ผมเพิ่งกลับจากไปช่วยจัดคอร์สสุขภาพชีวจิตที่หาดใหญ่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราจัด อย่างเป็นทางการสำหรับชาวหาดใหญ่และจังหวัดใกล้เคียง ครั้งก่อนๆ ที่มีคนแอบไปจัดคอร์สสุขภาพนั้น เป็นคอร์สจอมปลอมและเป็นพวกนักฉวยโอกาสแอบไปจัด ทางชีวจิตไม่เกี่ยวและไม่มีส่วนรู้เห็นด้วยนะครับ
จัดคอร์สสุขภาพคราวนี้ค่อนข้างจะกะทันหันและไม่ได้ประกาศล่วงหน้านานๆ เราจึงมีผู้เข้าร่วมโครงการเพียง 50 คน คอร์สตามต่างจังหวัดอื่นๆนั้นจะมีผู้เข้าร่วมตามปกติกว่า 100 คนเสมอ
มีเคสที่น่าสนใจเป็นผู้สูงอายุมาปรึกษา 2-3 คน ว่ามีอาการปวดหัวไมเกรนเป็นประจำ รักษาด้วยการกินยาแก้ปวดตลอดเวลา ไม่หายขาดสักที จะทำอย่างไรดี
อันที่จริงโรคปวดหัวเป็นโรคง่ายๆ แต่ถ้าศึกษาถึงอาการและสาเหตุของการปวดหัวแล้วจะพบว่า เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนเหลือประมาณ สาเหตุลึกลับซับซ้อนเหล่านี้ ถ้าแพทย์พยายามจะหาให้พบก็เป็นเรื่องยาก ลงท้ายตัวแพทย์เองนั่นแหละ จะกลายเป็นโรคปวดหัวเสียเอง
ถ้าปวดหัวเป็นเพราะมีเนื้องอกในสมองโดยตรง การจะตรวจตราดูว่ามันมีเนื้องอกในสมอง หรือไม่นั้นทำได้ง่าย จะตรวจด้วยวิธีทำสแกนหรือด้วยเอกซเรย์ก็หาได้ไม่ยากนัก แต่การรักษาเนื้องอกก็จะต้องเป็นเรื่องของแพทย์เฉพาะทางต่อไป แพทย์ทั่วไปมักจะใช้วิธีส่งตัวคนไข้ให้แพทย์เฉพาะทางแล้วก็หมดเรื่องกันไป
แต่การปวดหัวไมเกรนและปวดหัวทั่วๆ ไปนั้น มักจะไม่ค่อยมีใครอยากหาสาเหตุ เพราะมันยุ่งยากดังกล่าวแล้ว ก็มักจะลงเอยด้วยการให้ยาแก้ปวด หรือบางทีตัวผู้ป่วยเองพอปวดหัวขึ้นสักครั้งสองครั้งก็ขี้เกียจไปหาหมอ แต่จะตรงรี่ไปร้านขายยา ซื้อยาแก้ปวด ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็นแอสไพริน หรือยากลุ่ม ACETAMINOPHEN หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า “พารา” หรือพาราเซตามอลนั่นเอง
แต่การปวดหัวทั่วๆ ไปกับการปวดหัวไมเกรนนั้น มีข้อแตกต่างกันพอสังเกตได้ชัดหลายอย่าง ขอพูดถึงการปวดหัวไมเกรนก่อน
เชื่อกันว่าปวดหัวไมเกรนนั้น เนื่องมาจากเส้นเลือด ที่ไปเลี้ยงกะโหลกศีรษะ และสมองหดตัว และขยายตัวอย่างรวดเร็ว และระหว่างการหด-ขยายตัวนั้น เส้นเลือดจะเกิดการอักเสบ จึงทำให้เกิดปวดหัวแบบไมเกรน
อาการแรกของปวดหัวไมเกรน ก็คือสายตาจะเกิดมืดมัวล่วงหน้า ทั้งนี้ เพราะขณะที่เส้นเลือดบีบตัวนั้น เลือดที่ไปเลี้ยงกระบอกตาก็จะมีปริมาณน้อยลง ตาจึงมัว
หลังจากเส้นเลือดบีบตัวแล้วสักพักหนึ่งก็จะขยายตัว พอขยายตัวเลือดก็วิ่งขึ้นไปสู่หัวและ สมองอย่างรวดเร็ว จึงเกิดการปวดหัวแบบไมเกรนขึ้น
การปวดหัวไมเกรนต่างกับปวดหัวทั่วๆ ไปก็อยู่ตรงที่มักจะเกิดอาการทางตาขึ้นก่อน ตาอาจจะมัวหรืออาจจะเห็นแสงวูบวาบอยู่สักพักหนึ่งตั้งแต่หลายๆ นาที จนกระทั่งหลายๆ ชั่วโมง แล้วจึงเกิดการปวดหัว พอปวดหัวอาการตามัวหรือสว่างวูบวาบก็หายไป อาการปวดหัวจะเป็นเหมือนกับการปวดหัวทั่วๆ ไป คือปวดที่ขมับสองข้าง แล้วกระจายไปทั่วหัว บางครั้งก็ปวดตื้อๆ บางครั้งก็ปวดตุ๊บๆ เป็นระยะๆ อาการผสมซึ่งไม่เหมือนกับปวดหัวทั่วๆ ไปก็คือ มีการคลื่นไส้ หรืออาเจียนผสมด้วย
บางคนก็อาจ จะมีอาการแปลกอื่นๆ ไม่เหมือนใคร คือหน้าซีด ตาเป็นสายเลือด นํ้าตาไหลตลอด และบางทีก็มีอาการนํ้ามูกไหล ด้วย
และตอนนี้แหละครับ ที่ผู้ป่วยมักจะไปซื้อยาแก้ปวดกินเอง หรือถ้าไปพบแพทย์ก็มักจะได้ยาแก้ปวด ประเภทแอสไพริน หรือ “พารา” ดังกล่าวมาแล้ว
แต่ก็มีแพทย์บางคนอาจจะให้ยาแก้ปวดหัวไมเกรนมาโดยเฉพาะ คือยาประเภท ERGOTAMINE ผสมกับคาเฟอีน สำหรับ ERGOTAMINE นั้น เป็นอัลกาลอยด์สกัดจากเชื้อรา ซึ่งมาจากข้าวชนิดต่างๆ ส่วนคาเฟอีนนั้นก็แน่นอนละต้องมาจากกาแฟ
นอกจากนั้น ก็ยังมียากลุ่มอื่นๆ อีก เช่น SUMATRIPTAN และ DIHYDROERGOTAMINE เป็นต้น ซึ่งถ้าพูดกันอย่างไม่เกรงใจแล้วละก็ ผลของยาเหล่านี้ก็เหมือนยาแก้ปวดทั่วๆ ไป ซึ่งมักจะแก้ปวดได้ชั่วคราว กินแล้วสักพักก็ปวดอีก แล้วก็ต้องกินยาแก้ปวดซํ้าๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น ไม่หายขาด
นอกไปจากนั้น ยากลุ่มประเภทแก้ปวดไมเกรนเหล่านี้ ยังมีผลข้างเคียงอยู่มากมาย อย่างเช่น อาจจะทำให้เกิดอาการมือชาเท้าชา หรือมือเท้าเย็น เกิดอาการตะคริว คลื่นไส้ อาเจียน และท้องเสียได้ด้วย ข้อสำคัญก็คือ ถ้าใช้ไปนานๆ จะเกิดอาการเกี่ยวกับหัวใจ หรือเป็นโรคหัวใจได้
เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาปรึกษาผมเรื่องปวดหัวไมเกรน และบอกด้วยว่ากินยา มาหลายขนานแล้วไม่ได้ผล หายปวดชั่วคราวแล้วก็ปวดอีก
ผมก็จะถามเขาว่า เขาคิดว่าจะหายด้วยการกินยาได้หรือเปล่า เขาก็จะยืนยันกินยามามากมายแล้ว ทั้งยาแผนปัจจุบัน แผนโบราณ และแผนอื่นๆ มันก็ไม่หาย เบื่อเต็มทีแล้ว
ผมก็มักจะบอกว่า ถ้าอย่างนั้นมาลองดูวิธีง่ายๆดูไหมเล่า ลองดูที่ต้นเหตุ คือเรื่องอาหาร
ในด้านวิชาการวิทยาศาสตร์ทางอาหารขั้นสูงสุด คือ CLINICAL NUTRITION คือการรักษาโรคด้วยอาหาร มีการศึกษาด้านชีวเคมีเกี่ยวกับอาหาร เราได้พบว่าการกินอาหารผิดๆ ทำให้เกิดโรคได้หลายอย่าง เช่น โรคภูมิแพ้ และปวดหัวไมเกรน เป็นต้น
มีรายงานจาก ADRENAL METABOLIC RESEARCH SOCIETY จาก TROY มลรัฐนิวยอร์ก รายงานว่า ผู้ที่แพ้อาหารและเป็นโรคปวดหัวไมเกรน เพราะกินอาหารประเภทเนยแข็ง เค้ก ไอศกรีม และช็อกโกแลตมากเกินไป
เริ่มต้นผู้ที่แพ้เนื่องจากอาหารเหล่านี้จะป่วยด้วยโรค HYPOGLYCEMIA หรือ “นํ้าตาลในเลือดตํ่า” ก่อน แล้วต่อจากนั้นจะต่อด้วยอาการปวดหัวไมเกรน
เมื่อแพทย์แนะนำให้หยุดกินอาหารประเภทดังกล่าว ผู้ป่วยก็หายจากการปวดหัวไมเกรนได้โดยไม่ต้องใช้ยา
สำหรับคนไทยอีกมากมาย ซึ่งเป็นโรคปวดหัวไมเกรน ผมก็ได้พบสาเหตุเช่นเดียวกับพวกฝรั่งคือ คนไทยเรานั้น กินอาหารหวานและติดอาหารหวานมากมายกว่าฝรั่งหลายเท่านัก
เมื่อผมแนะนำให้ผู้ที่ปวดหัวไมเกรน เปลี่ยนอาหารและเลิกกินหวานๆ ก็ปรากฏว่าผู้ป่วยหลายคนหายจากปวดหัวไมเกรนได้
ผู้ที่มาปรึกษากับผมเรื่องปวดหัวนี้ ส่วนมากเป็นผู้หญิง ที่เป็นผู้ชายมีน้อยกว่าผู้หญิง แต่ผู้ชายจะหายได้แน่นอนกว่าผู้หญิง ที่เป็นเช่นนี้เพราะในด้านการปฏิบัติตัวนั้น ผู้ชายมีระเบียบวินัยดีกว่าผู้หญิง
ระเบียบวินัยซึ่งผู้หญิงเข้มงวดได้น้อยกว่าผู้ชายนี้ พิสูจน์ได้จากคอร์สสุขภาพที่หาดใหญ่คราวนี้
คุณผู้หญิง 2-3 คน ที่มาปรึกษาเรื่องปวดหัวไมเกรน พอผมบอกว่า “แก้ง่ายๆ ด้วยการขอให้คุณงดกินนํ้าตาลขาว แป้งขาว และของหวานๆ โดยเด็ดขาด” คุณผู้หญิงทำตาโต ตอบง่ายๆ อีกเหมือนกันว่า “ให้อดของหวานเห็นจะอดไม่ได้ เพราะกินมาจนติดแล้ว ถ้าไม่กินหวานจะไม่มีแรง”
เรามีการทดลองให้เห็นจะจะถึงโทษของการกินนํ้าตาล ผู้เข้าร่วมคอร์สทุกคนก็เห็น และทุกคนก็เชื่อ แต่เมื่อถามว่า แล้วจะเลิกกินนํ้าตาลได้ไหม คุณๆ ที่ปวดหัวไมเกรนทุกคนสั่นหัวตอบว่า “ไม่ได้”
เอาละครับ เรื่องการแก้ปวดหัวไมเกรนนั้น แก้ได้ง่ายๆ แต่การปฏิบัติเพื่อเลิกกินนํ้าตาลนั้น ยากเย็นเหลือแสน
ผมจะพูดถึงวิธีแก้ปวดหัวไมเกรนและปวดหัวอย่างอื่นโดยละเอียดคราวหน้า
คราวนี้ขอฝากท่านผู้อ่านที่ปวดหัวไมเกรนไว้ก่อนว่า ขอให้งดนํ้าตาลขาว ของหวาน และนํ้าอัดลมไว้ก่อน รับรองว่าคุณจะดีขึ้นแน่นอน
คราวหน้าจะอธิบายวิธีแก้อย่างอื่นๆ โดยละเอียดครับ คราวนี้ขอให้ใจแข็งไว้ก่อนนะครับ งดนํ้าตาลและของหวานเสียก่อน.
คัดลอกมาจาก http://www.geocities.com/thatboon/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น