วยน้ำอัดลม หนึ่งขวด จะทำให้ กระเพาะหยุดนิ่ง ไม่ทำงานเลย
แม้แต่อาหารตอนเช้าที่มีกลุ่มซีรีล (แป้งข้าวโพด แป้งข้าวสาลีกรอบ ทำเป็น เกล็ดเล็กๆ) ใส่นม และ น้ำตาล ก็จะทำให้อาหารนั้น กลายเป็นกรด และเกิดการบูดขึ้น อย่างแน่นอน นายแพทย์วู้ดกล่าว
หันมาดูอีกซีกโลกหนึ่งคือ ทางยุโรป ปรากฏว่าในสมัยเดียวกัน เมื่อ 20 กว่าปีมานี้ ก็มีการศึกษา ถึงผลร้าย ของน้ำตาลเช่นกัน
นายแพทย์จอห์น ยัคคิน ซึ่งเป็นอาจารย์ทางด้านชีวเคมี (BIOCHEMISTRY) และวิทยาศาสตร์ ทางอาหาร แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน กล่าวว่า เขาได้รับการวินิจฉัย จากเพื่อน ซึ่งเป็นแพทย์ ด้วยกันว่า ป่วยเป็นโรค แผลในกระเพาะ มานานถึง 25 ปี
คำแนะนำจากแพทย์ซึ่งเป็นเพื่อนเหล่านั้นมีอยู่ว่า คงจะต้องผ่าตัด เอาส่วนของกระเพาะ ที่เป็นแผลออก แต่ในระหว่างนั้น ให้ดูแลตัวเอง โดยการทำตัว อย่าให้เครียด อย่าทำงานหนัก จนเกินไป กินอาหารแต่ละมื้อ ให้กินน้อยๆ แต่ให้กินบ่อยครั้ง มากกว่า 3 มื้อ
นายแพทย์ยัคคินก็ปฏิบัติตัวตามนั้นมาเรื่อยๆ และเขากล่าวว่า ยาที่เขาต้องกินมา ประจำถึง 25 ปี ก็คือยาลดกรด ซึ่งเขาก็กินมาเรื่อยๆ และก็รักษาตัวมาได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด
แต่ในขั้นสุดท้ายก็ปรากฏว่า ยาลดกรดเหล่านี้ ทำให้เขาอ้วน น้ำหนักขึ้น อย่างรวดเร็ว นายแพทย์ยัคคิน จึงคิดว่า เขาน่าจะรักษาตัวของเขาเอง โดยจัดโปรแกรม การรักษาขึ้นใหม่ ในโปรแกรมใหม่นี้ ที่สำคัญที่สุด ก็คือ เขาจะต้องงด กินของหวาน และน้ำตาล โดยเด็ดขาด เขาลองโปรแกรมใหม่ของเขา เพียงสองเดือน ปรากฏว่าโรคกระเพาะของเขา หายขาดไปเลย
+ต่อจากนั้น นายแพทย์ยัคคินก็เริ่มการรักษาโรคกระเพาะให้แก่คนไข้ ด้วยโปรแกรม ของเขา ที่ได้รับผลสำเร็จ มาแล้ว เขารับคนไข้ไว้ทั้งหมด 41 คน และให้งดกินของหวาน และ น้ำตาล หมดทุกคน ปรากฏว่า การรักษาได้ผลดี คนไข้หายเป็นปกติ
ต่อจากนั้น นายแพทย์ยัคคิน ก็เริ่มรณรงค์ขอคนไข้อาสาสมัคร เขาได้รับอนุญาต ให้ใช้โปรแกรม อาหาร ให้แก่กรมทหาร แห่งหนึ่ง และ ได้รับอนุญาต ให้ทดลองกับนักโทษ ในที่คุมขัง อีกแห่งหนึ่งด้วย
วิธีทดลองของเขาคือ แบ่งผู้ทดลองออกเป็นสองกลุ่ม ทั้งสองกลุ่มนี้ ในตอนเช้า จะต้องกลืน สายยางลงท้อง และถูกเอาน้ำย่อย ออกมาตรวจ หลังจากนั้น กลุ่มหนึ่ง จะให้อาหารตามปกติ โดยไม่มีของหวาน และน้ำตาลเลย อีกกลุ่มหนึ่งนั้น ให้กินของหวาน และ น้ำตาลได้ ตามใจชอบ
หลังจากกินอาหาร 15 นาที จะดูดเอาน้ำย่อยออกมาดูอีกครั้งหนึ่ง
ที่ทำอย่างนี้ เพื่อที่จะตรวจดูความเป็นกรดและดูระบบย่อยว่า มีอะไรผิดปกติไปบ้าง
ผลปรากฏว่า กลุ่มที่กินอาหารปกติ ไม่มีหวานและน้ำตาล ความเป็นกรดถูกต้อง และระบบการย่อย ดีหมดทุกอย่าง
แต่กลุ่มที่กินหวานและน้ำตาล ความเป็นกรดในกระเพาะเพิ่มขึ้น และเกิดอาการหมักหมม (บูด-FERMENT) ในกระเพาะบางคน เกิดอาหารเป็นพิษขึ้นด้วย
ตกลงเรื่องโทษของน้ำตาลตรงกัน ทั้งอเมริกา และยุโรป นะครับ.
ไทยรัฐ ๒๖ พ.ค. ๔๕ ชีวจิต
มีสองคำถามนะครับ ขอตอบคำถามหลังก่อน
ชีวจิตไม่ได้ต่อต้านการกินน้ำตาลครับ เราเป็นแต่เพียงแนะนำว่า ควรจะรู้จักชนิดต่างๆ ของน้ำตาล ให้ดีเสียก่อน แล้วจึงบริโภคน้ำตาลให้ถูกวิธี
คำถามข้อแรกนั้นขอตอบว่า ร่างกายต้องการน้ำตาลนั้นถูกต้องแล้ว แต่น้ำตาลมีหลายชนิด ชนิดที่ร่างกายต้องการ มีอยู่อย่างเดียวเท่านั้น คือ น้ำตาลกลูโคส
กลูโคสนั้นในร่างกายเรามีอยู่เหลือเฟือ เพราะเวลาที่เรากินอาหารประเภทพวกแป้ง หรือ คาร์โบไฮเดรต เข้าไป ร่างกายก็จะเปลี่ยนแป้งให้เป็นกลูโคสทันที
เมื่อเป็นกลูโคสแล้วก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสโลหิต และเลือดก็จะนำกลูโคสไปเลี้ยงร่างกาย โดย เฉพาะสมอง ต้องการกลูโคสมาก เพราะกลูโคส เป็นพลังงานสำคัญ ไปเลี้ยงสมอง
และกลูโคสก็เป็นพลังงานขั้นต้นซึ่งร่างกายต้องนำมาใช้เวลาที่เราออกแรงทำงานต่างๆ และ สมองจะคิด จะทำงานได้โดยแจ่มใสสดชื่น ก็เพราะพลังงานจากกลูโคส
นี่คือประโยชน์ของกลูโคส ซึ่งเป็นน้ำตาลชนิดเดียวที่ร่างกายต้องการ
น้ำตาลอื่นๆ เป็นอาหารส่วนเกิน และถ้ากินมากๆ จนเกิด “อาการติด” น้ำตาลเหล่านั้นก็เป็นโทษ แก่ร่างกาย อย่างมหาศาล
อย่างเช่นน้ำตาลขาวซึ่งกลายเป็นยาเสพติดอย่างหนึ่งของสังคมสมัยใหม่ขณะนี้ เรากินของหวาน และติด ของหวานกินจนเจ็บป่วยมากมาย บางรายเจ็บป่วยหนักหนาจนต้องเสียชีวิต ก็เพราะติด น้ำตาลต่างๆ เหล่านี้
อาหารทุกอย่างต้องหวานหมด ขนม นม เนย เครื่องดื่ม ของกินเล่นต่างๆ ช็อกโกแลต ไอศกรีม ขนมเค้ก น้ำอัดลมต่างๆ ล้วนแต่หวานน้ำตาลทั้งสิ้น
ของหวานของไทยสมัยนี้ก็หวานจนแสบไส้ ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมหม้อแกง สังขยา และแม้แต่ ของคาวก็หวาน แกงเผ็ด แกงเขียวหวาน แม้แต่ปลากรอบตัวเล็กๆ ทอดกรอบ แล้วก็ต้องเคลือบน้ำตาล
สถิติชาวอเมริกันกินน้ำตาลคนหนึ่งปีละ 150 ปอนด์ หรือเท่ากับข้าวสาร เกือบหนึ่งกระสอบ
ของไทยเราไม่เคยมีสถิติ แต่เชื่อว่าต้องเกินหน้าฝรั่งแน่นอน อย่างน้อยอาจจะถึงปีละ 2 กระสอบ ก็เป็นได้
น้ำตาลซึ่งเรารู้จักกันดีนอกเหนือไปจากกลูโคสก็คือ ฟรุตโตส (น้ำผึ้ง-น้ำตาลจากผลไม้) มอลโทร (น้ำตาล จากข้าวมอลต์) แล็คโตส (น้ำตาลจากนม) และซูโครส (น้ำตาลขาว ซึ่งกินมาจนติดเหมือน ยาเสพติดขณะนี้)
เฉพาะซูโครสหรือน้ำตาลขาวนั้น กว่าจะกลายเป็นอาหารยอดนิยมและกลายเป็น อุตสาหกรรมใหญ่ ทั่วโลก ขณะนี้ มีความเป็นไประยะยาวนาน และเป็นตัวสำคัญ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางประวัติศาสตร์ ของหลายประเทศด้วย
ว่ากันว่า การทำน้ำตาลเริ่มในอินเดียตั้งแต่ 3,000 ปีก่อนคริสต์กาล สูตรการทำน้ำตาล ยังเป็นความลับ จนกระทั่งอินเดีย เริ่มส่งน้ำตาลไปขาย ในอาหรับ และเปอร์เซีย ในชื่อของ SUKKAR (น่าสนใจ ตรงที่เป็น ภาษาสันสกฤตว่า “สุขา” ที่แปลว่าความสุขหรือเปล่า) แต่ต่อมา ไปที่กรีกในชื่อ SAKHARON อิตาลีในชื่อ ZUCCHERO และฝรั่งเศสในชื่อ SUCRE (ที่น่าสนใจก็คือ น้ำตาล เป็นตัวสำคัญ ตัวหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการปฏิวัติจนมารีอังตัวเนตต์ พระสวามีพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และลูกๆ ถูกประหารชีวิตโดย กิโยตีน)
และปี 1764 อังกฤษขึ้นภาษีน้ำตาลสูงพรวดพราด โดยเฉพาะน้ำตาลที่ส่งไปขายอเมริกา และนี่ก็เป็น ชนวนสำคัญ อันหนึ่ง ที่ทำให้อเมริกาต่อสู้กับอังกฤษ และหลุดจากการกดขี่ และการเป็นเมืองขึ้น ของอังกฤษ
และน้ำตาลนอกจากจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของโลกได้แล้ว ยังเปลี่ยนชีวิตของคน ปัจจุบัน ให้เจ็บป่วยเป็นโรคร้ายๆ หลายอย่าง เนื่องมาจากน้ำตาลได้อีกด้วย
เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้วมา (1979-1981) ได้มีการอภิปราย-สัมมนาและค้นคว้า เรื่องน้ำตาล กันมากมาย เรียกได้ว่าได้มีการปฏิวัติ ในเรื่องอาหาร ที่มีน้ำตาล เกี่ยวข้องอยู่ด้วย โดยเป็นตัวสำคัญ ที่ทำให้เกิดโรค
กลุ่มนายแพทย์ ที.เอส. คานอฟสกี้ จากเพนซิลวาเนีย โรเบิร์ต วัตทิงตัน จากเซนต์หลุยส์ จี.อี.อิงกลิต และ เอส.ไอฟอลเกฮาก จากนิวยอร์ก ได้สรุปโทษของน้ำตาล ที่ทำให้เกิด โรคต่างๆ เช่น เบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง โรคอ้วน และโรคอื่นๆ อีกมากมาย
ได้มีการยกคำกล่าวของปู่ ย่า ตา ยายของฝรั่งที่กล่าวว่า “อย่ากินขนม ก่อนกินอาหารเย็น เพราะจะทำให้ กินอาหารไม่ลง” (SPOIL YOUR SUPPER) โดยอธิบายว่า คนโบราณ รู้โทษของ การกินน้ำตาล มานานแล้ว
นายแพทย์ เอช เคอร์ติส วู้ด จากนิวยอร์ก อธิบายว่า เมื่อกินของหวานเข้าไป ก่อนอาหารธรรมดา น้ำตาล จะเข้าไปเคลือบ ผนังกระเพาะอาหาร ทำให้น้ำย่อย ไม่สามารถ หลั่งออกมา หรือ หลั่งออกมาน้อย
นายแพทย์วู้ดยังกล่าวต่อไปอีกว่า ของหวานจะทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก เกิดอาการ เป็นกรด มากเกินไป ทำให้เกิดการบูด (FERMENT) ทำให้เป็นโรคกระเพาะ และทำให้อาหารไม่ย่อย อาหารเกิดเป็นพิษ
อาหารฝรั่งง่ายๆอย่างเช่น แซนด์วิชสัก 2 คู่ ตามด้วยกาแฟใส่น้ำตาลเพียง 1 ก้อน สามารถจะทำให้ อาหารในกระเพาะ เกิดบูด หรือ แฮมเบอร์เกอร์หนึ่งก้อน ตามด้วยน้ำอัดลม หนึ่งขวด จะทำให้ กระเพาะหยุดนิ่ง ไม่ทำงานเลย
แม้แต่อาหารตอนเช้าที่มีกลุ่มซีรีล (แป้งข้าวโพด แป้งข้าวสาลีกรอบ ทำเป็น เกล็ดเล็กๆ) ใส่นม และ น้ำตาล ก็จะทำให้อาหารนั้น กลายเป็นกรด และเกิดการบูดขึ้น อย่างแน่นอน นายแพทย์วู้ดกล่าว
หันมาดูอีกซีกโลกหนึ่งคือ ทางยุโรป ปรากฏว่าในสมัยเดียวกัน เมื่อ 20 กว่าปีมานี้ ก็มีการศึกษา ถึงผลร้าย ของน้ำตาลเช่นกัน
นายแพทย์จอห์น ยัคคิน ซึ่งเป็นอาจารย์ทางด้านชีวเคมี (BIOCHEMISTRY) และวิทยาศาสตร์ ทางอาหาร แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน กล่าวว่า เขาได้รับการวินิจฉัย จากเพื่อน ซึ่งเป็นแพทย์ ด้วยกันว่า ป่วยเป็นโรค แผลในกระเพาะ มานานถึง 25 ปี
คำแนะนำจากแพทย์ซึ่งเป็นเพื่อนเหล่านั้นมีอยู่ว่า คงจะต้องผ่าตัด เอาส่วนของกระเพาะ ที่เป็นแผลออก แต่ในระหว่างนั้น ให้ดูแลตัวเอง โดยการทำตัว อย่าให้เครียด อย่าทำงานหนัก จนเกินไป กินอาหารแต่ละมื้อ ให้กินน้อยๆ แต่ให้กินบ่อยครั้ง มากกว่า 3 มื้อ
นายแพทย์ยัคคินก็ปฏิบัติตัวตามนั้นมาเรื่อยๆ และเขากล่าวว่า ยาที่เขาต้องกินมา ประจำถึง 25 ปี ก็คือยาลดกรด ซึ่งเขาก็กินมาเรื่อยๆ และก็รักษาตัวมาได้ โดยไม่ต้องผ่าตัด
แต่ในขั้นสุดท้ายก็ปรากฏว่า ยาลดกรดเหล่านี้ ทำให้เขาอ้วน น้ำหนักขึ้น อย่างรวดเร็ว นายแพทย์ยัคคิน จึงคิดว่า เขาน่าจะรักษาตัวของเขาเอง โดยจัดโปรแกรม การรักษาขึ้นใหม่ ในโปรแกรมใหม่นี้ ที่สำคัญที่สุด ก็คือ เขาจะต้องงด กินของหวาน และน้ำตาล โดยเด็ดขาด เขาลองโปรแกรมใหม่ของเขา เพียงสองเดือน ปรากฏว่าโรคกระเพาะของเขา หายขาดไปเลย
+ต่อจากนั้น นายแพทย์ยัคคินก็เริ่มการรักษาโรคกระเพาะให้แก่คนไข้ ด้วยโปรแกรม ของเขา ที่ได้รับผลสำเร็จ มาแล้ว เขารับคนไข้ไว้ทั้งหมด 41 คน และให้งดกินของหวาน และ น้ำตาล หมดทุกคน ปรากฏว่า การรักษาได้ผลดี คนไข้หายเป็นปกติ
ต่อจากนั้น นายแพทย์ยัคคิน ก็เริ่มรณรงค์ขอคนไข้อาสาสมัคร เขาได้รับอนุญาต ให้ใช้โปรแกรม อาหาร ให้แก่กรมทหาร แห่งหนึ่ง และ ได้รับอนุญาต ให้ทดลองกับนักโทษ ในที่คุมขัง อีกแห่งหนึ่งด้วย
วิธีทดลองของเขาคือ แบ่งผู้ทดลองออกเป็นสองกลุ่ม ทั้งสองกลุ่มนี้ ในตอนเช้า จะต้องกลืน สายยางลงท้อง และถูกเอาน้ำย่อย ออกมาตรวจ หลังจากนั้น กลุ่มหนึ่ง จะให้อาหารตามปกติ โดยไม่มีของหวาน และน้ำตาลเลย อีกกลุ่มหนึ่งนั้น ให้กินของหวาน และ น้ำตาลได้ ตามใจชอบ
หลังจากกินอาหาร 15 นาที จะดูดเอาน้ำย่อยออกมาดูอีกครั้งหนึ่ง
ที่ทำอย่างนี้ เพื่อที่จะตรวจดูความเป็นกรดและดูระบบย่อยว่า มีอะไรผิดปกติไปบ้าง
ผลปรากฏว่า กลุ่มที่กินอาหารปกติ ไม่มีหวานและน้ำตาล ความเป็นกรดถูกต้อง และระบบการย่อย ดีหมดทุกอย่าง
แต่กลุ่มที่กินหวานและน้ำตาล ความเป็นกรดในกระเพาะเพิ่มขึ้น และเกิดอาการหมักหมม (บูด-FERMENT) ในกระเพาะบางคน เกิดอาหารเป็นพิษขึ้นด้วย
ตกลงเรื่องโทษของน้ำตาลตรงกัน ทั้งอเมริกา และยุโรป นะครับ.
ไทยรัฐ ๒๖ พ.ค. ๔๕ ชีวจิต
หวานเป็นลมขมเป็นยาอีกครั้ง
ผมตกข่าวสำคัญครับ ความจริงเป็นข่าวเล็กๆ แต่ในด้านของ “ชีวจิต” ซึ่งทำหน้าที่ ให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพและ เรื่องอาหารมานานถึง 18 ปีปีนี้แล้วนั้น ข่าวนี้ต้องถือว่า เป็นข่าวใหญ่
ขอเรียนออกตัวอีกครั้งหนึ่งว่า เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องค้าขายหรือสินค้าใดๆ ทั้งสิ้น เราทำตัว เป็นกลาง และมุ่งอยู่ อย่างเดียวเท่านั้น คือให้ความรู้แก่คนไทย เพื่อประโยชน์ ของคนไทย และผู้บริโภค ที่สนใจเรื่องสุขภาพที่ดี ของตนเองเท่านั้น
ที่ว่าผมตกข่าวอย่างน่าขายหน้านั้นก็คือ ข่าวนี้เกิดขึ้นมาสองเดือนแล้ว ขออนุญาตคัดลอก ข่าวของ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 มีนาคม 2545 ดังนี้
“ฮ่องกง-สิงคโปร์ ใช้มาตรการเข้ม ห้าม 'กูลิโกะและบะหมี่นิชชิน' วางจำหน่าย หลังพบมีส่วนผสมของสารให้ ความหวานต้องห้าม และมีผลต่อ การก่อมะเร็ง ขณะที่ผู้ผลิต กูลิโกะ-นิชชิน ในไทยออกโรง ยันสินค้าที่ขายในประเทศ ใช้น้ำตาล แทนความหวานเท่านั้น เพราะ อย. ไม่อนุญาต”
“กระทรวงสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมและอาหารของฮ่องกง เปิดเผยเมื่อวานนี้ (20 มี.ค.) ว่า ได้สั่งห้าม ร้านค้า วางจำหน่าย บะหมี่ และข้าวเกรียบกุ้ง 4 ชนิดของญี่ปุ่น คือ บะหมี่สำเร็จรูป ยี่ห้อนิชชิน ยูเอฟโอ อูโอโมริ ยากิโซบะ และนิชชิน ทัตสึจิน ทงคัตสึ ราเม็ง ข้าวเกรียบกุ้งยี่ห้อคิกุ และขนม ยี่ห้อกูลิโกะ เนื่องจากเกรงว่า อาจเจือปนสาร ให้ความหวาน ซึ่งไม่ผ่านการรับรอง และผลวิจัยพบว่า สารดังกล่าว เกี่ยวพันกับ โรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ”
“ขณะที่สิงคโปร์สั่งห้ามจำหน่ายไปแล้ว หลังจากผลการทดสอบพบสาร 'สเตวิโอไซด์' ซึ่งเป็นสารให้ความหวาน ทดแทนน้ำตาล และไม่ได้รับอนุมัติ ให้บริโภคในฮ่องกง และ สิงคโปร์”
“นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังสั่งห้ามจำหน่ายขนมขบเคี้ยวยอดนิยมยี่ห้อกูลิโกะ ป็อกกี้ ทั้งรสสตรอเบอรี่ และรสช็อกโกแลตด้วย ถึงแม้ว่าได้ พบสารให้ความหวาน เฉพาะในกูลิโกะ มิลค์ไรสท์ เพร็ทซ์ก็ตาม”
“สิงคโปร์ยังเรียกเก็บสินค้าอีก 2 ตัวคือกูลิเคยา ทากอส สไปซี บีฟ และการ์ลิค ชิพไรซ์ แคร็กเกอร์ อย่างไรก็ตาม สินค้าทั้งสองตัว ไม่มีวางจำหน่ายในฮ่องกง”
ถึงตอนนี้ขอออกความเห็นสองประการ ประการแรก คือ การทำงานของฝ่ายสาธารณสุข ฮ่องกง และสิงคโปร์ ประการที่สอง เรื่องของความหวาน จากหญ้าหวานสตีเวีย (STEVIA) และ ประการที่สาม ความหวาน มีความสำคัญต่อร่างกายหรือไม่
ข้อแรกนั้นผมชอบใจในการทำงานของฝ่ายสาธารณสุขของฮ่องกง และ สิงคโปร์ ถ้าหากเรา จะมองเรื่อง การค้าขาย หรือเศรษฐกิจ หรือพูดอย่างชาวบ้านก็คือ วิธีหากินของพ่อค้า สมัยนี้นั้น จะเห็นว่า เกี่ยวข้องอยู่กับ คนสองกลุ่ม คือกลุ่มคนขาย และ กลุ่มคนซื้อ
คนขายนั้นได้เปรียบคนซื้อวันยังค่ำ ถ้าได้คนขายซึ่งมีคุณธรรม ขายอย่างตรงไปตรงมา คิดถึงสุขภาพ ของสินค้า ที่ตนขายว่า ไว้ใจได้ เชื่อถือได้ และขายโดยคิดกำไร พอสมควร พออยู่ได้ อย่างนี้ก็ เป็นบุญ ของคนซื้อ ที่มีผู้ขาย ซึ่งมีคุณธรรม สังคมของคนขาย คนซื้ออย่างนี้ คงจะเป็นสังคมที่มีความสุข
แต่ส่วนมากคนขายมักจะเอาเปรียบคนซื้อ ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ และ เรื่องอาหารแล้ว นอกจาก จะเอาเปรียบ คนซื้อ ยังแถมด้วยการ โฆษณาเกินเหตุ จนเข้าขั้นหลอกลวงได้ อย่างแจ้งชัด
ในเรื่องของสุขภาพเกี่ยวกับยาและอาหาร จึงได้มีกองอาหารและยา หรือ FOOD AND DRUG ADMINISTRATION (FDA) ไว้คอยดูแล
และก็แน่นอน การดูแลนั้นดูแลประโยชน์ ของผู้ซื้อและผู้บริโภค นอกจากเรื่องอาหาร และยา ซึ่งเป็น เรื่องของ กระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยังมีเรื่องของผู้บริโภคอื่นๆ ด้วย หมายความเรามีกฎหมาย ซึ่ง คุ้มครอง ผู้ซื้อทุกประเภท
นั่นก็เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ผู้ซื้อมักจะเสียเปรียบ ถูกหลอก ถูกโกงอยู่ตลอดเวลา จึงมีกฎหมาย คุ้มครองผู้ซื้อ และมีกฎหมายบังคับ ให้ผู้ขาย ขายของด้วยความซื่อตรง ไม่เอารัด เอาเปรียบผู้ซื้อ
ผมจึงชอบใจการทำงานของฝ่ายสาธารณสุขของฮ่องกงและสิงคโปร์ ซึ่งเมื่อมีสินค้า ซึ่งออกมาใหม่ เพียงสงสัยว่า “อาจเจือปนสาร ให้ความหวานซึ่ง ไม่ผ่านการรับรอง และผลวิจัยพบว่า สารดังกล่าว เกี่ยวพันกับ โรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ” ก็สั่งห้ามขายสินค้าเหล่านั้นทันที และแถมยังสั่งให้เก็บสินค้า ออกจากตลาดให้หมดด้วย เห็นไหมละครับ ความเด็ดขาด ของราชการนั้น ขอให้เด็ดขาด และตรงไปตรงมาเถิด ไม่ต้องเกรงกลัว หน้าอินทร์ หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น
และถ้าเป็นอย่างนี้ บริษัทร้านค้าต่างๆ ก็จะต้องระมัดระวังตัวไม่ผลิตสินค้าชุ่ยๆ ออกมาขาย ต่อไป
อันที่จริงการสั่งห้ามที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ นั้น มีพื้นฐานมาจากการค้นคว้าในต่างประเทศ ที่ได้ค้นพบว่า สารให้ความหวาน จากหญ้า STEVIA นี้เกี่ยวพันกับโรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ
เกี่ยวพันกับโรคมะเร็งก็คือ สารก่อมะเร็ง (CARCINOGEN) ซึ่งการทดลองนั้น ก็เพียงแต่จะทำได้ กับสัตว์ทดลอง เช่น หนูและกระต่ายเท่านั้น ผลของการทดลองกับหนู เมื่อให้กินสาร ให้ความหวานเหล่านี้ เป็นเวลานาน หนูก็เกิดเป็นมะเร็งขึ้นมา
นั่นเป็นแต่เพียงการทดลองกับหนู เรื่องทดลองกับคนนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะจะไม่มี มนุษย์คนใด มายอมตัวทดลอง กับสารก่อมะเร็งเช่นนี้
เพราะฉะนั้น ฝ่ายพ่อค้าก็มักจะอ้างว่านั่นเป็นการทดลองกับหนูเท่านั้น ยังไม่มีการ ทดลองกับคน และก็พิสูจน์ไม่ได้ว่า ถ้าคนกินเข้าไปแล้วนานๆ จะเกิดเป็นมะเร็ง
ถึงพิสูจน์ไม่ได้ แต่ทางการสาธารณสุขของฮ่องกงและสิงคโปร์ก็ออกประกาศ ห้ามขาย และยึดสินค้า ในตลาดเอาไปทำลาย หมดสิ้น
เพียงแต่ตัดสินว่า อาจจะเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคก็สั่งห้ามได้โดยเด็ดขาด ไม่ต้องรอทดสอบ หรือการวิจัยอย่างไร ต่อไปอีกแล้ว
นี่คือการคุ้มครองผู้บริโภคหรือประชาชนโดยแท้จริง
ไม่ต้องการกระทบใครเลยนะครับ พูดได้ อย่างเดียวว่า อยากเห็นเมืองไทยเป็นอย่างนี้บ้าง เหลือเกิน
พระเดชพระคุณได้โปรดเถอะครับ เดี๋ยวนี้อาหารเป็นพิษมากมายเหลือเกิน จนจะไม่กล้ากิน อะไรอยู่แล้ว
ยาเถื่อน และโฆษณาเถื่อนๆ โฆษณาขายยาวิเศษก็เกลื่อนเต็มเมือง ช่วยลูกช้างด้วยเถิด ขอรับ
เป็นบุญของคนซื้อที่มีผู้ขายซึ่งมีคุณธรรม สังคมของคนขาย คนซื้ออย่างนี้ คงจะเป็นสังคม ที่มีความสุข.
ไทยรัฐ ๑๙ พ.ค. ๔๕ ชีวจิต
ขอเรียนออกตัวอีกครั้งหนึ่งว่า เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องค้าขายหรือสินค้าใดๆ ทั้งสิ้น เราทำตัว เป็นกลาง และมุ่งอยู่ อย่างเดียวเท่านั้น คือให้ความรู้แก่คนไทย เพื่อประโยชน์ ของคนไทย และผู้บริโภค ที่สนใจเรื่องสุขภาพที่ดี ของตนเองเท่านั้น
ที่ว่าผมตกข่าวอย่างน่าขายหน้านั้นก็คือ ข่าวนี้เกิดขึ้นมาสองเดือนแล้ว ขออนุญาตคัดลอก ข่าวของ กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 21 มีนาคม 2545 ดังนี้
“ฮ่องกง-สิงคโปร์ ใช้มาตรการเข้ม ห้าม 'กูลิโกะและบะหมี่นิชชิน' วางจำหน่าย หลังพบมีส่วนผสมของสารให้ ความหวานต้องห้าม และมีผลต่อ การก่อมะเร็ง ขณะที่ผู้ผลิต กูลิโกะ-นิชชิน ในไทยออกโรง ยันสินค้าที่ขายในประเทศ ใช้น้ำตาล แทนความหวานเท่านั้น เพราะ อย. ไม่อนุญาต”
“กระทรวงสุขอนามัยสิ่งแวดล้อมและอาหารของฮ่องกง เปิดเผยเมื่อวานนี้ (20 มี.ค.) ว่า ได้สั่งห้าม ร้านค้า วางจำหน่าย บะหมี่ และข้าวเกรียบกุ้ง 4 ชนิดของญี่ปุ่น คือ บะหมี่สำเร็จรูป ยี่ห้อนิชชิน ยูเอฟโอ อูโอโมริ ยากิโซบะ และนิชชิน ทัตสึจิน ทงคัตสึ ราเม็ง ข้าวเกรียบกุ้งยี่ห้อคิกุ และขนม ยี่ห้อกูลิโกะ เนื่องจากเกรงว่า อาจเจือปนสาร ให้ความหวาน ซึ่งไม่ผ่านการรับรอง และผลวิจัยพบว่า สารดังกล่าว เกี่ยวพันกับ โรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ”
“ขณะที่สิงคโปร์สั่งห้ามจำหน่ายไปแล้ว หลังจากผลการทดสอบพบสาร 'สเตวิโอไซด์' ซึ่งเป็นสารให้ความหวาน ทดแทนน้ำตาล และไม่ได้รับอนุมัติ ให้บริโภคในฮ่องกง และ สิงคโปร์”
“นอกจากนี้ สิงคโปร์ยังสั่งห้ามจำหน่ายขนมขบเคี้ยวยอดนิยมยี่ห้อกูลิโกะ ป็อกกี้ ทั้งรสสตรอเบอรี่ และรสช็อกโกแลตด้วย ถึงแม้ว่าได้ พบสารให้ความหวาน เฉพาะในกูลิโกะ มิลค์ไรสท์ เพร็ทซ์ก็ตาม”
“สิงคโปร์ยังเรียกเก็บสินค้าอีก 2 ตัวคือกูลิเคยา ทากอส สไปซี บีฟ และการ์ลิค ชิพไรซ์ แคร็กเกอร์ อย่างไรก็ตาม สินค้าทั้งสองตัว ไม่มีวางจำหน่ายในฮ่องกง”
ถึงตอนนี้ขอออกความเห็นสองประการ ประการแรก คือ การทำงานของฝ่ายสาธารณสุข ฮ่องกง และสิงคโปร์ ประการที่สอง เรื่องของความหวาน จากหญ้าหวานสตีเวีย (STEVIA) และ ประการที่สาม ความหวาน มีความสำคัญต่อร่างกายหรือไม่
ข้อแรกนั้นผมชอบใจในการทำงานของฝ่ายสาธารณสุขของฮ่องกง และ สิงคโปร์ ถ้าหากเรา จะมองเรื่อง การค้าขาย หรือเศรษฐกิจ หรือพูดอย่างชาวบ้านก็คือ วิธีหากินของพ่อค้า สมัยนี้นั้น จะเห็นว่า เกี่ยวข้องอยู่กับ คนสองกลุ่ม คือกลุ่มคนขาย และ กลุ่มคนซื้อ
คนขายนั้นได้เปรียบคนซื้อวันยังค่ำ ถ้าได้คนขายซึ่งมีคุณธรรม ขายอย่างตรงไปตรงมา คิดถึงสุขภาพ ของสินค้า ที่ตนขายว่า ไว้ใจได้ เชื่อถือได้ และขายโดยคิดกำไร พอสมควร พออยู่ได้ อย่างนี้ก็ เป็นบุญ ของคนซื้อ ที่มีผู้ขาย ซึ่งมีคุณธรรม สังคมของคนขาย คนซื้ออย่างนี้ คงจะเป็นสังคมที่มีความสุข
แต่ส่วนมากคนขายมักจะเอาเปรียบคนซื้อ ยิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ และ เรื่องอาหารแล้ว นอกจาก จะเอาเปรียบ คนซื้อ ยังแถมด้วยการ โฆษณาเกินเหตุ จนเข้าขั้นหลอกลวงได้ อย่างแจ้งชัด
ในเรื่องของสุขภาพเกี่ยวกับยาและอาหาร จึงได้มีกองอาหารและยา หรือ FOOD AND DRUG ADMINISTRATION (FDA) ไว้คอยดูแล
และก็แน่นอน การดูแลนั้นดูแลประโยชน์ ของผู้ซื้อและผู้บริโภค นอกจากเรื่องอาหาร และยา ซึ่งเป็น เรื่องของ กระทรวงสาธารณสุขแล้ว ยังมีเรื่องของผู้บริโภคอื่นๆ ด้วย หมายความเรามีกฎหมาย ซึ่ง คุ้มครอง ผู้ซื้อทุกประเภท
นั่นก็เพราะแต่ไหนแต่ไรมา ผู้ซื้อมักจะเสียเปรียบ ถูกหลอก ถูกโกงอยู่ตลอดเวลา จึงมีกฎหมาย คุ้มครองผู้ซื้อ และมีกฎหมายบังคับ ให้ผู้ขาย ขายของด้วยความซื่อตรง ไม่เอารัด เอาเปรียบผู้ซื้อ
ผมจึงชอบใจการทำงานของฝ่ายสาธารณสุขของฮ่องกงและสิงคโปร์ ซึ่งเมื่อมีสินค้า ซึ่งออกมาใหม่ เพียงสงสัยว่า “อาจเจือปนสาร ให้ความหวานซึ่ง ไม่ผ่านการรับรอง และผลวิจัยพบว่า สารดังกล่าว เกี่ยวพันกับ โรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ” ก็สั่งห้ามขายสินค้าเหล่านั้นทันที และแถมยังสั่งให้เก็บสินค้า ออกจากตลาดให้หมดด้วย เห็นไหมละครับ ความเด็ดขาด ของราชการนั้น ขอให้เด็ดขาด และตรงไปตรงมาเถิด ไม่ต้องเกรงกลัว หน้าอินทร์ หน้าพรหมใดๆ ทั้งสิ้น
และถ้าเป็นอย่างนี้ บริษัทร้านค้าต่างๆ ก็จะต้องระมัดระวังตัวไม่ผลิตสินค้าชุ่ยๆ ออกมาขาย ต่อไป
อันที่จริงการสั่งห้ามที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ นั้น มีพื้นฐานมาจากการค้นคว้าในต่างประเทศ ที่ได้ค้นพบว่า สารให้ความหวาน จากหญ้า STEVIA นี้เกี่ยวพันกับโรคมะเร็ง และปัญหาสุขภาพอื่นๆ
เกี่ยวพันกับโรคมะเร็งก็คือ สารก่อมะเร็ง (CARCINOGEN) ซึ่งการทดลองนั้น ก็เพียงแต่จะทำได้ กับสัตว์ทดลอง เช่น หนูและกระต่ายเท่านั้น ผลของการทดลองกับหนู เมื่อให้กินสาร ให้ความหวานเหล่านี้ เป็นเวลานาน หนูก็เกิดเป็นมะเร็งขึ้นมา
นั่นเป็นแต่เพียงการทดลองกับหนู เรื่องทดลองกับคนนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะจะไม่มี มนุษย์คนใด มายอมตัวทดลอง กับสารก่อมะเร็งเช่นนี้
เพราะฉะนั้น ฝ่ายพ่อค้าก็มักจะอ้างว่านั่นเป็นการทดลองกับหนูเท่านั้น ยังไม่มีการ ทดลองกับคน และก็พิสูจน์ไม่ได้ว่า ถ้าคนกินเข้าไปแล้วนานๆ จะเกิดเป็นมะเร็ง
ถึงพิสูจน์ไม่ได้ แต่ทางการสาธารณสุขของฮ่องกงและสิงคโปร์ก็ออกประกาศ ห้ามขาย และยึดสินค้า ในตลาดเอาไปทำลาย หมดสิ้น
เพียงแต่ตัดสินว่า อาจจะเกิดอันตรายต่อผู้บริโภคก็สั่งห้ามได้โดยเด็ดขาด ไม่ต้องรอทดสอบ หรือการวิจัยอย่างไร ต่อไปอีกแล้ว
นี่คือการคุ้มครองผู้บริโภคหรือประชาชนโดยแท้จริง
ไม่ต้องการกระทบใครเลยนะครับ พูดได้ อย่างเดียวว่า อยากเห็นเมืองไทยเป็นอย่างนี้บ้าง เหลือเกิน
พระเดชพระคุณได้โปรดเถอะครับ เดี๋ยวนี้อาหารเป็นพิษมากมายเหลือเกิน จนจะไม่กล้ากิน อะไรอยู่แล้ว
ยาเถื่อน และโฆษณาเถื่อนๆ โฆษณาขายยาวิเศษก็เกลื่อนเต็มเมือง ช่วยลูกช้างด้วยเถิด ขอรับ
เป็นบุญของคนซื้อที่มีผู้ขายซึ่งมีคุณธรรม สังคมของคนขาย คนซื้ออย่างนี้ คงจะเป็นสังคม ที่มีความสุข.
ไทยรัฐ ๑๙ พ.ค. ๔๕ ชีวจิต
เชื้อรามหันตภัย กับข้าวกล้อง ร่ำลือกันจนเกินเหตุ เพื่ออะไรไม่ทราบ?
ได้รับ จ.ม.จากท่านผู้อ่านท่านหนึ่งขอให้ผมแก้ข่าวด่วนเกี่ยวกับเรื่อง การที่มีผู้ กล่าวหาว่า กินข้าวกล้องแล้ว จะเป็นอันตราย เพราะในข้าว กล้องจะมีเชื้อรา อะฟลาท็อกซิน (AFLATOXIN) ซึ่งเป็นเชื้อรา ที่ทำให้ป่วยเป็นมะเร็ง
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า พ่อค้าข้าวคนหนึ่งซึ่งผลิตข้าวหอมมะลิออกขาย ได้ให้สัมภาษณ์ แมกกาซีน ฉบับหนึ่ง เป็นทำนองว่า ข้าวหอมมะลิที่เขาผลิตออกขายนั้น มีคุณภาพดีเยี่ยม สมควรที่คนไทย และชาวโลกทุกคน ที่กินข้าว ควรจะกินแต่ข้าวหอมมะลิ ชนิดนี้
ในขณะเดียวกันก็ตำหนิข้าวกล้องว่า ต้องระวังอันตราย จากข้าวกล้อง เพราะว่า ข้าวกล้อง มีเชื้อราอะฟลาท็อกซิน ซึ่งทำให้เกิด เป็นมะเร็งได้
ท่านเจ้าของ จ.ม.จึงให้ผมเขียนแก้ข่าวโดยด่วน
อันที่จริงก็ไม่ใช่หน้าที่ผมจะต้องทำหน้าใหญ่เป็นกระด้ง รับบทบาทราวกับว่า ผมเป็นเจ้าของ ข้าวกล้อง เสียเอง ใครมาว่า หรือตำหนิข้าวกล้อง เป็นไม่ได้ ผมจะต้องออกรับ เสียทุกเรื่อง
ที่ผมเขียนเรื่องข้าวกล้อง และชักชวนให้คนกินข้าวกล้อง มาตั้งเกือบ 20 ปีนั้น เพราะต้องการ ชี้ให้เห็นถึง คุณประโยชน์ ของข้าวกล้อง และของธัญพืชต่างๆ ซึ่งไม่ต้องขัดขาว (WHOLE GRAIN)
ข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดงนั้น ประโยชน์สูงสุดของข้าว อยู่ที่เปลือกข้าว หรือรำข้าว ในรำข้าว ซึ่งเป็นเยื่อหุ้มชั้นใน รองจากเปลือกข้าวนั้น มีทั้งวิตามิน เกลือแร่ และ ดีเอ็นเอ/อาร์เอ็นเอ มีจมูกข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่มีประโยชน์ที่สุด ของเมล็ดข้าว
เมื่อขัดส่วนที่เป็นประโยชน์ที่สุดออกแล้ว ก็เหลือแต่เมล็ดข้าวที่เป็นแป้งเปล่าๆ เท่านั้นเอง
และที่ตลกที่สุดก็คือ เมื่อเอาของดีๆ ออกเหลือแต่แป้งเปล่าๆ แล้ว อยากจะโฆษณาว่า ข้าวขาว ก็มีของดีอยู่ ก็กลับไปเอาวิตามิน และแร่ธาตุมาเติมกลับคืน
และพูดได้เต็มปากเต็มคอว่า ของที่เติมใหม่แล้วเอาไปขายนั้น มันจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง และมีประโยชน์ เหมือนของดั้งเดิม อย่างไรได้
นั่นคือเรื่องประโยชน์ของข้าวซ้อมมือ ซึ่งผมอยากจะให้ผู้บริโภคเข้าใจ และ เห็นประโยชน์
ส่วนการที่หาเรื่องมาตำหนิข้าวซ้อมมือว่ามีอะฟลาท็อกซินนั้น เป็นคนละเรื่องกับเรื่อง ประโยชน์ ของข้าว เพราะอะฟลาท็อกซิน เป็นเรื่องของเชื้อรา ซึ่งเป็นตัวทำ ให้คนป่วย และถ้าจะพูดถึง เชื้อราทุกอย่าง ซึ่งมีอยู่ในโลก ซึ่งรวมทั้ง อะฟลาท็อกซิน ด้วยแล้ว ทุกแห่งในโลก อาหารทุกอย่าง สิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ทุกอย่าง แม้แต่ ในร่างกายเราเอง ก็มีเชื้อรา ปะปนอยู่ด้วยทั้งสิ้น
พูดถึงเรื่องประโยชน์ ของข้าว ก็เพื่อให้เข้าใจว่าข้าวมีความสำคัญ ต่อเราอย่างไร พูดถึงเรื่อง เชื้อราในข้าว ก็เพื่อจะรู้เรื่อง เชื้อราชนิดต่างๆ มันคนละเรื่องกัน
แต่เอาล่ะ เมื่อพูดกันถึงอะฟลาท็อกซินและข้าวกล้องกันแล้ว ก็จะถือโอกาสคุย กับท่านผู้อ่าน ให้เข้าใจ เรื่องอะฟลาท็อกซิน กันพอหอมปาก หอมคอบ้าง
อะฟลาท็อกซินซึ่งมีอยู่ในพืชนั้น มีมากที่สุดในถั่วลิสง และรองไปก็คือ มันสำปะหลัง และ ข้าวโพด ที่พบในข้าวก็มีบ้าง
ความสำคัญของอะฟลาท็อกซินก็คือเป็นเชื้อรา ซึ่งเกิดจากดิน ด้วยเหตุนี้พืช ซึ่งเกิดฝัก และผล ซึ่งหมกดินอยู่ เช่น ถั่วลิสงและมันสำปะหลัง (พันธุ์แอฟริกา) จึงมีโอกาสเกิดเชื้อราได้ ง่ายกว่าเพื่อน
สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งของการเกิดเชื้อราก็คือความชื้น พืชที่เป็นฝักหรือ แกะเมล็ดออกแล้ว การเก็บรักษา ต้องเก็บในถุง หรือภาชนะมิดชิด และไม่ควร จะมีความชื้นอยู่เลย
อะฟลาท็อกซินที่อยู่ในข้าวนั้นไม่ได้เกิดจากต้นข้าว แต่จะเกิดจาก การบรรจุห่อ-กระสอบ และมีความชื้น มากกว่า
และข้อสำคัญก็คือ ข้าวที่มีอะฟลาท็อกซิน เพราะเกิดจากความชื้นนั้น เกิดขึ้นได้ ในข้าวทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ข้าวขาว หรือข้าวกล้อง ว่ากันที่จริง ข้าวขาวก็จะเกิดเชื้อรา ในข้าวได้ง่ายกว่า ข้าวกล้อง ด้วยซํ้า
นายแพทย์กลุ่มหนึ่งของอเมริกา (นายแพทย์โทมัส เคนสเลอร์ ศาสตราจารย์ด้าน พิษวิทยา มหาวิทยาลัย จอห์นฮอบกินส์ นายแพทย์ลี วัต-เทนเบิร์ก ศาสตราจารย์พยาธิวิทยา มหาวิทยาลัย มินิโซตา นายแพทย์เอ็ม อี อัลเพิธ บีทอธ และ ดี นาเกต แห่งสถาบัน มะเร็งแห่งชาติ) ได้ศึกษาเรื่อง อะฟลาท็อกซินในพืช และได้ระบุว่า ได้พบอะฟลาท็อกซิน ในถั่วลิสง มากกว่าเพื่อน ส่วนในข้าวนั้น แทบจะไม่พบเลย และจากทดลองว่า อะฟลาท็อกซิน ทำให้เกิดมะเร็ง ชนิดใดมากนั้น ผลการทดลองออกมา เหมือนกันหมด ทำให้เกิดมะเร็งตับ
และการทดลองเหล่านี้ ได้ทดลองในหนูเท่านั้น ในมนุษย์ไม่สามารถ จะทดลองได้ สำหรับมนุษย์ ได้แต่สอบถาม ประวัติการรับประทานอาหาร ปรากฏส่วนมาก มาจากผู้ ป่วยโรคตับ และมะเร็งตับ รับประทานอาหาร แทบทุกอย่าง จนไม่สามารถแยกได้ว่า อาหารชนิดใดแน่ ที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ
แต่ที่ค่อนข้างจะแน่นอนก็คือการดื่มเหล้า เที่ยวสำมะเลเทเมา ทำให้เกิดโรคตับ และ โรคตับ ก็กลายเป็น มะเร็งตับได้
ข่าวในวงการแพทย์ ซึ่งประกาศออกมาว่า เชื้อราอะฟลาท็อกซิน ทำให้เกิดมะเร็งตับนี้ ได้ ประกาศ มาตั้งแต่ปี 1983 และยังฮือฮา มากันจนบัดนี้
และพร้อมกันนั้น ก็มีข่าวจากแพทย์กลุ่มนี้ในด้านที่เกี่ยวกับอาหารหรือยา ซึ่งช่วยต้าน มะเร็งตับ ซึ่งเกิดจาก อะฟลาท็อกซินนั้น มีอยู่แล้ว ในอาหารประเภทผัก
ผักที่ว่านี้คือ ผักตระกูลกะหล่ำปลี
นายแพทย์วัตเทนเบิร์ก ได้ทดลองคั้นนํ้ากะหล่ำปลีหัวเล็ก ชนิดบรัสเซลส์ สเปราท์ (BRUSSELS SPROUT) และได้สารจากกะหล่ำปลีหัวเล็กนี้คือ GLUCOSINOLATES ซึ่งสามารถ กำจัดพิษอะฟลาท็อกซิน ให้หมดฤทธิ์ได้
วิธีทดลองก็คือ นายแพทย์วัตเทนเบิร์กแบ่งหนูออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง ให้กินอะ-ฟลาท็อกซิน ทุกวัน อีกกลุ่มหนึ่ง ให้กินอะฟลาท็อกซิน สลับกับกลูโคสสิโนเลทส์ ปรากฏว่า กลุ่มแรก จะเป็นมะเร็งตับ ส่วนกลุ่มที่สอง จะลดพิษอะฟลาท็อกซินได้ ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม คือไม่เป็นมะเร็งเลย
ส่วนนายแพทย์เคนสเลอร์นั้น ได้ทดลองแบบเดียวกับวัตเทนเบิร์ก แต่เขาใช้กะหล่ำปลี หัวใหญ่แทน กะหล่ำปลีหัวเล็ก ผลปรากฏว่า ลดอัตรามะเร็งตับได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์
และเมื่อแพทย์กลุ่มนี้ทดลองกับพืชชนิดอื่นๆ ที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน เช่น บร็อกเคอรี่ ดอกกะหลํ่า ผลที่ได้ก็ปรากฏว่า เป็นผลดีใกล้เคียงกัน
ผมต้องขอเตือนและขอยํ้าไว้ตรงนี้อีกครั้งนะครับว่า การทดลองทั้งหมด ได้ทดลองกับหนูเท่านั้น เราไม่สามารถ จะทดลองกับคนได้ เพราะวิธีทดลอง ด้วยการให้คนกิน อะฟลาท็อกซิน แล้วก็ให้กิน สารจากกะหล่ำปลี สลับกันไป แล้วก็คอยเฝ้าดูว่า ใครจะเป็นมะเร็งหรือไม่นั้น ทำไม่ได้แน่
เอาละครับ ขอกลับมาที่เรื่องอะฟลาท็อกซินกับข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมืออีกครั้ง ผมเอาผล ของการทดลอง ของแพทย์กลุ่มนี้ มาเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า การกล่าวหาที่ว่า ข้าวกล้อง มีอะฟลาท็อกซิน และมีอันตรายนั้น ดูจะเป็นเรื่องของการยกเมฆ เกินความจริง ไปมากมาย
ไม่ทราบพูดอย่างนี้ เพื่อจะให้ข้าวของตนเองขายได้ดีหรืออย่างไร.
ไทยรัฐ ๑๒ พ.ค. ๔๕ ชีวจิต
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า พ่อค้าข้าวคนหนึ่งซึ่งผลิตข้าวหอมมะลิออกขาย ได้ให้สัมภาษณ์ แมกกาซีน ฉบับหนึ่ง เป็นทำนองว่า ข้าวหอมมะลิที่เขาผลิตออกขายนั้น มีคุณภาพดีเยี่ยม สมควรที่คนไทย และชาวโลกทุกคน ที่กินข้าว ควรจะกินแต่ข้าวหอมมะลิ ชนิดนี้
ในขณะเดียวกันก็ตำหนิข้าวกล้องว่า ต้องระวังอันตราย จากข้าวกล้อง เพราะว่า ข้าวกล้อง มีเชื้อราอะฟลาท็อกซิน ซึ่งทำให้เกิด เป็นมะเร็งได้
ท่านเจ้าของ จ.ม.จึงให้ผมเขียนแก้ข่าวโดยด่วน
อันที่จริงก็ไม่ใช่หน้าที่ผมจะต้องทำหน้าใหญ่เป็นกระด้ง รับบทบาทราวกับว่า ผมเป็นเจ้าของ ข้าวกล้อง เสียเอง ใครมาว่า หรือตำหนิข้าวกล้อง เป็นไม่ได้ ผมจะต้องออกรับ เสียทุกเรื่อง
ที่ผมเขียนเรื่องข้าวกล้อง และชักชวนให้คนกินข้าวกล้อง มาตั้งเกือบ 20 ปีนั้น เพราะต้องการ ชี้ให้เห็นถึง คุณประโยชน์ ของข้าวกล้อง และของธัญพืชต่างๆ ซึ่งไม่ต้องขัดขาว (WHOLE GRAIN)
ข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดงนั้น ประโยชน์สูงสุดของข้าว อยู่ที่เปลือกข้าว หรือรำข้าว ในรำข้าว ซึ่งเป็นเยื่อหุ้มชั้นใน รองจากเปลือกข้าวนั้น มีทั้งวิตามิน เกลือแร่ และ ดีเอ็นเอ/อาร์เอ็นเอ มีจมูกข้าว ซึ่งเป็นส่วนที่มีประโยชน์ที่สุด ของเมล็ดข้าว
เมื่อขัดส่วนที่เป็นประโยชน์ที่สุดออกแล้ว ก็เหลือแต่เมล็ดข้าวที่เป็นแป้งเปล่าๆ เท่านั้นเอง
และที่ตลกที่สุดก็คือ เมื่อเอาของดีๆ ออกเหลือแต่แป้งเปล่าๆ แล้ว อยากจะโฆษณาว่า ข้าวขาว ก็มีของดีอยู่ ก็กลับไปเอาวิตามิน และแร่ธาตุมาเติมกลับคืน
และพูดได้เต็มปากเต็มคอว่า ของที่เติมใหม่แล้วเอาไปขายนั้น มันจะบริสุทธิ์ผุดผ่อง และมีประโยชน์ เหมือนของดั้งเดิม อย่างไรได้
นั่นคือเรื่องประโยชน์ของข้าวซ้อมมือ ซึ่งผมอยากจะให้ผู้บริโภคเข้าใจ และ เห็นประโยชน์
ส่วนการที่หาเรื่องมาตำหนิข้าวซ้อมมือว่ามีอะฟลาท็อกซินนั้น เป็นคนละเรื่องกับเรื่อง ประโยชน์ ของข้าว เพราะอะฟลาท็อกซิน เป็นเรื่องของเชื้อรา ซึ่งเป็นตัวทำ ให้คนป่วย และถ้าจะพูดถึง เชื้อราทุกอย่าง ซึ่งมีอยู่ในโลก ซึ่งรวมทั้ง อะฟลาท็อกซิน ด้วยแล้ว ทุกแห่งในโลก อาหารทุกอย่าง สิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต ทุกอย่าง แม้แต่ ในร่างกายเราเอง ก็มีเชื้อรา ปะปนอยู่ด้วยทั้งสิ้น
พูดถึงเรื่องประโยชน์ ของข้าว ก็เพื่อให้เข้าใจว่าข้าวมีความสำคัญ ต่อเราอย่างไร พูดถึงเรื่อง เชื้อราในข้าว ก็เพื่อจะรู้เรื่อง เชื้อราชนิดต่างๆ มันคนละเรื่องกัน
แต่เอาล่ะ เมื่อพูดกันถึงอะฟลาท็อกซินและข้าวกล้องกันแล้ว ก็จะถือโอกาสคุย กับท่านผู้อ่าน ให้เข้าใจ เรื่องอะฟลาท็อกซิน กันพอหอมปาก หอมคอบ้าง
อะฟลาท็อกซินซึ่งมีอยู่ในพืชนั้น มีมากที่สุดในถั่วลิสง และรองไปก็คือ มันสำปะหลัง และ ข้าวโพด ที่พบในข้าวก็มีบ้าง
ความสำคัญของอะฟลาท็อกซินก็คือเป็นเชื้อรา ซึ่งเกิดจากดิน ด้วยเหตุนี้พืช ซึ่งเกิดฝัก และผล ซึ่งหมกดินอยู่ เช่น ถั่วลิสงและมันสำปะหลัง (พันธุ์แอฟริกา) จึงมีโอกาสเกิดเชื้อราได้ ง่ายกว่าเพื่อน
สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งของการเกิดเชื้อราก็คือความชื้น พืชที่เป็นฝักหรือ แกะเมล็ดออกแล้ว การเก็บรักษา ต้องเก็บในถุง หรือภาชนะมิดชิด และไม่ควร จะมีความชื้นอยู่เลย
อะฟลาท็อกซินที่อยู่ในข้าวนั้นไม่ได้เกิดจากต้นข้าว แต่จะเกิดจาก การบรรจุห่อ-กระสอบ และมีความชื้น มากกว่า
และข้อสำคัญก็คือ ข้าวที่มีอะฟลาท็อกซิน เพราะเกิดจากความชื้นนั้น เกิดขึ้นได้ ในข้าวทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น ข้าวขาว หรือข้าวกล้อง ว่ากันที่จริง ข้าวขาวก็จะเกิดเชื้อรา ในข้าวได้ง่ายกว่า ข้าวกล้อง ด้วยซํ้า
นายแพทย์กลุ่มหนึ่งของอเมริกา (นายแพทย์โทมัส เคนสเลอร์ ศาสตราจารย์ด้าน พิษวิทยา มหาวิทยาลัย จอห์นฮอบกินส์ นายแพทย์ลี วัต-เทนเบิร์ก ศาสตราจารย์พยาธิวิทยา มหาวิทยาลัย มินิโซตา นายแพทย์เอ็ม อี อัลเพิธ บีทอธ และ ดี นาเกต แห่งสถาบัน มะเร็งแห่งชาติ) ได้ศึกษาเรื่อง อะฟลาท็อกซินในพืช และได้ระบุว่า ได้พบอะฟลาท็อกซิน ในถั่วลิสง มากกว่าเพื่อน ส่วนในข้าวนั้น แทบจะไม่พบเลย และจากทดลองว่า อะฟลาท็อกซิน ทำให้เกิดมะเร็ง ชนิดใดมากนั้น ผลการทดลองออกมา เหมือนกันหมด ทำให้เกิดมะเร็งตับ
และการทดลองเหล่านี้ ได้ทดลองในหนูเท่านั้น ในมนุษย์ไม่สามารถ จะทดลองได้ สำหรับมนุษย์ ได้แต่สอบถาม ประวัติการรับประทานอาหาร ปรากฏส่วนมาก มาจากผู้ ป่วยโรคตับ และมะเร็งตับ รับประทานอาหาร แทบทุกอย่าง จนไม่สามารถแยกได้ว่า อาหารชนิดใดแน่ ที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ
แต่ที่ค่อนข้างจะแน่นอนก็คือการดื่มเหล้า เที่ยวสำมะเลเทเมา ทำให้เกิดโรคตับ และ โรคตับ ก็กลายเป็น มะเร็งตับได้
ข่าวในวงการแพทย์ ซึ่งประกาศออกมาว่า เชื้อราอะฟลาท็อกซิน ทำให้เกิดมะเร็งตับนี้ ได้ ประกาศ มาตั้งแต่ปี 1983 และยังฮือฮา มากันจนบัดนี้
และพร้อมกันนั้น ก็มีข่าวจากแพทย์กลุ่มนี้ในด้านที่เกี่ยวกับอาหารหรือยา ซึ่งช่วยต้าน มะเร็งตับ ซึ่งเกิดจาก อะฟลาท็อกซินนั้น มีอยู่แล้ว ในอาหารประเภทผัก
ผักที่ว่านี้คือ ผักตระกูลกะหล่ำปลี
นายแพทย์วัตเทนเบิร์ก ได้ทดลองคั้นนํ้ากะหล่ำปลีหัวเล็ก ชนิดบรัสเซลส์ สเปราท์ (BRUSSELS SPROUT) และได้สารจากกะหล่ำปลีหัวเล็กนี้คือ GLUCOSINOLATES ซึ่งสามารถ กำจัดพิษอะฟลาท็อกซิน ให้หมดฤทธิ์ได้
วิธีทดลองก็คือ นายแพทย์วัตเทนเบิร์กแบ่งหนูออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่ง ให้กินอะ-ฟลาท็อกซิน ทุกวัน อีกกลุ่มหนึ่ง ให้กินอะฟลาท็อกซิน สลับกับกลูโคสสิโนเลทส์ ปรากฏว่า กลุ่มแรก จะเป็นมะเร็งตับ ส่วนกลุ่มที่สอง จะลดพิษอะฟลาท็อกซินได้ ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็ม คือไม่เป็นมะเร็งเลย
ส่วนนายแพทย์เคนสเลอร์นั้น ได้ทดลองแบบเดียวกับวัตเทนเบิร์ก แต่เขาใช้กะหล่ำปลี หัวใหญ่แทน กะหล่ำปลีหัวเล็ก ผลปรากฏว่า ลดอัตรามะเร็งตับได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์
และเมื่อแพทย์กลุ่มนี้ทดลองกับพืชชนิดอื่นๆ ที่อยู่ในตระกูลเดียวกัน เช่น บร็อกเคอรี่ ดอกกะหลํ่า ผลที่ได้ก็ปรากฏว่า เป็นผลดีใกล้เคียงกัน
ผมต้องขอเตือนและขอยํ้าไว้ตรงนี้อีกครั้งนะครับว่า การทดลองทั้งหมด ได้ทดลองกับหนูเท่านั้น เราไม่สามารถ จะทดลองกับคนได้ เพราะวิธีทดลอง ด้วยการให้คนกิน อะฟลาท็อกซิน แล้วก็ให้กิน สารจากกะหล่ำปลี สลับกันไป แล้วก็คอยเฝ้าดูว่า ใครจะเป็นมะเร็งหรือไม่นั้น ทำไม่ได้แน่
เอาละครับ ขอกลับมาที่เรื่องอะฟลาท็อกซินกับข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมืออีกครั้ง ผมเอาผล ของการทดลอง ของแพทย์กลุ่มนี้ มาเรียนให้ท่านผู้อ่านทราบว่า การกล่าวหาที่ว่า ข้าวกล้อง มีอะฟลาท็อกซิน และมีอันตรายนั้น ดูจะเป็นเรื่องของการยกเมฆ เกินความจริง ไปมากมาย
ไม่ทราบพูดอย่างนี้ เพื่อจะให้ข้าวของตนเองขายได้ดีหรืออย่างไร.
ไทยรัฐ ๑๒ พ.ค. ๔๕ ชีวจิต
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)